กรุงเทพฯ--10 ต.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2544 ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยและประธานการประชุมระดับรัฐมนตรีของกรอบความร่วมมือเพื่อการพัฒนาอาเซียน-ลุ่มน้ำโขง(ASEAN-Mekong Basin Development Cooperation-AMBDC) ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับผลการประชุมฯ สรุปได้ดังนี้
1. ที่ประชุมฯ เห็นพ้องให้เสนอให้ที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่จะมีขึ้นที่บรูไนในเดือนพฤศจิกายน ศกนี้ ที่บรูไน พิจารณาให้ความเป็นชอบต่อเส้นทางรถไฟเชื่อมโยงระหว่างสิงคโปร์ถึงคุนหมิง ที่ได้มีการศึกษาเบื้องต้นแล้วว่าจะมีเส้นทางใดบ้าง เนื่องจากการเดินทางระหว่างสิงคโปร์ไปคุนหมิง สามารถกระทำได้หลายเส้นทาง และที่ประชุมรัฐมนตรีด้านการขนส่งของเอเซียนได้ตกลงกำหนดเส้นทางแล้ว (เส้นทางจากสิงคโปร์-มาเลเซีย-กรุงเทพฯ -ปอยเปต-พนมเปญ-โฮจิมินห์-ฮานอย-คุนหมิง ซึ่งส่วนที่จะต้องสร้าง คือ 1. ปอยเนต-ศรีโสภณ 2.ศรีโสภณ-พนมเปญ 3.พนมเปญ-ฮานอย-คุมหมิง 4.เวียงจันทน์-วุงอัน และ 5.กาญจนบุรี-ย่างกุ้ง) และที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนได้เคยให้ความเห็นชอบกับโครงการเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟระหว่างสิงคโปร์-คุมหมิงไปแล้ว ซึ่งหากผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนให้ความเห็นชอบเรื่องเส้นทาง ประเทศสมาชิกอาเซียนก็จะสามารถนำเรื่องนี้บรรจุไว้ในแผนพัฒนาของแต่ละประเทศได้ ซึ่งจะช่วยผลักดันให้แนวความคิดนี้มีผลที่เป็นรูปธรรม และประเทศสมาชิกอาเซียนก็จะมีท่าทีเรื่องนี้ที่เป็นเอกภาพ ซึ่งจะช่วยให้การแสวงหาแหล่งเงินทุนเป็นไปโดยชัดเจนและสอดคล้องกัน และหน่วยงานผู้ให้ทุน เช่น ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย(ADB) โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) และคณะกรรมาธิการเศราฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติประจำเอเชีย-แปซิฟิก (ESCAP) รวมทั้งองค์การต่งๆ ตลอดจนญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลีที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมในฐานะผู้สังเกตุการณ์ และจะเข้าเป็นสมาชิกของ AMBDC ในอนาคตจะได้ระดมทรัพยากรต่างๆ มาช่วยเพื่อให้โครงการสร้างเส้นทางรถไฟสายนี้บรรลุผล
2. ที่ประชุมฯ เห็นชอบกับข้อเสนอของไทยเรื่องความเป็นไปได้ที่ตั้งคลังสินค้าบริเวณพรมแดน (Border Public Warehouses) ระหว่างสองประเทศ เช่น ที่พรมแดนระหว่างหนองคายกับเวียงจันทน์ และพรมแดนระหว่างมุกดาหารกับสะหวันนะเขต เป็นต้น สำหรับเป็นที่พักสินค้าที่ต้องขนส่งเป็นระยะทางไกล เพื่อประโยชน์ในการค้าขายระหว่างกัน และจะเชิญชวนภาคเอกชนในเข้าร่วมในการก่อสร้างคลังสินค้าดังกล่าว ซึ่งจะเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศสองประเทศ โดยที่ประชุมฯ ได้อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ของไทยดำเนินการตามข้อเสนอที่จะจัดการสัมมนาและให้ทุนเพื่อทำการศึกษาความเป็นไปได้ที่ทุกประเทศในลุ่มน้ำโขงจะร่วมมือกันในเรื่องนี้
