ข้อมูลเบื้องต้นเดือนตุลาคม 2544 เศรษฐกิจโดยรวมยังคงชะลอตัว ทั้งภาคการผลิต อุปสงค์รวมในประเทศและภาคต่างประเทศ ส่วนหนึ่งยังคงเป็นผลกระทบจากเหตุการณ์การก่อวินาศกรรมในสหรัฐอเมริกา รัฐบาล เร่งการเบิกจ่าย ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทรงตัว สภาพคล่องการเงินอยู่ในเกณฑ์สูง ทั้งนี้ มีรายละเอียดดังนี้
1. ภาคอุตสาหกรรม การผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 จากระยะเดียวกันปีก่อน โดยหมวดสินค้าที่ผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่ หมวดยานยนต์และอุปกรณ์ขนส่ง หมวดยาสูบ และหมวดวัสดุก่อสร้างที่ผลิตเพิ่มขึ้นเพราะสามารถขยายตลาด ส่งออกปูนซิเมนต์ไปยังประเทศบังกลาเทศได้เพิ่มขึ้น และหมวดเครื่องดื่มที่ยังคงเพิ่มขึ้นตามการผลิตสุราเพื่อสะสม สต๊อกไว้จำหน่ายในช่วงปลายปี ส่วนสินค้าที่ผลิตลดลง ได้แก่ หมวดอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า และหมวดสิ่งทอ การใช้กำลังการผลิตอยู่ ณ ระดับเฉลี่ยร้อยละ 55.1
สำหรับผลผลิตในช่วง 10 เดือนแรกของปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 จากระยะเดียวกันปีก่อน ตามการผลิตหมวดยานยนต์และอุปกรณ์ขนส่ง หมวดเครื่องดื่ม หมวดวัสดุก่อสร้าง และหมวดอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นสำคัญ โดยมีการใช้กำลังการผลิตในระดับเฉลี่ยร้อยละ 53.6
2. การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน เครื่องชี้ส่วนใหญ่แสดงทิศทางการขยายตัวในอัตราชะลอลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน ยกเว้น ปริมาณการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ที่ยังขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง การลงทุน ภาคเอกชนโดยรวมยังคงหดตัวแต่มีแนวโน้มการปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยโดยเฉพาะปริมาณจำหน่ายรถยนต์พาณิชย์ที่เริ่มขยายตัวสูงในช่วงปลายปีและปริมาณจำหน่ายซีเมนต์ในประเทศที่ขยายตัวจากโครงการสาธารณูปโภคของภาครัฐ (สนามบินสุวรรณภูมิ) และโครงการที่อยู่อาศัยของภาคเอกชน
3. ภาคการคลัง รัฐบาลขาดดุลเงินสด 29.7 พันล้านบาท โดยมีรายได้ 55.4 พันล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 จากระยะเดียวกันของปีก่อน รายได้ที่เพิ่มขึ้นได้แก่ ภาษีสรรพสามิต อากรนำเข้า และภาษีธุรกิจเฉพาะ ด้านรายจ่ายรัฐบาลเบิกจ่ายได้ 101.9 พันล้านบาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้นร้อยละ 42.0 จากระยะเดียวกันปีก่อน ส่วนหนึ่งเป็นการเบิกจ่ายตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ได้แก่ รายจ่ายเงินทุนหมุนเวียนบัตรประกันสุขภาพ และรายจ่ายชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ตามโครงการพักชำระหนี้ จำนวน 22.0 และ 5.6 พันล้านบาท ตามลำดับ
4. ดัชนีราคาผู้บริโภค เพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกันต่อเนื่องมา 3 เดือน โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 จากระยะ เดียวกันปีก่อน แต่เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าจะลดลงร้อยละ 0.5 ทั้งนี้ เป็นผลจากการลดลงของราคาหมวดอาหารและหมวดอื่นๆ ที่มิใช่อาหาร ร้อยละ 0.2 และ 0.6 ตามลำดับ โดยในหมวดอาหารและเครื่องดื่มราคาสินค้าหมวดข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง และหมวดผักและผลไม้ลดลงมากที่สุด (ร้อยละ -0.9) เนื่องจากปริมาณผลผลิตข้าวสารเจ้า หอมมะลิมีมาก และภาวะการค้าข้าวในตลาดโลกซบเซา กอปรกับปริมาณผลไม้ออกสู่ตลาดมากขึ้น รองลงมาได้แก่ หมวดเนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ (ร้อยละ -0.6) สำหรับหมวดอื่นๆ ที่มิใช่อาหาร ราคาหมวดยานพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสารลดลงมากที่สุด (ร้อยละ -1.7) เนื่องจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงปรับลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลกดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนและเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 1.3 และ 0.1 ตามลำดับ ดัชนีราคาผู้ผลิต เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 จากระยะเดียวกันปีก่อน แต่เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าจะลดลงร้อยละ 0.9 โดยราคา ในหมวดผลผลิตเกษตรกรรมและหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 0.4 และ 1.0 ตามลำดับ ขณะที่ราคาหมวดผลิตภัณฑ์จากเหมืองแร่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2
5. ภาคต่างประเทศ การส่งออกและนำเข้าลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 14.3 และร้อยละ 15.1 ตามลำดับ ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าและอุปสงค์ภายในประเทศ ทำให้ดุลการค้าเกินดุล 275 ล้านดอลลาร์สรอ. ดุลบริการและบริจาคเกินดุลเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนมาก เนื่องจากมีการส่งกลับกำไรและเงินปันผลของภาคเอกชนรวมทั้ง ดอกเบี้ยจ่ายของภาครัฐลดลง ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลเพิ่มขึ้นเป็น 500 ล้านดอลลาร์ สรอ. ดุลการชำระเงินเกินดุล 488 ล้านดอลลาร์ สรอ. โดยมีการชำระหนี้ของ ธปท. 150 ล้านดอลลาร์ สรอ. เงินสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2544 อยู่ ณ ระดับ 33.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
6. ภาวะการเงิน สภาพคล่องของระบบการเงินโดยรวมยังคงอยู่ในเกณฑ์สูง อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.08 ต่อปี ส่วนอัตราดอกเบี้ยตลาดเงินกู้ยืมระหว่างธนาคารเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.24 ต่อปี สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ ลดลงร้อยละ 5.2 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน อย่างไรก็ตาม สินเชื่อจำนวนนี้ถ้ารวมหนี้สูญของธนาคารพาณิชย์และสินเชื่อส่วนที่โอนไป AMCs หักด้วยสินเชื่อส่วนที่ให้แก่ AMCs แล้วจะเพิ่มขึ้น ร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน สำหรับเงินฝากธนาคารพาณิชย์ ขยายตัวร้อยละ 4.2 เทียบกับ ระยะเดียวกันปีก่อน แต่ชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า เนื่องจากภาคประชาชนมีทางเลือกในการออมมากขึ้น
7. อัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 44.50-44.85 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. โดยอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องตามค่าเงินเยนและค่าเงินในภูมิภาคโดยเฉพาะค่าเงินดอลลาร์สิงคโปร์ ซึ่งทางการสิงคโปร์ได้ปรับลด ตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจลงกอปรกับธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) ได้ใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนปรนมากขึ้น โดยการขยายกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์สิงคโปร์
วันที่ 1-21 พฤศจิกายน ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งขึ้นจากการอ่อนค่าลงของดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากตัวเลข ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ดัชนีสำรวจความคิดเห็นของผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (National Association of Purchasing Manager : NAPM) และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (Consumer Confidence) ต่างแสดงให้เห็นถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยลบจากการอ่อนค่าของเงินในภูมิภาค และแรงซื้อดอลลาร์ สรอ. ของผู้นำเข้าและผู้มีภาระหนี้ต่างประเทศ อนึ่ง คณะกรรมการธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา (FOMC) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย Fed Fund Rate ลง 50 bps เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน เหลือร้อยละ 2.0 ต่อปี พร้อมกับอนุมัติการปรับลด Discount Rate เป็นครั้งที่ 10 ในรอบปี โดยปรับลดลง 50 bps เหลือร้อยละ 1.5 ต่อปี
