ข้อมูลเบื้องต้นเดือนพฤษภาคม 2544 เศรษฐกิจโดยรวมทรงตัว ทั้งภาคการผลิตและการใช้จ่ายในประเทศ ภาคต่างประเทศมูลค่าการ ส่งออกแสดงแนวโน้มดีขึ้นและมีมูลค่าสูงกว่ามูลค่าการนำเข้า ดุลการค้าจึงเกินดุล ส่วนรัฐบาลกลับมาเกินดุลเงินสด สำหรับภาคการเงินปริมาณเงินยังคงเพิ่มขึ้นตามปริมาณเงินฝาก อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ต่อเนื่องตามราคาน้ำมัน ทั้งนี้ มีรายละเอียด ดังนี้
1. การผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 จากระยะเดียวกันปีก่อน ตามการผลิตของกลุ่มสินค้าที่ผลิตเพื่อการบริโภคในประเทศเป็นสำคัญ ได้แก่ หมวดยานยนต์และอุปกรณ์ขนส่ง โดยเฉพาะ การผลิตรถยนต์นั่งที่ผู้ผลิตรายใหญ่ต่างช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดโดยการออกรถยนต์รุ่นใหม่ หมวดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมมีการผลิตเพื่อส่งออกมากขึ้น และหมวดเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นตามการผลิตสุราเป็นสำคัญ โดยเฉพาะสุรายี่ห้อใหม่ ส่วนสินค้าที่ผลิตลดลง ได้แก่ หมวดอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าลดลงต่อเนื่องจากต้นปี ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า หมวดอาหารลดลงตามผลผลิตน้ำตาลเป็นสำคัญ เนื่องจาก สิ้นสุดฤดูกาลหีบอ้อย และหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กลดลงตามการผลิตแผ่นเหล็กรีดร้อนและรีดเย็น เนื่องจากมีการแข่งขันสูงในด้านราคากับสินค้าที่นำเข้าจากประเทศในกลุ่มยุโรปตะวันออก
สำหรับผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในช่วง 5 เดือนแรกของปี เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 จากระยะเดียวกัน ปีก่อน ตามการผลิตของหมวดยานยนต์และอุปกรณ์ ขนส่งและเครื่องดื่มเป็นสำคัญ โดยการใช้กำลังการผลิตอยู่ในระดับเฉลี่ยร้อยละ 53.7 เทียบกับระดับเฉลี่ยร้อยละ 56 ในระยะเดียวกันปีก่อน เนื่องจากมีการขยายกำลังการผลิตของหมวดยานยนต์และอุปกรณ์ขนส่ง อุตสาหกรรมเบียร์ ปิโตรเลียม แผงวงจรไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
2. การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน โดยรวมค่อนข้างทรงตัวจากเดือนก่อน เครื่องชี้ส่วนใหญ่ชะลอตัวลงจากระยะเดียวกันปีก่อน โดยเฉพาะปริมาณการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ปริมาณการจำหน่าย รถจักรยานยนต์ ยกเว้นปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งที่ยังขยายตัวได้ดี การลงทุนภาคเอกชนทรงตัวเช่นกัน โดยการลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์ชะลอลง ส่วนการลงทุนในภาคก่อสร้างยังขยายตัวต่อเนื่อง สังเกต ได้จากการขยายตัวของปริมาณการจำหน่ายซีเมนต์
3. ดุลเงินสดรัฐบาล นับเป็นเดือนแรกในรอบปีงบประมาณ 2544 ที่รัฐบาลเกินดุลเงินสดจำนวน 24.1 พันล้านบาท จากการที่มีภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธินำส่ง ขณะที่รายจ่ายของรัฐบาลลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนเล็กน้อย (ร้อยละ 0.4) และมีการชำระคืนเงินกู้ยืมสุทธิ 6.8 พันล้านบาท ส่งผลให้ยอดเงินคงคลัง ณ สิ้นเดือน เพิ่มจากเดือนก่อน 17.4 พันล้านบาทเป็น 52.6 พันล้านบาท
4. ดัชนีราคาผู้บริโภค เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 จากระยะเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มร้อยละ 0.1 และหมวดอื่นๆ ที่มิใช่อาหารร้อยละ 0.5 โดยในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม หมวดเนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ เพิ่มขึ้นมากที่สุด (ร้อยละ 2.0) ตามปริมาณผลผลิตสุกร และไก่สดที่ออกสู่ตลาดน้อยลง ขณะที่ความต้องการของตลาดยังมีอย่าง ต่อเนื่อง รองลงมา ได้แก่ หมวดไข่ และผลิตภัณฑ์นม (ร้อยละ 0.8) เนื่องจากปริมาณผลผลิตไข่ไก่ลดลง ประกอบกับมีการปรับขึ้นราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์นม บางชนิด สำหรับหมวดอื่นๆ ที่มิใช่อาหาร ราคาที่เพิ่มขึ้นมาก ได้แก่ หมวดพาหนะ การขนส่งและการสื่อสาร (ร้อยละ 1.2) เนื่องจากราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลปรับสูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก และหมวดการบันเทิง การอ่าน และการศึกษา (ร้อยละ 1.2) ตาม
