แท็ก
สหรัฐ
สหรัฐอเมริกา
การบริโภคของสหรัฐฯปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย โดยดัชนียอดขายปลีกในเดือนมกราคมสูงขึ้นร้อยละ 3.5 (yoy) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 (mom) อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจความมั่นใจของผู้บริโภคตกต่ำลงอย่าง ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และเป็นระดับต่ำสุด นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2539 โดยในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 106.8 จากระดับ 115.7 ในเดือนมกราคม
ในส่วนของภาคการผลิตในเดือนกุมภาพันธ์ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย โดยดัชนีการสำรวจความคิดเห็นของผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (NAPM Purchasing Manager Index) อยู่ที่ระดับ 41.9 สูงขึ้นจากระดับ 41.2 ในเดือนมกราคม
การจ้างงานในเดือนกุมภาพันธ์ยังคงอยู่ในภาวะตึงตัว โดยอัตราการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ระดับร้อยละ 4.2 เท่ากับอัตราการว่างงานในเดือนมกราคม
อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ในเดือนมกราคม ปรับสูงขึ้นเล็กน้อยจากระดับราคาของสินค้าหมวด พลังงานและอาหารเป็นปัจจัยหลัก โดยดัชนีราคา ผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้บริโภคที่ไม่รวมราคาหมวดอาหารและพลังงาน (Core CPI) ในเดือนมกราคมอยู่ที่ระดับ ร้อยละ 3.7 และ 2.6 ต่อปี ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากประสิทธิภาพการผลิตที่ยังอยู่ในระดับที่สูงโดยในไตรมาสที่ 4 ปี 2543 ขยายตัวร้อยละ 3.4 เทียบกับ ไตรมาส 3 ซึ่งขยายตัวร้อยละ 4.8 ประกอบกับมีการ แข่งขันระหว่างผู้ผลิต ทำให้ระดับราคาสินค้าของผู้บริโภคไม่สูงขึ้นมากนัก
ยุโรป
เศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มยูโร ในไตรมาส ที่ 4 ปี 2543 ขยายตัวร้อยละ 3 ต่อปี ชะลอลงจากไตรมาสที่ 2 และไตรมาสที่ 3 ที่ขยายตัวร้อยละ 3.7 และ 3.2 ตามลำดับ เนื่องจากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลกเป็นสำคัญ ทั้งนี้ เศรษฐกิจทั้งปี 2543 ขยายตัวร้อยละ 3.4 ต่อปี สำหรับเศรษฐกิจยุโรปในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้คาดว่าจะชะลอตัวลงต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนโดยธนาคารกลางยุโรปคาดว่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ 2.8 - 3.0 ต่อปี
อัตราการว่างงานโดยรวมของกลุ่มประเทศยูโรมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา โดยในเดือนมกราคม 2544 อยู่ที่ระดับร้อยละ 8.8
สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคในกลุ่มประเทศยูโรในเดือนมกราคม ขยายตัวร้อยละ 2.4 ต่อปี (เทียบกับร้อยละ 2.6 ในเดือนธันวาคม 2543) ถึงแม้ว่ายังคงสูงกว่าเป้าหมายที่ร้อยละ 2 ต่อปีของธนาคารกลางยุโรป แต่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงเนื่องจากการลดลงของราคาน้ำมัน ค่าเงินยูโรที่แข็งขึ้นและการชะลอตัวลงของปริมาณเงิน (M3) และเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้คงอัตราดอกเบี้ยทางการไว้ที่ร้อยละ 4.75 ในการประชุมเมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา และนักวิเคราะห์คาดว่า ECB จะยังรอดูสภาพเศรษฐกิจก่อนที่จะตัดสินใจเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยในอนาคต (Neutral Bias) ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาการปรับเปลี่ยนทิศทางอัตราดอกเบี้ยของ ECB จะช้ากว่าการปรับเปลี่ยนของธนาคารกลางสหรัฐฯ ประมาณ 4 - 6 เดือน ดังนั้น คาดว่า ECB อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงไตรมาสที่ 2
เอเชียตะวันออก
เศรษฐกิจญี่ปุ่นในไตรมาสที่ 4 ปี 2543 ขยายตัวร้อยละ 0.8 (qoq) หรือขยายตัวร้อยละ 2.3 (yoy) ปัจจัยหลักเกิดจากการลงทุนภาคธุรกิจยังคง ขยายตัวในระดับสูง โดยการลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8 (qoq) อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายของผู้บริโภคขยายตัวเล็กน้อยเพียงร้อยละ 0.9 (qoq) สำหรับไตรมาสแรกปีนี้ นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าเศรษฐกิจจะชะลอลงกว่าไตรมาสที่ผ่านมาเนื่องจากแนวโน้มการชะลอลงของการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการลงทุน
จากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจญี่ปุ่น ส่งผลให้ BOJ Policy Board ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย Overnight Call Rate และ Discount Rate ลงร้อยละ 0.10 มาอยู่ที่ระดับร้อยละ 0.15 ต่อปีและ 0.25 ต่อปี ตามลำดับ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยเหตุผลที่ทำให้ BOJ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเนื่องจากปัจจัยดังนี้ 1) การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการส่งออกของญี่ปุ่น โดยการ ส่งออกในเดือนมกราคมลดลงถึงร้อยละ 12.1 (yoy) 2) ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของธุรกิจ นักลงทุน และผู้บริโภค 3) ความ ไม่แน่นอนเกี่ยวกับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจในอนาคต 4) ความเสี่ยงในการเกิดภาวะเงินฝืด (Deflationary Pressure) จากการที่อุปสงค์ในระบบเศรษฐกิจลดต่ำลง โดยผู้บริโภคยังคงระมัดระวังในการใช้จ่าย ส่งผลให้ระดับราคาลดลงมาโดยตลอด
นอกจากนี้ BOJ ยังชี้ว่าอาจจะมีการผ่อนคลายนโยบายการเงินอีกในอนาคต หากเศรษฐกิจยังคงชะลอลงและระดับราคาในประเทศยังคงลดลงต่อไป ซึ่งอาจจะกลับไปดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยใกล้ศูนย์ (Zero Interest Rate Policy) และเพิ่มปริมาณเงินด้วยการเพิ่มการทำ Underwriting พันธบัตร JGB ของ BOJ เป็นต้น
สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนประกาศตัวเลข GDP ในไตรมาสที่ 4 ปี 2543 ขยายตัวร้อยละ 7.3 (yoy) และสำหรับเศรษฐกิจทั้งปี 2543 ขยายตัวร้อยละ 8.0 (yoy) โดยตลอดทั้งปีการลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3 (yoy) ดัชนีราคาขายปลีกลดลงร้อยละ 1.4 (yoy) ขณะที่ดัชนีราคาสินค้าผู้บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4
เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2544 China Securities Regulator Commission (CSRC) และ State Administration Foreign Exchange (SAFE) ได้ประกาศผ่อนคลายกฎระเบียบให้นักลงทุนท้องถิ่นสามารถลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ B-share ได้ เพื่อส่งเสริมการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดดังกล่าวให้มากขึ้น ซึ่งเดิมตลาด B-share เป็นตลาดเฉพาะสำหรับนักลงทุนต่างชาติในการซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้เงินสกุลต่างประเทศ
เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2544 นายจูหรงจี นายก รัฐมนตรีของจีนได้แถลงร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี (2544-2548) ฉบับที่ 10 ในการประชุมประจำปีของสภาแห่งชาติจีน สรุปได้ ดังนี้
1) การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนใน 5 ปี ข้างหน้าจะขยายตัวในอัตราประมาณร้อยละ 7 ต่อปี เทียบกับที่เคยเติบโตร้อยละ 8.3 ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
2) อัตราการว่างงาน จะไม่เกินร้อยละ 5 ในระยะ 5 ปีข้างหน้า โดยรัฐบาลจะวางนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานและพัฒนาระบบประกันสังคมแห่งชาติ รวมทั้งมีโครงการเพื่อพัฒนาพื้นที่ชนบทในภาคตะวันตกของประเทศ
3) การรักษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ นับเป็นครั้งแรกที่บรรจุไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อลดมลภาวะทางน้ำและอากาศ โดยเฉพาะการขาดแคลนน้ำในตอนภาคเหนือของจีน
4) การกำจัดองค์กรที่ผิดกฎหมาย เช่น Falun Gong ซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการลดบทบาทของภาครัฐในการเข้าไป มีส่วนร่วมในการกำหนดเศรษฐกิจและจะปล่อยให้กลไกตลาดเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยในภาคการเกษตรจะปล่อยให้เกษตรกรมีอิสระมากขึ้นในการจัดการกับ ผลผลิตที่ปลูกขึ้นได้ และรัฐบาลจะลดการแทรกแซงราคาสินค้าเกษตร ส่วนภาคอุตสาหกรรมรัฐบาลจะสนับสนุนให้บริษัทธุรกิจนำหุ้นไปจดทะเบียนในตลาดต่างประเทศมากขึ้น และจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับต่างชาติเพื่อพัฒนาการดำเนินงานของบริษัท
ทางการฮ่องกงประกาศตัวเลข GDP ปี 2543 ขยายตัวร้อยละ 10.5 (yoy) สูงกว่าที่ทางการเคยคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 10 โดยในไตรมาสที่ 4 ขยายตัวร้อยละ 6.8 และได้ปรับลดการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสแรก และไตรมาสที่ 2 จากร้อยละ 14.2 และ 10.9 เป็นร้อยละ 14.1 และ 10.8 ตามลำดับ และปรับเพิ่มการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 จากร้อยละ 10.4 เป็นร้อยละ 10.8 สำหรับในปี 2544 ทางการได้คาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจไว้ที่ร้อยละ 4.0
ทางการไต้หวันแถลงว่าเศรษฐกิจในไตรมาส ที่ 4 ปี 2543 ขยายตัวร้อยละ 4.08 (yoy) ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.7 เนื่องจาก 1) การชะลอลงของการส่งออกโดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ 2) การชะลอลงของการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุน และ 3) ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศส่งผลให้ตลอดปี 2543 เศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 5.98 สำหรับเศรษฐกิจในปีนี้คาดว่าจะยังคงชะลอลงเพราะปัจจัยทางการเมืองและแนวโน้มการชะลอลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคู่ค้าที่สำคัญของไต้หวัน โดยทางการคาดว่าเศรษฐกิจในปี 2544 จะขยายตัวร้อยละ 5.25
เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2544 ธนาคารกลางไต้หวันได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย discount rate และ accommodation with collateral rate (อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางให้กู้แก่ธนาคารพาณิชย์เพื่อปล่อยกู้แก่ภาคเศรษฐกิจที่ได้รับการส่งเสริมโดยมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน) ลงอีกร้อยละ 0.125 เป็นร้อยละ 4.25 และ 4.625 ตามลำดับ โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม 2544 เพื่อต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจไต้หวัน ที่ซบเซา
