นางอัจนา ไวความดี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจในประเทศสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน เปิดเผยว่า คณะกรรมการนโยบาย การเงินได้เผยแพร่รายงานแนวโน้มเงินเฟ้อ เดือนกรกฎาคม 2544 เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2544 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจของสาธารณชนเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
ภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในปัจจุบัน ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2544 อุปสงค์โดยรวมยังมีทิศทางชะลอตัว ทั้งอุปสงค์ภายในและภายนอกประเทศโดยการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญ จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยให้ชะลอลงอย่าง หลีกเลี่ยงไม่ได้ พิจารณาจากผลผลิตอุตสาหกรรมโดยรวมขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่ชะลอลงก็สะท้อนถึงความเชื่อมั่น ของผู้บริโภคที่อยู่ในระดับต่ำคณะกรรมการฯ จึงประเมินว่าปัจจัยภายนอกประเทศที่อ่อนตัวลงทำให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอลงในปีนี้ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานแม้จะมีแนวโน้มสูงขึ้น แต่ก็ยังอยู่ภายในเป้าหมายที่กำหนดคือร้อยละ 0 — 3.5 โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 1.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
การคาดการณ์แนวโน้มเงินเฟ้อและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เมื่อเทียบกับข้อสมมติประกอบการคาดการณ์เมื่อ 3 เดือนก่อนหน้า คณะกรรมการฯ เห็นว่า
1. แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่มีความชัดเจน ขณะที่เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยุโรปและญี่ปุ่นมีการชะลอตัวชัดเจนขึ้น ซึ่งการชะลอตัว ของเศรษฐกิจโลกดังกล่าวนี้ส่งผลให้เศรษฐกิจกลุ่มประเทศใน เอเชียโดยรวมชะลอตัวลงกว่าที่คาดไว้ในรายงานฉบับก่อน ดังนั้น คณะกรรมการฯ จึงปรับข้อสมมติการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญให้ต่ำลงกว่าเดิม
2. แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งหมด 6 ครั้ง ตั้งแต่ต้นปี จากระดับร้อยละ 6.5 ต่อปี มาอยู่ที่ร้อยละ 3.75 ต่อปีเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน แต่ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวต่อไปอีกทำให้คณะกรรมการฯ ใช้ข้อสมมติว่าอัตราดอกเบี้ย fed funds จะลดลงอีกร้อยละ 0.25 ต่อปี ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2544 ก่อนที่จะคงไว้ที่ร้อยละ 3.5 ต่อปี ตลอดช่วงประมาณการอีก 8ไตรมาสข้างหน้า
3. ส่วนสถานการณ์ตลาดน้ำมันดิบในไตรมาสที่ 2 ปี 2544 เปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยคาดไม่มากนัก ทำให้คณะกรรมการฯ ยังคงใช้ข้อสมมติเดียวกับรายงานฉบับก่อน คือให้ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ระหว่าง 22 — 26 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล ในช่วงครึ่งหลังของปี 2544 และอยู่ระหว่าง 20 — 24 ดอลลาร์สรอ. ต่อบาร์เรลในปี 2545
4. สำหรับข้อสมมติราคาสินค้าเกษตรตลาดโลกในการประมาณการครั้งนี้ คณะกรรมการฯ ประเมินว่าจะอ่อนตัวลงจากที่เคยประเมินไว้ โดยคาดว่าจะมีแนวโน้มลดลงในปี 2544 และ 2545 ก่อนที่จะกลับเป็นบวกในช่วงครึ่งแรกของปี 2546 เนื่องจากการชะลอลงของภาวะเศรษฐกิจโลก
5. เมื่อคำนึงถึงนโยบายเร่งด่วนต่างๆ ของรัฐบาล อาทินโยบายกองทุนหมู่บ้าน และนโยบายพักชำระหนี้ของเกษตรกรแล้ว รายงานฉบับนี้ใช้ข้อสมมติว่า ในปีงบประมาณ 2544 จะมีการเบิกจ่ายจำนวนประมาณ 900 พันล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตราการเบิกจ่ายร้อยละ 90.5 และในปีงบประมาณ 2545 ประมาณ 981 พันล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 91 ทำให้แรงกระตุ้นจากภาครัฐในปี 2545 จะเร่งขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2544
6. ส่วนข้อสมมติเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม คณะกรรมการฯ ใช้ข้อสมมติว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 10 ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2545 ตามความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2544 ที่ให้ขยายเวลาการใช้อัตราร้อยละ 7 ต่อไปถึงวันที่ 30 กันยายน 2545
การขยายตัวทางเศรษฐกิจ
แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันจะยังคงมีทิศทางชะลอลงต่อเนื่องตามปัจจัยเสี่ยงจากอุปสงค์ทั้งภายในและภายนอกประเทศที่อ่อนตัวลง แต่จากความพยายาม ในการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ประกอบกับการปรับโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยตลาดเงินและระบบการเงิน รวมทั้งการกระตุ้น ให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อ จะช่วยให้เกิดการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศซึ่งสามารถผลักดันให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นในปี 2545 และจะยิ่งเร่งตัวขึ้นอีกหากปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศเอื้ออำนวยมากกว่าปีนี้
คณะกรรมการฯ คาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2544 จะมีผลใกล้เคียงกับประมาณการของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่คาดไว้ว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 2 — 3 ส่วนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2545 — 2546 นั้น คณะกรรมการฯ ประเมินว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจน่าจะมีโอกาสเร่งตัวขึ้นได้ โดยแต่ละไตรมาสจะมีโอกาสมากที่สุดอยู่ในช่วงประมาณร้อยละ 4 — 6
แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน
ในปี 2544 อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะอยู่ระหว่างร้อยละ 1.5 - 2 ต่อปี เนื่องจากประเมินว่ายังไม่มีความเสี่ยงที่จะเป็นแรงกดดันต่อเงินเฟ้อในปีนี้ ส่วนในปี 2545 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ในช่วงร้อยละ 2 — 3 ต่อปี ตามแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
แนวทางการดำเนินนโยบายการเงิน
คณะกรรมการนโยบายการเงินประเมินว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วัน จากร้อยละ 1.5 เป็นร้อยละ 2.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2544 นั้น เป็นการเพียงพอแล้วต่อการแก้ไขปัญหาความบิดเบือนในโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินระยะสั้น แม้ว่าจะมีผลกระทบต่อความผันผวน ในตลาดตราสารหนี้และการระดมทุนภาคเอกชนอยู่บ้าง แต่ก็คาดว่าน่าจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น
ในการประชุมเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2544 คณะกรรมการนโยบายการเงินจึงมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนระยะ 14 วัน ไว้ในระดับเดิมคือร้อยละ 2.5 ต่อปี เพื่อที่จะรักษาเสถียรภาพของระดับราคา โดยคำนึงถึงเสถียรภาพภายนอก และขณะเดียวกันก็ยังเอื้อต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องต่อไป
สำหรับรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อฉบับต่อไปคือฉบับที่ 6 ธนาคารแห่งประเทศไทยจะเผยแพร่ในปลายเดือนตุลาคม 2544
--ธนาคารแห่งประเทศไทย/26 กรกฎาคม 2544--
-ยก-
ภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในปัจจุบัน ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2544 อุปสงค์โดยรวมยังมีทิศทางชะลอตัว ทั้งอุปสงค์ภายในและภายนอกประเทศโดยการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญ จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยให้ชะลอลงอย่าง หลีกเลี่ยงไม่ได้ พิจารณาจากผลผลิตอุตสาหกรรมโดยรวมขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออกที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่ชะลอลงก็สะท้อนถึงความเชื่อมั่น ของผู้บริโภคที่อยู่ในระดับต่ำคณะกรรมการฯ จึงประเมินว่าปัจจัยภายนอกประเทศที่อ่อนตัวลงทำให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มชะลอลงในปีนี้ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานแม้จะมีแนวโน้มสูงขึ้น แต่ก็ยังอยู่ภายในเป้าหมายที่กำหนดคือร้อยละ 0 — 3.5 โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปีอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 1.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
การคาดการณ์แนวโน้มเงินเฟ้อและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เมื่อเทียบกับข้อสมมติประกอบการคาดการณ์เมื่อ 3 เดือนก่อนหน้า คณะกรรมการฯ เห็นว่า
1. แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังไม่มีความชัดเจน ขณะที่เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยุโรปและญี่ปุ่นมีการชะลอตัวชัดเจนขึ้น ซึ่งการชะลอตัว ของเศรษฐกิจโลกดังกล่าวนี้ส่งผลให้เศรษฐกิจกลุ่มประเทศใน เอเชียโดยรวมชะลอตัวลงกว่าที่คาดไว้ในรายงานฉบับก่อน ดังนั้น คณะกรรมการฯ จึงปรับข้อสมมติการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญให้ต่ำลงกว่าเดิม
2. แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งหมด 6 ครั้ง ตั้งแต่ต้นปี จากระดับร้อยละ 6.5 ต่อปี มาอยู่ที่ร้อยละ 3.75 ต่อปีเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน แต่ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอตัวต่อไปอีกทำให้คณะกรรมการฯ ใช้ข้อสมมติว่าอัตราดอกเบี้ย fed funds จะลดลงอีกร้อยละ 0.25 ต่อปี ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2544 ก่อนที่จะคงไว้ที่ร้อยละ 3.5 ต่อปี ตลอดช่วงประมาณการอีก 8ไตรมาสข้างหน้า