(ยังมีต่อ)
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
1. ภาคอุตสาหกรรม การผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 จากระยะเดียวกันปีก่อน โดยหมวดสินค้าที่ผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่ หมวดยานยนต์และอุปกรณ์ขนส่ง หมวดยาสูบ และหมวดวัสดุก่อสร้างที่ผลิตเพิ่มขึ้นเพราะสามารถขยายตลาด ส่งออกปูนซิเมนต์ไปยังประเทศบังกลาเทศได้เพิ่มขึ้น และหมวดเครื่องดื่มที่ยังคงเพิ่มขึ้นตามการผลิตสุราเพื่อสะสม สต๊อกไว้จำหน่ายในช่วงปลายปี ส่วนสินค้าที่ผลิตลดลง ได้แก่ หมวดอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า และหมวดสิ่งทอ การใช้กำลังการผลิตอยู่ ณ ระดับเฉลี่ยร้อยละ 55.1
สำหรับผลผลิตในช่วง 10 เดือนแรกของปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.2 จากระยะเดียวกันปีก่อน ตามการผลิตหมวดยานยนต์และอุปกรณ์ขนส่ง หมวดเครื่องดื่ม หมวดวัสดุก่อสร้าง และหมวดอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นสำคัญ โดยมีการใช้กำลังการผลิตในระดับเฉลี่ยร้อยละ 53.6
2. การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน เครื่องชี้ส่วนใหญ่แสดงทิศทางการขยายตัวในอัตราชะลอลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน ยกเว้น ปริมาณการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ที่ยังขยายตัวในเกณฑ์ดีต่อเนื่อง การลงทุน ภาคเอกชนโดยรวมยังคงหดตัวแต่มีแนวโน้มการปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยโดยเฉพาะปริมาณจำหน่ายรถยนต์พาณิชย์ที่เริ่มขยายตัวสูงในช่วงปลายปีและปริมาณจำหน่ายซีเมนต์ในประเทศที่ขยายตัวจากโครงการสาธารณูปโภคของภาครัฐ (สนามบินสุวรรณภูมิ) และโครงการที่อยู่อาศัยของภาคเอกชน
3. ภาคการคลัง รัฐบาลขาดดุลเงินสด 29.7 พันล้านบาท โดยมีรายได้ 55.4 พันล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 จากระยะเดียวกันของปีก่อน รายได้ที่เพิ่มขึ้นได้แก่ ภาษีสรรพสามิต อากรนำเข้า และภาษีธุรกิจเฉพาะ ด้านรายจ่ายรัฐบาลเบิกจ่ายได้ 101.9 พันล้านบาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้นร้อยละ 42.0 จากระยะเดียวกันปีก่อน ส่วนหนึ่งเป็นการเบิกจ่ายตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ได้แก่ รายจ่ายเงินทุนหมุนเวียนบัตรประกันสุขภาพ และรายจ่ายชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ตามโครงการพักชำระหนี้ จำนวน 22.0 และ 5.6 พันล้านบาท ตามลำดับ
4. ดัชนีราคาผู้บริโภค เพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกันต่อเนื่องมา 3 เดือน โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.4 จากระยะ เดียวกันปีก่อน แต่เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าจะลดลงร้อยละ 0.5 ทั้งนี้ เป็นผลจากการลดลงของราคาหมวดอาหารและหมวดอื่นๆ ที่มิใช่อาหาร ร้อยละ 0.2 และ 0.6 ตามลำดับ โดยในหมวดอาหารและเครื่องดื่มราคาสินค้าหมวดข้าว แป้ง และผลิตภัณฑ์จากแป้ง และหมวดผักและผลไม้ลดลงมากที่สุด (ร้อยละ -0.9) เนื่องจากปริมาณผลผลิตข้าวสารเจ้า หอมมะลิมีมาก และภาวะการค้าข้าวในตลาดโลกซบเซา กอปรกับปริมาณผลไม้ออกสู่ตลาดมากขึ้น รองลงมาได้แก่ หมวดเนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ (ร้อยละ -0.6) สำหรับหมวดอื่นๆ ที่มิใช่อาหาร ราคาหมวดยานพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสารลดลงมากที่สุด (ร้อยละ -1.7) เนื่องจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงปรับลดลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลกดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนและเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 1.3 และ 0.1 ตามลำดับ ดัชนีราคาผู้ผลิต เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 จากระยะเดียวกันปีก่อน แต่เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าจะลดลงร้อยละ 0.9 โดยราคา ในหมวดผลผลิตเกษตรกรรมและหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 0.4 และ 1.0 ตามลำดับ ขณะที่ราคาหมวดผลิตภัณฑ์จากเหมืองแร่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2