3. ที่ประชุมฯ ตกลงให้คณะกรรมการอำนวยการ (Steering Committee) ทำการศึกษาแนวทางที่จะทำให้ความร่วมมือของประเทศลุ่มน้ำโขง ดำเนินไปทิศทางเดียวกันและไม่ซ้ำซ้อนกัน เนื่องจากขณะนี้มีเวทีความร่วมมือระหว่างประเทศในลุ่มน้ำโขงหลายเวที เช่น AMBDC ความร่วมมือในอนุภูมิ ภาคลุ่มน้ำโขง (Greater Mekong Sub-region-GMS) และความร่วมมือทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น (AEM-METI Economic and Industrial Cooperation Committee-AMEICC) เป็นต้น ซึ่งทุกเวทีล้วนมีวัตถุประสงค์เดียวกัน คือ พัฒนาประเทศในเขตลุ่มน้ำโขงมีความเจริญทัดเทียมกับประเทศสมาชิกอาเซียน และนำผลการศึกษาเสนอต่อที่ประชุม AMBDC ครั้งต่อไปที่จะมีขึ้นที่กัมพูชาพิจารณา
4. ที่ประชุมฯ เห็นพ้องกันว่า การประชุมเพื่อการพัฒนาประเทศในลุ่มน้ำโขงจะมีความสำคัญยิ่งขึ้น หลังจากเกิดเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมในสหรัฐอเมริกาและการตอบโต้ต่างๆ เพื่อป้องกันและปราบปรามการก่อการร้าย เพราะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะหากเกิดผลกระทบระยะกลาง ดังนั้น อาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ประเทศที่ไม่ได้อยู่บริเวณลุ่มน้ำโขง เช่น บรูไน อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ก็สามารถเข้าร่วมในเชิงธุรกิจได้ในหลายโครงการ
5. ที่ประชุมฯ ยังเห็นพ้องกันว่าภาคเอกชนควรมีบทบาทมากขึ้น เพราะมีหลายโครงการที่มีคุณค่าเชิงพาณิชย์ ที่ประชุมฯ จึงมอบหายให้สำนักเลขาธิการอาเซียนเป็นผู้ประสานงานกับภาคเอกชนของทั้ง 10 ประเทศ โดยชี้แจงความคืบหน้าต่างๆ ของเรื่องที่รัฐมนตรีของทั้ง 10 ประเทศ ได้ตกลงเห็นพ้องกัน เพื่อดึงดูดความสนใจของภาคเอกชนให้เข้ามาร่วมลงทุนในโครงการต่างๆ
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 0-2643-5105 โทรสาร. 0-2643-5106-7--จบ--
-อน-
เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2544 ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยและประธานการประชุมระดับรัฐมนตรีของกรอบความร่วมมือเพื่อการพัฒนาอาเซียน-ลุ่มน้ำโขง(ASEAN-Mekong Basin Development Cooperation-AMBDC) ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับผลการประชุมฯ สรุปได้ดังนี้
1. ที่ประชุมฯ เห็นพ้องให้เสนอให้ที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่จะมีขึ้นที่บรูไนในเดือนพฤศจิกายน ศกนี้ ที่บรูไน พิจารณาให้ความเป็นชอบต่อเส้นทางรถไฟเชื่อมโยงระหว่างสิงคโปร์ถึงคุนหมิง ที่ได้มีการศึกษาเบื้องต้นแล้วว่าจะมีเส้นทางใดบ้าง เนื่องจากการเดินทางระหว่างสิงคโปร์ไปคุนหมิง สามารถกระทำได้หลายเส้นทาง และที่ประชุมรัฐมนตรีด้านการขนส่งของเอเซียนได้ตกลงกำหนดเส้นทางแล้ว (เส้นทางจากสิงคโปร์-มาเลเซีย-กรุงเทพฯ -ปอยเปต-พนมเปญ-โฮจิมินห์-ฮานอย-คุนหมิง ซึ่งส่วนที่จะต้องสร้าง คือ 1. ปอยเนต-ศรีโสภณ 2.ศรีโสภณ-พนมเปญ 3.พนมเปญ-ฮานอย-คุมหมิง 4.เวียงจันทน์-วุงอัน และ 5.กาญจนบุรี-ย่างกุ้ง) และที่ประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนได้เคยให้ความเห็นชอบกับโครงการเชื่อมโยงเส้นทางรถไฟระหว่างสิงคโปร์-คุมหมิงไปแล้ว ซึ่งหากผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนให้ความเห็นชอบเรื่องเส้นทาง ประเทศสมาชิกอาเซียนก็จะสามารถนำเรื่องนี้บรรจุไว้ในแผนพัฒนาของแต่ละประเทศได้ ซึ่งจะช่วยผลักดันให้แนวความคิดนี้มีผลที่เป็นรูปธรรม และประเทศสมาชิกอาเซียนก็จะมีท่าทีเรื่องนี้ที่เป็นเอกภาพ ซึ่งจะช่วยให้การแสวงหาแหล่งเงินทุนเป็นไปโดยชัดเจนและสอดคล้องกัน