การปรับค่าธรรมเนียมการศึกษาบางรายการของโรงเรียนเอกชน ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 จากระยะเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 จากเดือนก่อนหน้า ดัชนีราคาผู้ผลิตเพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.1 จากระยะเดียวกันปีก่อนและเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากการขึ้นราคาสินค้าในทุกหมวด โดยหมวด ผลผลิตเกษตรกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 หมวดผลิตภัณฑ์จากเหมืองร้อยละ 3.1 และหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมร้อยละ 0.2
5. ภาคต่างประเทศมูลค่าการส่งออก เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8 จากระยะเดียวกันปีก่อน ขณะที่การนำเข้าเร่งตัวเป็นร้อยละ 15.7 เนื่องจากมีการนำเข้าเครื่องบินพาณิชย์มูลค่า 191 ล้านดอลลาร์ สรอ. รวมอยู่ด้วย ทำให้ดุลการค้าเกินดุล 132 ล้านดอลลาร์ สรอ. ดุลบริการและบริจาคเกินดุลลดลงจากเดือนก่อน เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศไทยลดลงมาก ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 373 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขณะที่มีการชำระหนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารกลางอื่นรวม 280.8 ล้านดอลลาร์ สรอ. ทำให้ดุลการชำระเงินขาดดุล 159 ล้านดอลลาร์ สรอ. และ เงินสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2544 อยู่ ณ ระดับ 32.0 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
6. ภาวะการเงิน สภาพคล่องของระบบการเงิน โดยรวมอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงินทรงตัวอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ยกเว้น ในช่วงสิ้นเดือน ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงผู้ว่าการ ธปท. และตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนทิศทางอัตรา ดอกเบี้ย ประกอบกับเป็นช่วงนำส่งภาษีรายได้นิติบุคคลประจำปี ทำให้สภาพคล่องเริ่มตึงตัวขึ้นและอัตรา
ดอกเบี้ยตลาดเงินปรับตัวสูงขึ้นในช่วงสิ้นเดือน ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยตลาดเงินกู้ยืมระหว่างธนาคารเฉลี่ยเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ร้อยละ 1.60 ต่อปี ขณะที่อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.19 ต่อปี ด้านอัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ อัตรา ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนและอัตราดอกเบี้ย เงินให้กู้ยืม MLR ของธนาคารพาณิชย์ไทขนาดใหญ่ ทั้ง 4 แห่งทรงตัวอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 2.50 และ 7.375 ต่อปี ตามลำดับ สินเชื่อรวมธนาคารพาณิชย์ (คำนวณสินเชื่อกิจการวิเทศธนกิจด้วยอัตราแลกเปลี่ยนคงที่) เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 10.2 ต่อปี และเมื่อบวกกลับหนี้สูญและสินเชื่อที่โอนไป AMCs แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ให้แก่ AMCs ลดลงร้อยละ 0.2 ต่อปี ด้านเงินฝากธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.9 ต่อปี และปริมาณเงิน M2A เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6 ต่อปี จากการเพิ่มขึ้นของเงินฝากธนาคารพาณิชย์ เป็นสำคัญ
7. อัตราแลกเปลี่ยน เงินบาทเคลื่อนไหวตามการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินเยนและเงินสกุล ในภูมิภาค โดยในช่วงปลายเดือนเงินบาทมีความ ผันผวนเพิ่มขึ้น เนื่องจากตลาดมีความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มนโยบายการเงิน ทั้งนี้ อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ย ถ่วงน้ำหนักเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 45.27 — 45.62 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. และมีค่าเฉลี่ยในเดือนพฤษภาคม เท่ากับ 45.48 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.
