นายบัณฑิต นิจถาวร ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินมีการประชุมในวันนี้ เพื่อพิจารณาแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินในระยะต่อไปภายใต้ภาวะเศรษฐกิจในด้านต่างๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างรวดเร็วโดยเฉพาะเศรษฐกิจในต่างประเทศ
ในการประชุมครั้งนี้ คณะกรรมการฯ ได้ให้ความสำคัญกับแนวโน้มล่าสุดของเศรษฐกิจโลกและผลที่จะมีต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีหน้า หลังจากได้พิจารณาข้อมูลด้านต่างๆ แล้วคณะกรรมการฯ มีความเห็นว่าโอกาสที่เศรษฐกิจโลก จะเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างรุนแรงคงมีไม่มาก ทั้งนี้ เพราะประเทศหลักที่มีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจได้ดำเนินนโยบายการเงินและการคลังที่ผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง ในกรณีของไทย มาตรการทางการคลังและการเร่งเบิกจ่ายของภาครัฐในช่วงต้นปีงบประมาณ 2545 ก็จะช่วยบรรเทาผลกระทบดังกล่าวลงได้บ้าง ทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยอยู่ในช่วงร้อยละ 1.3-1.8 ในปี 2544 และร้อยละ 1-3 ในปี 2545 ดังที่เคยคาดไว้ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะอยู่ในช่วงร้อยละ 1.5-2.5 ต่อปีในปี 2545 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์เป้าหมาย
สำหรับการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมา คณะกรรมการฯ มีความเห็นว่า แนวนโยบายดังกล่าวได้ช่วยทำให้เสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยปรับตัวดีขึ้น จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของไทยและต่างประเทศที่แคบลง โดยเฉพาะผลที่มีต่อเงินทุนเคลื่อนย้าย เสถียรภาพของค่าเงินบาท และความมั่นคงของทุนสำรองทางการ ซึ่งขณะนี้สัดส่วนทุนสำรองทางการต่อภาระหนี้ระยะสั้นและหนี้ของธปท. อยู่ที่ประมาณร้อยละ 138
ในส่วนของนโยบายการเงินในระยะต่อไปคณะกรรมการฯ พิจารณาแล้วมีความเห็นว่า ในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน นโยบายการเงินยังจำเป็นที่จะต้องอยู่ในแนวทางที่ผ่อนคลายต่อไปในประเด็นนี้ คณะกรรมการฯ เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในปัจจุบันเมื่อเทียบกับประเทศต่างๆ ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ เหมาะสมต่อการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ คณะกรรมการฯ จึงมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนระยะ 14 วันไว้ในระดับเดิมที่ร้อยละ 2.5 ต่อปี และจะติดตามประเมินภาวการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะพิจารณาปรับนโยบายการเงินให้เอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจมากขึ้น หากพิจารณาแล้วเห็นว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงมากกว่าที่ประมาณการไว้
--ธนาคารแห่งประเทศไทย/27 พฤศจิกายน 2544--
-ยก-
ในการประชุมครั้งนี้ คณะกรรมการฯ ได้ให้ความสำคัญกับแนวโน้มล่าสุดของเศรษฐกิจโลกและผลที่จะมีต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีหน้า หลังจากได้พิจารณาข้อมูลด้านต่างๆ แล้วคณะกรรมการฯ มีความเห็นว่าโอกาสที่เศรษฐกิจโลก จะเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างรุนแรงคงมีไม่มาก ทั้งนี้ เพราะประเทศหลักที่มีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจได้ดำเนินนโยบายการเงินและการคลังที่ผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง ในกรณีของไทย มาตรการทางการคลังและการเร่งเบิกจ่ายของภาครัฐในช่วงต้นปีงบประมาณ 2545 ก็จะช่วยบรรเทาผลกระทบดังกล่าวลงได้บ้าง ทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยอยู่ในช่วงร้อยละ 1.3-1.8 ในปี 2544 และร้อยละ 1-3 ในปี 2545 ดังที่เคยคาดไว้ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะอยู่ในช่วงร้อยละ 1.5-2.5 ต่อปีในปี 2545 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์เป้าหมาย
สำหรับการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงที่ผ่านมา คณะกรรมการฯ มีความเห็นว่า แนวนโยบายดังกล่าวได้ช่วยทำให้เสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยปรับตัวดีขึ้น จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของไทยและต่างประเทศที่แคบลง โดยเฉพาะผลที่มีต่อเงินทุนเคลื่อนย้าย เสถียรภาพของค่าเงินบาท และความมั่นคงของทุนสำรองทางการ ซึ่งขณะนี้สัดส่วนทุนสำรองทางการต่อภาระหนี้ระยะสั้นและหนี้ของธปท. อยู่ที่ประมาณร้อยละ 138
ในส่วนของนโยบายการเงินในระยะต่อไปคณะกรรมการฯ พิจารณาแล้วมีความเห็นว่า ในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน นโยบายการเงินยังจำเป็นที่จะต้องอยู่ในแนวทางที่ผ่อนคลายต่อไปในประเด็นนี้ คณะกรรมการฯ เห็นว่าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในปัจจุบันเมื่อเทียบกับประเทศต่างๆ ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ เหมาะสมต่อการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ คณะกรรมการฯ จึงมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนระยะ 14 วันไว้ในระดับเดิมที่ร้อยละ 2.5 ต่อปี และจะติดตามประเมินภาวการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด และพร้อมที่จะพิจารณาปรับนโยบายการเงินให้เอื้อต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจมากขึ้น หากพิจารณาแล้วเห็นว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวลงมากกว่าที่ประมาณการไว้
--ธนาคารแห่งประเทศไทย/27 พฤศจิกายน 2544--
-ยก-