ดุลบัญชีเดินสะพัดของเกาหลีใต้สำหรับปี 2543 เกินดุล 11.0 พันล้านดอลลาร์สรอ. ลดลงกว่าครึ่งหนึ่งจากปี 2542 ที่เกินดุล 24.5 พันล้านดอลลาร์สรอ. เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าและการขาดดุลของดุลบริการจากการที่นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้เดินทางไปต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ การค้าเกินดุล 16.6 พันล้านดอลลาร์สรอ. โดยการส่งออกและการนำเข้ามีมูลค่า 175.8 พันล้านดอลลาร์สรอ. และ 159.2 พันล้านดอลลาร์สรอ. ตามลำดับ สำหรับดุลบัญชีเงินทุนในปี 2543 เกินดุล 11.7 พันล้านดอลลาร์สรอ. เพิ่มขึ้นประมาณ 5 เท่าตัวจากปีก่อนหน้า นับเป็นการเกินดุล ที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2539
อาเซียน
มาเลเซียประกาศตัวเลข GDP สำหรับไตรมาสที่ 4 ปี 2543 เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.5 (yoy) ชะลอลงจากไตรมาสที่ 3 ที่ขยายตัวร้อยละ 7.8 ส่งผลให้เศรษฐกิจของมาเลเซียทั้งปี 2543 ขยายตัวร้อยละ 8.5 เทียบกับ ที่ขยายตัวร้อยละ 5.8 ในปี 2542 นักวิเคราะห์เห็นว่าอัตราการขยายตัวของ GDP ในไตรมาสที่ 4 นั้น เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ โดยในปี 2543 การขยายตัวทางเศรษฐกิจมาจากการผลิตในภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก สำหรับปีนี้นักวิเคราะห์คาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจของมาเลเซียจะชะลอตัวลงเหลือประมาณร้อยละ 5.5 เป็นผลจากการส่งออกที่ชะลอตัวลงสืบเนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2544 มาเลเซียประกาศแผนแม่บทระยะ 10 ปีเพื่อพัฒนาตลาดทุน (Capital Markets Masterplan) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้มาเลเซียเป็นศูนย์ระดมทุนที่เป็นที่นิยมสำหรับธุรกิจในประเทศ ส่งเสริมธุรกิจจัดการลงทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และให้เกิดสภาพแวดล้อมด้านการลงทุนที่ดีขึ้น รวมทั้งเพื่อเสริมสร้างฐานะการเเข่งขันและประสิทธิภาพของสถาบันต่างๆ ในตลาด ทั้งนี้ มีมาตรการต่างๆ เพื่อพัฒนาตลาดหลักทรัพย์รวมถึงผ่อนคลายกฎระเบียบในการบริหารและถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติในบริษัทนายหน้าค้าหลักทรัพย์และกองทุนรวม และผ่อนปรนกฎระเบียบในการซื้อขายหลักทรัพย์แก่นักลงทุนมากขึ้น
ต่อมาเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2544 ธนาคารกลางมาเลเซียประกาศแผนแม่บทระยะ 10 ปีในการพัฒนาภาคธุรกิจการเงิน (Financial Sector Masterplan) โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะแรก (2544-2546) มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความสามารถ (enhancing capacity) ของสถาบันการเงินท้องถิ่นและสร้างความแข็งแกร่งด้านโครงสร้างทางการเงิน (ซึ่งรวมถึงการพัฒนาระบบธนาคารอิสลามและผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ) ระยะที่สอง (2547-2550) เพื่อสร้างแรงกดดันให้ภาคธุรกิจการเงินภายในประเทศมีการแข่งขันมากขึ้น และระยะที่สาม (หลัง 2550) เปิดให้มีการแข่งขันใหม่ๆ จากสถาบันการเงินต่างประเทศ ขณะเดียวกับที่มีการเปิดตลาดการเงินและรวมตลาดการเงินของมาเลเซีย เข้ากับตลาดการเงินโลก
สำนักงานสถิติของอินโดนีเซียแถลงว่า ในปี 2543 เศรษฐกิจของอินโดนีเซียขยายตัวร้อยละ 4.8 ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของการลงทุนและการส่งออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกน้ำมันซึ่งในปีที่แล้วราคาน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มขึ้นมาก ทั้งนี้ ในไตรมาสที่ 4 GDP ขยายตัวร้อยละ 5.2 (yoy) เนื่องจากการขยายตัวของการส่งออกและการบริโภคภายในประเทศ แต่หดตัวร้อยละ 0.7 (qoq) เนื่องจากการหดตัวของภาคเกษตรเป็นสำคัญ สำหรับเศรษฐกิจทั้งปี 2544 คาดว่าจะ ขยายตัวร้อยละ 4.5-5.5
เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2544 Moody's ปรับลด outlook ของอินโดนีเซีย สำหรับ B3 foreign currency country ceiling และ Caa1 foreign currency bank deposit ceiling จาก positive เป็น stable ถึงแม้ว่า ดัชนีเศรษฐกิจหลายตัวจะชี้ว่าเศรษฐกิจของอินโดนีเซียปรับตัวดีขึ้นในปีที่ผ่านมา โดยเศรษฐกิจทั้งปีขยายตัวร้อยละ 4.8 เนื่องจาก Moody's เชื่อว่าปัญหาการเมืองที่ อินโดนีเซียเผชิญหน้าอยู่จะส่งผลต่อการจัดการด้านเศรษฐกิจและความสัมพันธ์กับเจ้าหนี้ เหตุผลดังกล่าวทำให้ Moody's จะยังไม่ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือในระยะอันใกล้นี้ แต่ได้ปรับ outlook จาก positive มาเป็น stable
ธนาคารกลางฟิลิปปินส์แถลงเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2544 ว่า สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ในระบบธนาคารฟิลิปปินส์ประจำเดือนธันวาคม 2543 อยู่ที่ร้อยละ 15.10 ปรับตัวดีขึ้นจากร้อยละ 16.26 ในเดือนพฤศจิกายน เป็นผลจากการที่ธนาคารมีการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น และความสำเร็จของการปรับโครงสร้างหนี้ในเดือนธันวาคมรวมทั้งสิ้น 8.7 พันล้านเปโซ
ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานลงอีกร้อยละ 0.5 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย overnight borrowing rate และ overnight lending rate ลดลงจากร้อยละ 11.0 และ 13.25 เป็นร้อยละ 10.50 และ 12.75 ตามลำดับ โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2544 ทั้งนี้ ธนาคารกลางได้ให้เหตุผลว่าตัวเลขเงินเฟ้อในเดือนกุมภาพันธ์มีแนวโน้มชะลอลงและค่าเงินเปโซมีเสถียรภาพดีขึ้น โดยนับเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวมร้อยละ 4.5 ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2543
เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2544 กรรมการผู้จัดการของธนาคารกลางสิงคโปร์แถลงในการประชุม DBS Singapore Dollar Bond Conference ว่าสิงคโปร์จะ ผ่อนคลายกฎระเบียบการทำธุรกรรม swap ดอลลาร์ สิงคโปร์ของ non-residents ในตลาด offshore โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสภาพคล่องในตลาดรองของ ตราสารหนี้ และให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2544 ดังนี้ 1) อนุญาตให้ stock broker สามารถทำ ธุรกรรม swap และ credit derivatives ได้ 2) อนุญาตให้ธนาคารไม่ต้องกันเงินสำรองไว้สำหรับธุรกรรม swap เงินดอลลาร์สิงคโปร์ที่มีอายุไม่ถึง 1 ปี ที่ทำกับสถาบันการเงินที่มิใช่ธนาคารและบริษัทธุรกิจ 3) ยกเลิกข้อบังคับที่ให้ธนาคารต้องชี้แจงวัตถุประสงค์และมูลค่าของการทำ swap ต่อ MAS พร้อมกันนี้ นาย Goh ยังได้กล่าวเพิ่มอีกว่า the Singapore Exchange (SGX) จะออก futures contract ของพันธบัตรรัฐบาลสิงคโปร์ในช่วงกลางปีนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาตลาดทุนในสิงคโปร์อีกด้วย
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ในตลาดเห็นว่า การผ่อนคลายกฎระเบียบดังกล่าวระบุถึงเฉพาะผู้ออก ตราสารหนี้ในตลาดแรกเท่านั้น แต่ไม่ได้ระบุขั้นตอนที่จะทำให้เพิ่มสภาพคล่องและความโปร่งใสในตลาดรองอย่างชัดเจน เนื่องจากยังคงมีการจำกัดจำนวนเงินที่ให้กู้ยืมแก่ offshore bank อยู่ที่ 5 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์
ทางการสิงคโปร์ประกาศตัวเลข GDP ในไตรมาสที่ 4 ปี 2543 ขยายตัวร้อยละ 11.0 (yoy) สูงกว่าตัวเลข Advanced GDP ที่ได้ประกาศไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาที่ร้อยละ 10.5 โดยการขยายตัวของเศรษฐกิจเป็นผลจากการผลิตภาคอุตสาหกรรมและการสื่อสารโทรคมนาคมเป็นสำคัญ สำหรับเศรษฐกิจทั้งปี 2543 ขยายตัวร้อยละ 9.9 อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ในตลาดคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะชะลอลงอยู่ที่ 5.5 โดยในไตรมาสที่ 1 คาดว่าจะขยายตัวเพียงร้อยละ 6.5 ในขณะที่ ทางการยังคงคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ไว้ที่ 5.0 - 7.0
เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2544 ธนาคารกลางสิงคโปร์แถลงว่าจะยังคงดำเนินนโยบายการเงินที่ให้ เงินดอลลาร์สิงคโปร์ค่อยๆ แข็งค่าขึ้นตามที่ได้กล่าวไว้เมื่อเดือนกรกฎาคม 2543 โดยให้เหตุผลว่าค่าเงินดอลลาร์สิงคโปร์ที่อ่อนจะนำมาซึ่งภาวะเงินเฟ้อ ภายในประเทศ และคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อในปีนี้จะสูงขึ้นกว่าปีที่แล้ว แต่จะไม่เกินร้อยละ 2.0 (yoy) นอกจากนี้ MAS ยังกล่าวอีกว่า แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่ปัจจัยภายนอก อันได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะส่งผลต่อเศรษฐกิจของสิงคโปร์โดยรวม แต่ผลกระทบก็ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ในขณะนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนแปลง
เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2544 รัฐบาลสิงคโปร์แถลงนโยบายการคลังปี 2544/45 โดยมีเป้าหมาย เกินดุล 4.37 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (2.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ.) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 23.5 สอดคล้องกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระดับสูงในปี 2543 ที่ร้อยละ 9.9 (yoy) โดยมีงบประมาณรายจ่าย 28.05 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (16.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ.) ขณะที่มีรายรับ 34.27 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (19.7 พันล้านดอลลาร์สรอ.) ทั้งนี้ ทางการได้ เปลี่ยนแปลงมาตรการทางด้านภาษีเพื่อกระตุ้นการบริโภคของภาคเอกชน และรองรับการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจสิงคโปร์ โดยเพิ่มค่าลดหย่อนและปรับลดอัตราภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ภาษีอสังหาริมทรัพย์ ภาษีธุรกิจ รวมทั้งปรับลดเพดานอัตราภาษีสูงสุดและเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้าบุหรี่ ทั้งนี้ ทางการคาดว่าเศรษฐกิจในปี 2544 จะขยายตัวร้อยละ 5.0 | 7.0