ช่วงวันที่ 1 — 22 มิถุนายน 2544 ค่าเงินบาทโดยเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 45.02 — 45.42 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. โดยปรับตัว แข็งขึ้นในช่วงต้นเดือน และอ่อนลงในช่วงต่อมา ตามการอ่อนตัวของค่าเงินเยนและราคาน้ำมันที่สูงขึ้น
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
1. การผลิตภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 จากระยะเดียวกันปีก่อน ตามการผลิตของกลุ่มสินค้าที่ผลิตเพื่อการบริโภคในประเทศเป็นสำคัญ ได้แก่ หมวดยานยนต์และอุปกรณ์ขนส่ง โดยเฉพาะ การผลิตรถยนต์นั่งที่ผู้ผลิตรายใหญ่ต่างช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดโดยการออกรถยนต์รุ่นใหม่ หมวดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมมีการผลิตเพื่อส่งออกมากขึ้น และหมวดเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นตามการผลิตสุราเป็นสำคัญ โดยเฉพาะสุรายี่ห้อใหม่ ส่วนสินค้าที่ผลิตลดลง ได้แก่ หมวดอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้าลดลงต่อเนื่องจากต้นปี ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า หมวดอาหารลดลงตามผลผลิตน้ำตาลเป็นสำคัญ เนื่องจาก สิ้นสุดฤดูกาลหีบอ้อย และหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กลดลงตามการผลิตแผ่นเหล็กรีดร้อนและรีดเย็น เนื่องจากมีการแข่งขันสูงในด้านราคากับสินค้าที่นำเข้าจากประเทศในกลุ่มยุโรปตะวันออก
สำหรับผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในช่วง 5 เดือนแรกของปี เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 จากระยะเดียวกัน ปีก่อน ตามการผลิตของหมวดยานยนต์และอุปกรณ์ ขนส่งและเครื่องดื่มเป็นสำคัญ โดยการใช้กำลังการผลิตอยู่ในระดับเฉลี่ยร้อยละ 53.7 เทียบกับระดับเฉลี่ยร้อยละ 56 ในระยะเดียวกันปีก่อน เนื่องจากมีการขยายกำลังการผลิตของหมวดยานยนต์และอุปกรณ์ขนส่ง อุตสาหกรรมเบียร์ ปิโตรเลียม แผงวงจรไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นต้น
2. การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน โดยรวมค่อนข้างทรงตัวจากเดือนก่อน เครื่องชี้ส่วนใหญ่ชะลอตัวลงจากระยะเดียวกันปีก่อน โดยเฉพาะปริมาณการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ปริมาณการจำหน่าย รถจักรยานยนต์ ยกเว้นปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งที่ยังขยายตัวได้ดี การลงทุนภาคเอกชนทรงตัวเช่นกัน โดยการลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์ชะลอลง ส่วนการลงทุนในภาคก่อสร้างยังขยายตัวต่อเนื่อง สังเกต ได้จากการขยายตัวของปริมาณการจำหน่ายซีเมนต์
3. ดุลเงินสดรัฐบาล นับเป็นเดือนแรกในรอบปีงบประมาณ 2544 ที่รัฐบาลเกินดุลเงินสดจำนวน 24.1 พันล้านบาท จากการที่มีภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธินำส่ง ขณะที่รายจ่ายของรัฐบาลลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อนเล็กน้อย (ร้อยละ 0.4) และมีการชำระคืนเงินกู้ยืมสุทธิ 6.8 พันล้านบาท ส่งผลให้ยอดเงินคงคลัง ณ สิ้นเดือน เพิ่มจากเดือนก่อน 17.4 พันล้านบาทเป็น 52.6 พันล้านบาท
4. ดัชนีราคาผู้บริโภค เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 จากระยะเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มร้อยละ 0.1 และหมวดอื่นๆ ที่มิใช่อาหารร้อยละ 0.5 โดยในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม หมวดเนื้อสัตว์ เป็ด ไก่ และสัตว์น้ำ เพิ่มขึ้นมากที่สุด (ร้อยละ 2.0) ตามปริมาณผลผลิตสุกร และไก่สดที่ออกสู่ตลาดน้อยลง ขณะที่ความต้องการของตลาดยังมีอย่าง ต่อเนื่อง รองลงมา ได้แก่ หมวดไข่ และผลิตภัณฑ์นม (ร้อยละ 0.8) เนื่องจากปริมาณผลผลิตไข่ไก่ลดลง ประกอบกับมีการปรับขึ้นราคาจำหน่ายผลิตภัณฑ์นม บางชนิด สำหรับหมวดอื่นๆ ที่มิใช่อาหาร ราคาที่เพิ่มขึ้นมาก ได้แก่ หมวดพาหนะ การขนส่งและการสื่อสาร (ร้อยละ 1.2) เนื่องจากราคาน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลปรับสูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลก และหมวดการบันเทิง การอ่าน และการศึกษา (ร้อยละ 1.2) ตาม