3. ส่วนสถานการณ์ตลาดน้ำมันดิบในไตรมาสที่ 2 ปี 2544 เปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยคาดไม่มากนัก ทำให้คณะกรรมการฯ ยังคงใช้ข้อสมมติเดียวกับรายงานฉบับก่อน คือให้ราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ระหว่าง 22 — 26 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาร์เรล ในช่วงครึ่งหลังของปี 2544 และอยู่ระหว่าง 20 — 24 ดอลลาร์สรอ. ต่อบาร์เรลในปี 2545
4. สำหรับข้อสมมติราคาสินค้าเกษตรตลาดโลกในการประมาณการครั้งนี้ คณะกรรมการฯ ประเมินว่าจะอ่อนตัวลงจากที่เคยประเมินไว้ โดยคาดว่าจะมีแนวโน้มลดลงในปี 2544 และ 2545 ก่อนที่จะกลับเป็นบวกในช่วงครึ่งแรกของปี 2546 เนื่องจากการชะลอลงของภาวะเศรษฐกิจโลก
5. เมื่อคำนึงถึงนโยบายเร่งด่วนต่างๆ ของรัฐบาล อาทินโยบายกองทุนหมู่บ้าน และนโยบายพักชำระหนี้ของเกษตรกรแล้ว รายงานฉบับนี้ใช้ข้อสมมติว่า ในปีงบประมาณ 2544 จะมีการเบิกจ่ายจำนวนประมาณ 900 พันล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตราการเบิกจ่ายร้อยละ 90.5 และในปีงบประมาณ 2545 ประมาณ 981 พันล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราเบิกจ่ายร้อยละ 91 ทำให้แรงกระตุ้นจากภาครัฐในปี 2545 จะเร่งขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2544
6. ส่วนข้อสมมติเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม คณะกรรมการฯ ใช้ข้อสมมติว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 10 ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2545 ตามความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2544 ที่ให้ขยายเวลาการใช้อัตราร้อยละ 7 ต่อไปถึงวันที่ 30 กันยายน 2545
การขยายตัวทางเศรษฐกิจ
แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันจะยังคงมีทิศทางชะลอลงต่อเนื่องตามปัจจัยเสี่ยงจากอุปสงค์ทั้งภายในและภายนอกประเทศที่อ่อนตัวลง แต่จากความพยายาม ในการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ประกอบกับการปรับโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยตลาดเงินและระบบการเงิน รวมทั้งการกระตุ้น ให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อ จะช่วยให้เกิดการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศซึ่งสามารถผลักดันให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นในปี 2545 และจะยิ่งเร่งตัวขึ้นอีกหากปัจจัยเศรษฐกิจต่างประเทศเอื้ออำนวยมากกว่าปีนี้
คณะกรรมการฯ คาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2544 จะมีผลใกล้เคียงกับประมาณการของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่คาดไว้ว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 2 — 3 ส่วนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2545 — 2546 นั้น คณะกรรมการฯ ประเมินว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจน่าจะมีโอกาสเร่งตัวขึ้นได้ โดยแต่ละไตรมาสจะมีโอกาสมากที่สุดอยู่ในช่วงประมาณร้อยละ 4 — 6
แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน
ในปี 2544 อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานคาดว่าจะอยู่ระหว่างร้อยละ 1.5 - 2 ต่อปี เนื่องจากประเมินว่ายังไม่มีความเสี่ยงที่จะเป็นแรงกดดันต่อเงินเฟ้อในปีนี้ ส่วนในปี 2545 คาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ในช่วงร้อยละ 2 — 3 ต่อปี ตามแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
แนวทางการดำเนินนโยบายการเงิน
คณะกรรมการนโยบายการเงินประเมินว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วัน จากร้อยละ 1.5 เป็นร้อยละ 2.5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2544 นั้น เป็นการเพียงพอแล้วต่อการแก้ไขปัญหาความบิดเบือนในโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินระยะสั้น แม้ว่าจะมีผลกระทบต่อความผันผวน ในตลาดตราสารหนี้และการระดมทุนภาคเอกชนอยู่บ้าง แต่ก็คาดว่าน่าจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น
ในการประชุมเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2544 คณะกรรมการนโยบายการเงินจึงมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนระยะ 14 วัน ไว้ในระดับเดิมคือร้อยละ 2.5 ต่อปี เพื่อที่จะรักษาเสถียรภาพของระดับราคา โดยคำนึงถึงเสถียรภาพภายนอก และขณะเดียวกันก็ยังเอื้อต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องต่อไป
สำหรับรายงานแนวโน้มเงินเฟ้อฉบับต่อไปคือฉบับที่ 6 ธนาคารแห่งประเทศไทยจะเผยแพร่ในปลายเดือนตุลาคม 2544
--ธนาคารแห่งประเทศไทย/26 กรกฎาคม 2544--
-ยก-