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
การบริโภคของสหรัฐฯปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย โดยดัชนียอดขายปลีกในเดือนมกราคมสูงขึ้นร้อยละ 3.5 (yoy) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 (mom) อย่างไรก็ตาม ผลการสำรวจความมั่นใจของผู้บริโภคตกต่ำลงอย่าง ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 และเป็นระดับต่ำสุด นับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2539 โดยในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 106.8 จากระดับ 115.7 ในเดือนมกราคม
ในส่วนของภาคการผลิตในเดือนกุมภาพันธ์ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย โดยดัชนีการสำรวจความคิดเห็นของผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (NAPM Purchasing Manager Index) อยู่ที่ระดับ 41.9 สูงขึ้นจากระดับ 41.2 ในเดือนมกราคม
การจ้างงานในเดือนกุมภาพันธ์ยังคงอยู่ในภาวะตึงตัว โดยอัตราการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ระดับร้อยละ 4.2 เท่ากับอัตราการว่างงานในเดือนมกราคม
อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ในเดือนมกราคม ปรับสูงขึ้นเล็กน้อยจากระดับราคาของสินค้าหมวด พลังงานและอาหารเป็นปัจจัยหลัก โดยดัชนีราคา ผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้บริโภคที่ไม่รวมราคาหมวดอาหารและพลังงาน (Core CPI) ในเดือนมกราคมอยู่ที่ระดับ ร้อยละ 3.7 และ 2.6 ต่อปี ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากประสิทธิภาพการผลิตที่ยังอยู่ในระดับที่สูงโดยในไตรมาสที่ 4 ปี 2543 ขยายตัวร้อยละ 3.4 เทียบกับ ไตรมาส 3 ซึ่งขยายตัวร้อยละ 4.8 ประกอบกับมีการ แข่งขันระหว่างผู้ผลิต ทำให้ระดับราคาสินค้าของผู้บริโภคไม่สูงขึ้นมากนัก
ยุโรป
เศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มยูโร ในไตรมาส ที่ 4 ปี 2543 ขยายตัวร้อยละ 3 ต่อปี ชะลอลงจากไตรมาสที่ 2 และไตรมาสที่ 3 ที่ขยายตัวร้อยละ 3.7 และ 3.2 ตามลำดับ เนื่องจากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลกเป็นสำคัญ ทั้งนี้ เศรษฐกิจทั้งปี 2543 ขยายตัวร้อยละ 3.4 ต่อปี สำหรับเศรษฐกิจยุโรปในไตรมาสที่ 1 ของปีนี้คาดว่าจะชะลอตัวลงต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนโดยธนาคารกลางยุโรปคาดว่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ 2.8 - 3.0 ต่อปี
อัตราการว่างงานโดยรวมของกลุ่มประเทศยูโรมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา โดยในเดือนมกราคม 2544 อยู่ที่ระดับร้อยละ 8.8
สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคในกลุ่มประเทศยูโรในเดือนมกราคม ขยายตัวร้อยละ 2.4 ต่อปี (เทียบกับร้อยละ 2.6 ในเดือนธันวาคม 2543) ถึงแม้ว่ายังคงสูงกว่าเป้าหมายที่ร้อยละ 2 ต่อปีของธนาคารกลางยุโรป แต่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงเนื่องจากการลดลงของราคาน้ำมัน ค่าเงินยูโรที่แข็งขึ้นและการชะลอตัวลงของปริมาณเงิน (M3) และเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้คงอัตราดอกเบี้ยทางการไว้ที่ร้อยละ 4.75 ในการประชุมเมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา และนักวิเคราะห์คาดว่า ECB จะยังรอดูสภาพเศรษฐกิจก่อนที่จะตัดสินใจเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยในอนาคต (Neutral Bias) ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาการปรับเปลี่ยนทิศทางอัตราดอกเบี้ยของ ECB จะช้ากว่าการปรับเปลี่ยนของธนาคารกลางสหรัฐฯ ประมาณ 4 - 6 เดือน ดังนั้น คาดว่า ECB อาจจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงไตรมาสที่ 2
เอเชียตะวันออก
เศรษฐกิจญี่ปุ่นในไตรมาสที่ 4 ปี 2543 ขยายตัวร้อยละ 0.8 (qoq) หรือขยายตัวร้อยละ 2.3 (yoy) ปัจจัยหลักเกิดจากการลงทุนภาคธุรกิจยังคง ขยายตัวในระดับสูง โดยการลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.8 (qoq) อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายของผู้บริโภคขยายตัวเล็กน้อยเพียงร้อยละ 0.9 (qoq) สำหรับไตรมาสแรกปีนี้ นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าเศรษฐกิจจะชะลอลงกว่าไตรมาสที่ผ่านมาเนื่องจากแนวโน้มการชะลอลงของการใช้จ่ายของผู้บริโภคและการลงทุน
จากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจญี่ปุ่น ส่งผลให้ BOJ Policy Board ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย Overnight Call Rate และ Discount Rate ลงร้อยละ 0.10 มาอยู่ที่ระดับร้อยละ 0.15 ต่อปีและ 0.25 ต่อปี ตามลำดับ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยเหตุผลที่ทำให้ BOJ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเนื่องจากปัจจัยดังนี้ 1) การชะลอตัวลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการส่งออกของญี่ปุ่น โดยการ ส่งออกในเดือนมกราคมลดลงถึงร้อยละ 12.1 (yoy) 2) ตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของธุรกิจ นักลงทุน และผู้บริโภค 3) ความ ไม่แน่นอนเกี่ยวกับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจในอนาคต 4) ความเสี่ยงในการเกิดภาวะเงินฝืด (Deflationary Pressure) จากการที่อุปสงค์ในระบบเศรษฐกิจลดต่ำลง โดยผู้บริโภคยังคงระมัดระวังในการใช้จ่าย ส่งผลให้ระดับราคาลดลงมาโดยตลอด