และหน่วยงานผู้ให้ทุน เช่น ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย(ADB) โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) และคณะกรรมาธิการเศราฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติประจำเอเชีย-แปซิฟิก (ESCAP) รวมทั้งองค์การต่งๆ ตลอดจนญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลีที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมการประชุมในฐานะผู้สังเกตุการณ์ และจะเข้าเป็นสมาชิกของ AMBDC ในอนาคตจะได้ระดมทรัพยากรต่างๆ มาช่วยเพื่อให้โครงการสร้างเส้นทางรถไฟสายนี้บรรลุผล
2. ที่ประชุมฯ เห็นชอบกับข้อเสนอของไทยเรื่องความเป็นไปได้ที่ตั้งคลังสินค้าบริเวณพรมแดน (Border Public Warehouses) ระหว่างสองประเทศ เช่น ที่พรมแดนระหว่างหนองคายกับเวียงจันทน์ และพรมแดนระหว่างมุกดาหารกับสะหวันนะเขต เป็นต้น สำหรับเป็นที่พักสินค้าที่ต้องขนส่งเป็นระยะทางไกล เพื่อประโยชน์ในการค้าขายระหว่างกัน และจะเชิญชวนภาคเอกชนในเข้าร่วมในการก่อสร้างคลังสินค้าดังกล่าว ซึ่งจะเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศสองประเทศ โดยที่ประชุมฯ ได้อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ของไทยดำเนินการตามข้อเสนอที่จะจัดการสัมมนาและให้ทุนเพื่อทำการศึกษาความเป็นไปได้ที่ทุกประเทศในลุ่มน้ำโขงจะร่วมมือกันในเรื่องนี้
3. ที่ประชุมฯ ตกลงให้คณะกรรมการอำนวยการ (Steering Committee) ทำการศึกษาแนวทางที่จะทำให้ความร่วมมือของประเทศลุ่มน้ำโขง ดำเนินไปทิศทางเดียวกันและไม่ซ้ำซ้อนกัน เนื่องจากขณะนี้มีเวทีความร่วมมือระหว่างประเทศในลุ่มน้ำโขงหลายเวที เช่น AMBDC ความร่วมมือในอนุภูมิ ภาคลุ่มน้ำโขง (Greater Mekong Sub-region-GMS) และความร่วมมือทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมระหว่างอาเซียน-ญี่ปุ่น (AEM-METI Economic and Industrial Cooperation Committee-AMEICC) เป็นต้น ซึ่งทุกเวทีล้วนมีวัตถุประสงค์เดียวกัน คือ พัฒนาประเทศในเขตลุ่มน้ำโขงมีความเจริญทัดเทียมกับประเทศสมาชิกอาเซียน และนำผลการศึกษาเสนอต่อที่ประชุม AMBDC ครั้งต่อไปที่จะมีขึ้นที่กัมพูชาพิจารณา
4. ที่ประชุมฯ เห็นพ้องกันว่า การประชุมเพื่อการพัฒนาประเทศในลุ่มน้ำโขงจะมีความสำคัญยิ่งขึ้น หลังจากเกิดเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมในสหรัฐอเมริกาและการตอบโต้ต่างๆ เพื่อป้องกันและปราบปรามการก่อการร้าย เพราะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะหากเกิดผลกระทบระยะกลาง ดังนั้น อาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ประเทศที่ไม่ได้อยู่บริเวณลุ่มน้ำโขง เช่น บรูไน อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ก็สามารถเข้าร่วมในเชิงธุรกิจได้ในหลายโครงการ
5. ที่ประชุมฯ ยังเห็นพ้องกันว่าภาคเอกชนควรมีบทบาทมากขึ้น เพราะมีหลายโครงการที่มีคุณค่าเชิงพาณิชย์ ที่ประชุมฯ จึงมอบหายให้สำนักเลขาธิการอาเซียนเป็นผู้ประสานงานกับภาคเอกชนของทั้ง 10 ประเทศ โดยชี้แจงความคืบหน้าต่างๆ ของเรื่องที่รัฐมนตรีของทั้ง 10 ประเทศ ได้ตกลงเห็นพ้องกัน เพื่อดึงดูดความสนใจของภาคเอกชนให้เข้ามาร่วมลงทุนในโครงการต่างๆ
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 0-2643-5105 โทรสาร. 0-2643-5106-7--จบ--
-อน-