กรุงเทพฯ--19 มิ.ย.--กระทรวงการต่างประเทศ
เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2543 ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนภายหลังเดินทางกลับจากการเยือนประเทศกัมพูชา สรุปได้ดังนี้
1. รัฐบาลกัมพูชาได้แสดงความเสียใจต่อกรณีที่มีรายงานข่าวว่านักศึกษากัมพูชาได้ทำการประท้วงเผาธงชาติไทยและกล่าวหาว่าไทยรุกล้ำดินแดนกัมพูชาเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2543 โดยยืนยันว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำของคนกลุ่มน้อยต่อประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบของกัมพูชาเพื่อหวังผลทางการเมือง ทั้งนี้ รัฐบาลทั้งสองได้พยายามแก้ไขปัญหาการรุกล้ำเขตแดน โดยจะเห็นได้อย่างชัดเจนจากการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำเขตแดนทางบก โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศและที่ปรึกษารัฐมนตรีกัมพูชาผู้รับผิดชอบกิจการชายแดน เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2543 ที่ผ่านมา
2. ทั้งสองฝ่ายได้เจรจาและเห็นพ้องถึงความจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกันในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งนายกรัฐมนตรีของไทยได้ยืนยันต่อฝ่ายกัมพูชาว่า พร้อมที่จะให้ความร่วมมือทั้งในกรอบทวิภาคี และไตรภาคี ซึ่งได้แก่การให้ความช่วยเหลือจากประเทศที่สามหรือองค์กรระหว่างประเทศและใช้สถานที่และเครื่องมือของไทยในการฝึกอบรม โดยเฉพาะการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งไทยได้ผลักดันตลอดมาในเวทีการประชุมระหว่างประเทศต่าง ๆ และล่าสุด ที่ประชุมเอสแคป ได้มีมติประกาศให้ทศวรรษแรกของศตวรรษนี้เป็นทศวรรษแห่งการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งฝ่ายกัมพูชาก็มีความพอใจมากที่ทุกประเทศในลุ่มแม่น้ำโขงจะได้มีการเชื่อมต่อโครงข่ายสาธารณูปโภคต่าง ๆ และนายฮุน เซ็น นายกรัฐมนตรีของกัมพูชาได้หยิบยกเรื่องดังกล่าวเสนอให้ไทยช่วยสร้างสะพาน ถนน เชื่อมต่อระหว่างชายแดน ซึ่งนายกรัฐมนตรีของไทยก็ได้รับที่จะนำไปพิจารณา
3. นายกรัฐมนตรีของไทยยังได้ยืนยันความพร้อมของไทยในการที่จะให้ความช่วยเหลือด้านสาธารณสุขตามแนวชายแดนแก่กัมพูชา ทั้งในด้านการพัฒนาบุคลากรและการแก้ไขปัญหาสาธารณสุข นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้ปรึกษาหารือในเรื่องความร่วมมือด้านการประมง โดยชาวประมงของไทยมีความต้องการที่จะเข้าไปดำเนินการด้านการประมง ซึ่งนายฮุน เซ็น ก็ได้รับที่จะนำไปพิจารณาด้วยดี โดยจะให้มีการศึกษา กำหนดกฎเกณฑ์และวางเงื่อนไขที่แน่นอนเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและได้ประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย--จบ--
-อน-
เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2543 ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนภายหลังเดินทางกลับจากการเยือนประเทศกัมพูชา สรุปได้ดังนี้
1. รัฐบาลกัมพูชาได้แสดงความเสียใจต่อกรณีที่มีรายงานข่าวว่านักศึกษากัมพูชาได้ทำการประท้วงเผาธงชาติไทยและกล่าวหาว่าไทยรุกล้ำดินแดนกัมพูชาเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2543 โดยยืนยันว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำของคนกลุ่มน้อยต่อประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบของกัมพูชาเพื่อหวังผลทางการเมือง ทั้งนี้ รัฐบาลทั้งสองได้พยายามแก้ไขปัญหาการรุกล้ำเขตแดน โดยจะเห็นได้อย่างชัดเจนจากการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและจัดทำเขตแดนทางบก โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศและที่ปรึกษารัฐมนตรีกัมพูชาผู้รับผิดชอบกิจการชายแดน เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2543 ที่ผ่านมา
2. ทั้งสองฝ่ายได้เจรจาและเห็นพ้องถึงความจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกันในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งนายกรัฐมนตรีของไทยได้ยืนยันต่อฝ่ายกัมพูชาว่า พร้อมที่จะให้ความร่วมมือทั้งในกรอบทวิภาคี และไตรภาคี ซึ่งได้แก่การให้ความช่วยเหลือจากประเทศที่สามหรือองค์กรระหว่างประเทศและใช้สถานที่และเครื่องมือของไทยในการฝึกอบรม โดยเฉพาะการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งไทยได้ผลักดันตลอดมาในเวทีการประชุมระหว่างประเทศต่าง ๆ และล่าสุด ที่ประชุมเอสแคป ได้มีมติประกาศให้ทศวรรษแรกของศตวรรษนี้เป็นทศวรรษแห่งการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งฝ่ายกัมพูชาก็มีความพอใจมากที่ทุกประเทศในลุ่มแม่น้ำโขงจะได้มีการเชื่อมต่อโครงข่ายสาธารณูปโภคต่าง ๆ และนายฮุน เซ็น นายกรัฐมนตรีของกัมพูชาได้หยิบยกเรื่องดังกล่าวเสนอให้ไทยช่วยสร้างสะพาน ถนน เชื่อมต่อระหว่างชายแดน ซึ่งนายกรัฐมนตรีของไทยก็ได้รับที่จะนำไปพิจารณา
3. นายกรัฐมนตรีของไทยยังได้ยืนยันความพร้อมของไทยในการที่จะให้ความช่วยเหลือด้านสาธารณสุขตามแนวชายแดนแก่กัมพูชา ทั้งในด้านการพัฒนาบุคลากรและการแก้ไขปัญหาสาธารณสุข นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้ปรึกษาหารือในเรื่องความร่วมมือด้านการประมง โดยชาวประมงของไทยมีความต้องการที่จะเข้าไปดำเนินการด้านการประมง ซึ่งนายฮุน เซ็น ก็ได้รับที่จะนำไปพิจารณาด้วยดี โดยจะให้มีการศึกษา กำหนดกฎเกณฑ์และวางเงื่อนไขที่แน่นอนเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและได้ประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย--จบ--
-อน-