นอกจากนี้ BOJ ยังชี้ว่าอาจจะมีการผ่อนคลายนโยบายการเงินอีกในอนาคต หากเศรษฐกิจยังคงชะลอลงและระดับราคาในประเทศยังคงลดลงต่อไป ซึ่งอาจจะกลับไปดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยใกล้ศูนย์ (Zero Interest Rate Policy) และเพิ่มปริมาณเงินด้วยการเพิ่มการทำ Underwriting พันธบัตร JGB ของ BOJ เป็นต้น
สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนประกาศตัวเลข GDP ในไตรมาสที่ 4 ปี 2543 ขยายตัวร้อยละ 7.3 (yoy) และสำหรับเศรษฐกิจทั้งปี 2543 ขยายตัวร้อยละ 8.0 (yoy) โดยตลอดทั้งปีการลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.3 (yoy) ดัชนีราคาขายปลีกลดลงร้อยละ 1.4 (yoy) ขณะที่ดัชนีราคาสินค้าผู้บริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4
เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2544 China Securities Regulator Commission (CSRC) และ State Administration Foreign Exchange (SAFE) ได้ประกาศผ่อนคลายกฎระเบียบให้นักลงทุนท้องถิ่นสามารถลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ B-share ได้ เพื่อส่งเสริมการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดดังกล่าวให้มากขึ้น ซึ่งเดิมตลาด B-share เป็นตลาดเฉพาะสำหรับนักลงทุนต่างชาติในการซื้อขายหลักทรัพย์โดยใช้เงินสกุลต่างประเทศ
เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2544 นายจูหรงจี นายก รัฐมนตรีของจีนได้แถลงร่างแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี (2544-2548) ฉบับที่ 10 ในการประชุมประจำปีของสภาแห่งชาติจีน สรุปได้ ดังนี้
1) การเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนใน 5 ปี ข้างหน้าจะขยายตัวในอัตราประมาณร้อยละ 7 ต่อปี เทียบกับที่เคยเติบโตร้อยละ 8.3 ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
2) อัตราการว่างงาน จะไม่เกินร้อยละ 5 ในระยะ 5 ปีข้างหน้า โดยรัฐบาลจะวางนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานและพัฒนาระบบประกันสังคมแห่งชาติ รวมทั้งมีโครงการเพื่อพัฒนาพื้นที่ชนบทในภาคตะวันตกของประเทศ
3) การรักษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ นับเป็นครั้งแรกที่บรรจุไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อลดมลภาวะทางน้ำและอากาศ โดยเฉพาะการขาดแคลนน้ำในตอนภาคเหนือของจีน
4) การกำจัดองค์กรที่ผิดกฎหมาย เช่น Falun Gong ซึ่งเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงการลดบทบาทของภาครัฐในการเข้าไป มีส่วนร่วมในการกำหนดเศรษฐกิจและจะปล่อยให้กลไกตลาดเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยในภาคการเกษตรจะปล่อยให้เกษตรกรมีอิสระมากขึ้นในการจัดการกับ ผลผลิตที่ปลูกขึ้นได้ และรัฐบาลจะลดการแทรกแซงราคาสินค้าเกษตร ส่วนภาคอุตสาหกรรมรัฐบาลจะสนับสนุนให้บริษัทธุรกิจนำหุ้นไปจดทะเบียนในตลาดต่างประเทศมากขึ้น และจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับต่างชาติเพื่อพัฒนาการดำเนินงานของบริษัท
ทางการฮ่องกงประกาศตัวเลข GDP ปี 2543 ขยายตัวร้อยละ 10.5 (yoy) สูงกว่าที่ทางการเคยคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 10 โดยในไตรมาสที่ 4 ขยายตัวร้อยละ 6.8 และได้ปรับลดการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสแรก และไตรมาสที่ 2 จากร้อยละ 14.2 และ 10.9 เป็นร้อยละ 14.1 และ 10.8 ตามลำดับ และปรับเพิ่มการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 จากร้อยละ 10.4 เป็นร้อยละ 10.8 สำหรับในปี 2544 ทางการได้คาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจไว้ที่ร้อยละ 4.0
ทางการไต้หวันแถลงว่าเศรษฐกิจในไตรมาส ที่ 4 ปี 2543 ขยายตัวร้อยละ 4.08 (yoy) ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.7 เนื่องจาก 1) การชะลอลงของการส่งออกโดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ 2) การชะลอลงของการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุน และ 3) ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศส่งผลให้ตลอดปี 2543 เศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 5.98 สำหรับเศรษฐกิจในปีนี้คาดว่าจะยังคงชะลอลงเพราะปัจจัยทางการเมืองและแนวโน้มการชะลอลงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคู่ค้าที่สำคัญของไต้หวัน โดยทางการคาดว่าเศรษฐกิจในปี 2544 จะขยายตัวร้อยละ 5.25
เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2544 ธนาคารกลางไต้หวันได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย discount rate และ accommodation with collateral rate (อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางให้กู้แก่ธนาคารพาณิชย์เพื่อปล่อยกู้แก่ภาคเศรษฐกิจที่ได้รับการส่งเสริมโดยมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน) ลงอีกร้อยละ 0.125 เป็นร้อยละ 4.25 และ 4.625 ตามลำดับ โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม 2544 เพื่อต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจไต้หวัน ที่ซบเซา