การปรับค่าธรรมเนียมการศึกษาบางรายการของโรงเรียนเอกชน ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 จากระยะเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 จากเดือนก่อนหน้า ดัชนีราคาผู้ผลิตเพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.1 จากระยะเดียวกันปีก่อนและเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.7 จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากการขึ้นราคาสินค้าในทุกหมวด โดยหมวด ผลผลิตเกษตรกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.4 หมวดผลิตภัณฑ์จากเหมืองร้อยละ 3.1 และหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมร้อยละ 0.2
5. ภาคต่างประเทศมูลค่าการส่งออก เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8 จากระยะเดียวกันปีก่อน ขณะที่การนำเข้าเร่งตัวเป็นร้อยละ 15.7 เนื่องจากมีการนำเข้าเครื่องบินพาณิชย์มูลค่า 191 ล้านดอลลาร์ สรอ. รวมอยู่ด้วย ทำให้ดุลการค้าเกินดุล 132 ล้านดอลลาร์ สรอ. ดุลบริการและบริจาคเกินดุลลดลงจากเดือนก่อน เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศไทยลดลงมาก ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล 373 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขณะที่มีการชำระหนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศและธนาคารกลางอื่นรวม 280.8 ล้านดอลลาร์ สรอ. ทำให้ดุลการชำระเงินขาดดุล 159 ล้านดอลลาร์ สรอ. และ เงินสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2544 อยู่ ณ ระดับ 32.0 พันล้านดอลลาร์ สรอ.
6. ภาวะการเงิน สภาพคล่องของระบบการเงิน โดยรวมอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงินทรงตัวอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ยกเว้น ในช่วงสิ้นเดือน ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงผู้ว่าการ ธปท. และตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนทิศทางอัตรา ดอกเบี้ย ประกอบกับเป็นช่วงนำส่งภาษีรายได้นิติบุคคลประจำปี ทำให้สภาพคล่องเริ่มตึงตัวขึ้นและอัตรา
ดอกเบี้ยตลาดเงินปรับตัวสูงขึ้นในช่วงสิ้นเดือน ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยตลาดเงินกู้ยืมระหว่างธนาคารเฉลี่ยเดือนพฤษภาคมอยู่ที่ร้อยละ 1.60 ต่อปี ขณะที่อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วันเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 1.19 ต่อปี ด้านอัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์ อัตรา ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนและอัตราดอกเบี้ย เงินให้กู้ยืม MLR ของธนาคารพาณิชย์ไทขนาดใหญ่ ทั้ง 4 แห่งทรงตัวอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 2.50 และ 7.375 ต่อปี ตามลำดับ สินเชื่อรวมธนาคารพาณิชย์ (คำนวณสินเชื่อกิจการวิเทศธนกิจด้วยอัตราแลกเปลี่ยนคงที่) เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 10.2 ต่อปี และเมื่อบวกกลับหนี้สูญและสินเชื่อที่โอนไป AMCs แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ให้แก่ AMCs ลดลงร้อยละ 0.2 ต่อปี ด้านเงินฝากธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.9 ต่อปี และปริมาณเงิน M2A เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6 ต่อปี จากการเพิ่มขึ้นของเงินฝากธนาคารพาณิชย์ เป็นสำคัญ
7. อัตราแลกเปลี่ยน เงินบาทเคลื่อนไหวตามการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินเยนและเงินสกุล ในภูมิภาค โดยในช่วงปลายเดือนเงินบาทมีความ ผันผวนเพิ่มขึ้น เนื่องจากตลาดมีความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มนโยบายการเงิน ทั้งนี้ อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ย ถ่วงน้ำหนักเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 45.27 — 45.62 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. และมีค่าเฉลี่ยในเดือนพฤษภาคม เท่ากับ 45.48 บาทต่อดอลลาร์ สรอ.
ช่วงวันที่ 1 — 22 มิถุนายน 2544 ค่าเงินบาทโดยเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 45.02 — 45.42 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. โดยปรับตัว แข็งขึ้นในช่วงต้นเดือน และอ่อนลงในช่วงต่อมา ตามการอ่อนตัวของค่าเงินเยนและราคาน้ำมันที่สูงขึ้น
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-