5. ภาคต่างประเทศ การส่งออกและนำเข้าลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 14.3 และร้อยละ 15.1 ตามลำดับ ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าและอุปสงค์ภายในประเทศ ทำให้ดุลการค้าเกินดุล 275 ล้านดอลลาร์สรอ. ดุลบริการและบริจาคเกินดุลเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนมาก เนื่องจากมีการส่งกลับกำไรและเงินปันผลของภาคเอกชนรวมทั้ง ดอกเบี้ยจ่ายของภาครัฐลดลง ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลเพิ่มขึ้นเป็น 500 ล้านดอลลาร์ สรอ. ดุลการชำระเงินเกินดุล 488 ล้านดอลลาร์ สรอ. โดยมีการชำระหนี้ของ ธปท. 150 ล้านดอลลาร์ สรอ. เงินสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2544 อยู่ ณ ระดับ 33.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
6. ภาวะการเงิน สภาพคล่องของระบบการเงินโดยรวมยังคงอยู่ในเกณฑ์สูง อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.08 ต่อปี ส่วนอัตราดอกเบี้ยตลาดเงินกู้ยืมระหว่างธนาคารเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.24 ต่อปี สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ ลดลงร้อยละ 5.2 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน อย่างไรก็ตาม สินเชื่อจำนวนนี้ถ้ารวมหนี้สูญของธนาคารพาณิชย์และสินเชื่อส่วนที่โอนไป AMCs หักด้วยสินเชื่อส่วนที่ให้แก่ AMCs แล้วจะเพิ่มขึ้น ร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน สำหรับเงินฝากธนาคารพาณิชย์ ขยายตัวร้อยละ 4.2 เทียบกับ ระยะเดียวกันปีก่อน แต่ชะลอลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า เนื่องจากภาคประชาชนมีทางเลือกในการออมมากขึ้น
7. อัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 44.50-44.85 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. โดยอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องตามค่าเงินเยนและค่าเงินในภูมิภาคโดยเฉพาะค่าเงินดอลลาร์สิงคโปร์ ซึ่งทางการสิงคโปร์ได้ปรับลด ตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจลงกอปรกับธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) ได้ใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนปรนมากขึ้น โดยการขยายกรอบการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์สิงคโปร์
วันที่ 1-21 พฤศจิกายน ค่าเงินบาทปรับตัวแข็งขึ้นจากการอ่อนค่าลงของดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากตัวเลข ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ดัชนีสำรวจความคิดเห็นของผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (National Association of Purchasing Manager : NAPM) และดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (Consumer Confidence) ต่างแสดงให้เห็นถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยลบจากการอ่อนค่าของเงินในภูมิภาค และแรงซื้อดอลลาร์ สรอ. ของผู้นำเข้าและผู้มีภาระหนี้ต่างประเทศ อนึ่ง คณะกรรมการธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา (FOMC) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย Fed Fund Rate ลง 50 bps เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน เหลือร้อยละ 2.0 ต่อปี พร้อมกับอนุมัติการปรับลด Discount Rate เป็นครั้งที่ 10 ในรอบปี โดยปรับลดลง 50 bps เหลือร้อยละ 1.5 ต่อปี
(ยังมีต่อ)
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-