ดุลบัญชีเดินสะพัดของเกาหลีใต้สำหรับปี 2543 เกินดุล 11.0 พันล้านดอลลาร์สรอ. ลดลงกว่าครึ่งหนึ่งจากปี 2542 ที่เกินดุล 24.5 พันล้านดอลลาร์สรอ. เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าและการขาดดุลของดุลบริการจากการที่นักท่องเที่ยวเกาหลีใต้เดินทางไปต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ การค้าเกินดุล 16.6 พันล้านดอลลาร์สรอ. โดยการส่งออกและการนำเข้ามีมูลค่า 175.8 พันล้านดอลลาร์สรอ. และ 159.2 พันล้านดอลลาร์สรอ. ตามลำดับ สำหรับดุลบัญชีเงินทุนในปี 2543 เกินดุล 11.7 พันล้านดอลลาร์สรอ. เพิ่มขึ้นประมาณ 5 เท่าตัวจากปีก่อนหน้า นับเป็นการเกินดุล ที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2539
อาเซียน
มาเลเซียประกาศตัวเลข GDP สำหรับไตรมาสที่ 4 ปี 2543 เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.5 (yoy) ชะลอลงจากไตรมาสที่ 3 ที่ขยายตัวร้อยละ 7.8 ส่งผลให้เศรษฐกิจของมาเลเซียทั้งปี 2543 ขยายตัวร้อยละ 8.5 เทียบกับ ที่ขยายตัวร้อยละ 5.8 ในปี 2542 นักวิเคราะห์เห็นว่าอัตราการขยายตัวของ GDP ในไตรมาสที่ 4 นั้น เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ โดยในปี 2543 การขยายตัวทางเศรษฐกิจมาจากการผลิตในภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก สำหรับปีนี้นักวิเคราะห์คาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจของมาเลเซียจะชะลอตัวลงเหลือประมาณร้อยละ 5.5 เป็นผลจากการส่งออกที่ชะลอตัวลงสืบเนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ
เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2544 มาเลเซียประกาศแผนแม่บทระยะ 10 ปีเพื่อพัฒนาตลาดทุน (Capital Markets Masterplan) โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้มาเลเซียเป็นศูนย์ระดมทุนที่เป็นที่นิยมสำหรับธุรกิจในประเทศ ส่งเสริมธุรกิจจัดการลงทุนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และให้เกิดสภาพแวดล้อมด้านการลงทุนที่ดีขึ้น รวมทั้งเพื่อเสริมสร้างฐานะการเเข่งขันและประสิทธิภาพของสถาบันต่างๆ ในตลาด ทั้งนี้ มีมาตรการต่างๆ เพื่อพัฒนาตลาดหลักทรัพย์รวมถึงผ่อนคลายกฎระเบียบในการบริหารและถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติในบริษัทนายหน้าค้าหลักทรัพย์และกองทุนรวม และผ่อนปรนกฎระเบียบในการซื้อขายหลักทรัพย์แก่นักลงทุนมากขึ้น
ต่อมาเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2544 ธนาคารกลางมาเลเซียประกาศแผนแม่บทระยะ 10 ปีในการพัฒนาภาคธุรกิจการเงิน (Financial Sector Masterplan) โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะแรก (2544-2546) มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความสามารถ (enhancing capacity) ของสถาบันการเงินท้องถิ่นและสร้างความแข็งแกร่งด้านโครงสร้างทางการเงิน (ซึ่งรวมถึงการพัฒนาระบบธนาคารอิสลามและผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ) ระยะที่สอง (2547-2550) เพื่อสร้างแรงกดดันให้ภาคธุรกิจการเงินภายในประเทศมีการแข่งขันมากขึ้น และระยะที่สาม (หลัง 2550) เปิดให้มีการแข่งขันใหม่ๆ จากสถาบันการเงินต่างประเทศ ขณะเดียวกับที่มีการเปิดตลาดการเงินและรวมตลาดการเงินของมาเลเซีย เข้ากับตลาดการเงินโลก
สำนักงานสถิติของอินโดนีเซียแถลงว่า ในปี 2543 เศรษฐกิจของอินโดนีเซียขยายตัวร้อยละ 4.8 ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของการลงทุนและการส่งออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกน้ำมันซึ่งในปีที่แล้วราคาน้ำมันในตลาดโลกเพิ่มขึ้นมาก ทั้งนี้ ในไตรมาสที่ 4 GDP ขยายตัวร้อยละ 5.2 (yoy) เนื่องจากการขยายตัวของการส่งออกและการบริโภคภายในประเทศ แต่หดตัวร้อยละ 0.7 (qoq) เนื่องจากการหดตัวของภาคเกษตรเป็นสำคัญ สำหรับเศรษฐกิจทั้งปี 2544 คาดว่าจะ ขยายตัวร้อยละ 4.5-5.5
เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2544 Moody's ปรับลด outlook ของอินโดนีเซีย สำหรับ B3 foreign currency country ceiling และ Caa1 foreign currency bank deposit ceiling จาก positive เป็น stable ถึงแม้ว่า ดัชนีเศรษฐกิจหลายตัวจะชี้ว่าเศรษฐกิจของอินโดนีเซียปรับตัวดีขึ้นในปีที่ผ่านมา โดยเศรษฐกิจทั้งปีขยายตัวร้อยละ 4.8 เนื่องจาก Moody's เชื่อว่าปัญหาการเมืองที่ อินโดนีเซียเผชิญหน้าอยู่จะส่งผลต่อการจัดการด้านเศรษฐกิจและความสัมพันธ์กับเจ้าหนี้ เหตุผลดังกล่าวทำให้ Moody's จะยังไม่ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือในระยะอันใกล้นี้ แต่ได้ปรับ outlook จาก positive มาเป็น stable
ธนาคารกลางฟิลิปปินส์แถลงเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2544 ว่า สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ในระบบธนาคารฟิลิปปินส์ประจำเดือนธันวาคม 2543 อยู่ที่ร้อยละ 15.10 ปรับตัวดีขึ้นจากร้อยละ 16.26 ในเดือนพฤศจิกายน เป็นผลจากการที่ธนาคารมีการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น และความสำเร็จของการปรับโครงสร้างหนี้ในเดือนธันวาคมรวมทั้งสิ้น 8.7 พันล้านเปโซ
ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานลงอีกร้อยละ 0.5 ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย overnight borrowing rate และ overnight lending rate ลดลงจากร้อยละ 11.0 และ 13.25 เป็นร้อยละ 10.50 และ 12.75 ตามลำดับ โดยให้เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2544 ทั้งนี้ ธนาคารกลางได้ให้เหตุผลว่าตัวเลขเงินเฟ้อในเดือนกุมภาพันธ์มีแนวโน้มชะลอลงและค่าเงินเปโซมีเสถียรภาพดีขึ้น โดยนับเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวมร้อยละ 4.5 ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2543
เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2544 กรรมการผู้จัดการของธนาคารกลางสิงคโปร์แถลงในการประชุม DBS Singapore Dollar Bond Conference ว่าสิงคโปร์จะ ผ่อนคลายกฎระเบียบการทำธุรกรรม swap ดอลลาร์ สิงคโปร์ของ non-residents ในตลาด offshore โดยมี วัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสภาพคล่องในตลาดรองของ ตราสารหนี้ และให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2544 ดังนี้ 1) อนุญาตให้ stock broker สามารถทำ ธุรกรรม swap และ credit derivatives ได้ 2) อนุญาตให้ธนาคารไม่ต้องกันเงินสำรองไว้สำหรับธุรกรรม swap เงินดอลลาร์สิงคโปร์ที่มีอายุไม่ถึง 1 ปี ที่ทำกับสถาบันการเงินที่มิใช่ธนาคารและบริษัทธุรกิจ 3) ยกเลิกข้อบังคับที่ให้ธนาคารต้องชี้แจงวัตถุประสงค์และมูลค่าของการทำ swap ต่อ MAS พร้อมกันนี้ นาย Goh ยังได้กล่าวเพิ่มอีกว่า the Singapore Exchange (SGX) จะออก futures contract ของพันธบัตรรัฐบาลสิงคโปร์ในช่วงกลางปีนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาตลาดทุนในสิงคโปร์อีกด้วย
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ในตลาดเห็นว่า การผ่อนคลายกฎระเบียบดังกล่าวระบุถึงเฉพาะผู้ออก ตราสารหนี้ในตลาดแรกเท่านั้น แต่ไม่ได้ระบุขั้นตอนที่จะทำให้เพิ่มสภาพคล่องและความโปร่งใสในตลาดรองอย่างชัดเจน เนื่องจากยังคงมีการจำกัดจำนวนเงินที่ให้กู้ยืมแก่ offshore bank อยู่ที่ 5 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์
ทางการสิงคโปร์ประกาศตัวเลข GDP ในไตรมาสที่ 4 ปี 2543 ขยายตัวร้อยละ 11.0 (yoy) สูงกว่าตัวเลข Advanced GDP ที่ได้ประกาศไปเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาที่ร้อยละ 10.5 โดยการขยายตัวของเศรษฐกิจเป็นผลจากการผลิตภาคอุตสาหกรรมและการสื่อสารโทรคมนาคมเป็นสำคัญ สำหรับเศรษฐกิจทั้งปี 2543 ขยายตัวร้อยละ 9.9 อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์ในตลาดคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะชะลอลงอยู่ที่ 5.5 โดยในไตรมาสที่ 1 คาดว่าจะขยายตัวเพียงร้อยละ 6.5 ในขณะที่ ทางการยังคงคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้ไว้ที่ 5.0 - 7.0
เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2544 ธนาคารกลางสิงคโปร์แถลงว่าจะยังคงดำเนินนโยบายการเงินที่ให้ เงินดอลลาร์สิงคโปร์ค่อยๆ แข็งค่าขึ้นตามที่ได้กล่าวไว้เมื่อเดือนกรกฎาคม 2543 โดยให้เหตุผลว่าค่าเงินดอลลาร์สิงคโปร์ที่อ่อนจะนำมาซึ่งภาวะเงินเฟ้อ ภายในประเทศ และคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อในปีนี้จะสูงขึ้นกว่าปีที่แล้ว แต่จะไม่เกินร้อยละ 2.0 (yoy) นอกจากนี้ MAS ยังกล่าวอีกว่า แม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่ปัจจัยภายนอก อันได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะส่งผลต่อเศรษฐกิจของสิงคโปร์โดยรวม แต่ผลกระทบก็ยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ในขณะนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนแปลง
เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2544 รัฐบาลสิงคโปร์แถลงนโยบายการคลังปี 2544/45 โดยมีเป้าหมาย เกินดุล 4.37 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (2.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ.) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าร้อยละ 23.5 สอดคล้องกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระดับสูงในปี 2543 ที่ร้อยละ 9.9 (yoy) โดยมีงบประมาณรายจ่าย 28.05 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (16.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ.) ขณะที่มีรายรับ 34.27 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (19.7 พันล้านดอลลาร์สรอ.) ทั้งนี้ ทางการได้ เปลี่ยนแปลงมาตรการทางด้านภาษีเพื่อกระตุ้นการบริโภคของภาคเอกชน และรองรับการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจสิงคโปร์ โดยเพิ่มค่าลดหย่อนและปรับลดอัตราภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ภาษีอสังหาริมทรัพย์ ภาษีธุรกิจ รวมทั้งปรับลดเพดานอัตราภาษีสูงสุดและเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับสินค้าบุหรี่ ทั้งนี้ ทางการคาดว่าเศรษฐกิจในปี 2544 จะขยายตัวร้อยละ 5.0 | 7.0
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-