ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) lang=TH>รายงานการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ภาคเศรษฐกิจที่สำคัญ ในไตรมาสแรกของปี 2544 เป็นเงินจำนวน 52,496.54 ล้านบาท
นายโอบเอื้อ ครุฑานุช ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารมวลชน ในฐานะ รองโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้ให้ความอนุเคราะห์ทางการเงินแก่ภาคเศรษฐกิจที่สำคัญในไตรมาสแรกปี 2544 ผ่านสถาบันการเงินเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นรวม 28,991.52 ล้านบาท เมื่อรวมกับส่วนของสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้สมทบอีก 40%-60% จำนวน 23,505.02 ล้านบาท แล้ว ทำให้ยอดสินเชื่อที่ปล่อยกู้แก่ระบบเศรษฐกิจมียอดสะสมทั้งสิ้น 52,496.54 ล้านบาท
สำหรับภาคธุรกิจที่สำคัญที่มาขอรับความอนุเคราะห์ทางการเงินจาก ธปท.เป็นจำนวนสูงสุด ได้แก่ ภาคการส่งออก โดยในไตรมาสนี้ได้รับความอนุเคราะห์ทางการเงินจาก ธปท. รวม 13,454.90 ล้านบาท ส่วนภาคอุตสาหกรรม (ไม่รวม SMEs) มียอดให้กู้ จำนวน 226.04 ล้านบาท
ผลจากมาตรการลดดอกเบี้ยที่ให้แก่ SMEs ของธปท. เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2544 จากร้อยละ 3 ต่อปี เหลือร้อยละ 2 ต่อปี ทำให้ยอดเงินให้กู้สะสมเพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นไตรมาสที่สี่ของปี 2543 จาก 7,867.41 ล้านบาท เป็น 12,804.54 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่หนึ่งของปี 2544 ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 4,937.13 ล้านบาท
ในส่วนของ SMEs ที่ ธปท.ได้อนุมัติการกู้ยืมเงินไปตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงสิ้นไตรมาสแรกของปี 2544 มีจำนวน 5,635 ราย วงเงิน 22,590.65 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากสิ้นไตรมาสที่สี่ของปี 2543 จำนวน 274 ราย วงเงิน 1,068.52 ล้านบาท
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2544 คณะกรรมการ ธปท.ได้อนุมัติวงเงินให้กู้ยืมแก่ ธ.ก.ส.เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อย จำนวน 5,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี เป็นเวลา 18 เดือน และได้อนุมัติต่ออายุวงเงินช่วยเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร จำนวน 3,000 ล้านบาท ออกไปอีก 3 ปี โดยคิดดอกเบี้ยจาก ธ.ก.ส. ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
นายโอบเอื้อ ครุฑานุช ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารมวลชน ในฐานะ รองโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้ให้ความอนุเคราะห์ทางการเงินแก่ภาคเศรษฐกิจที่สำคัญในไตรมาสแรกปี 2544 ผ่านสถาบันการเงินเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้นรวม 28,991.52 ล้านบาท เมื่อรวมกับส่วนของสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้สมทบอีก 40%-60% จำนวน 23,505.02 ล้านบาท แล้ว ทำให้ยอดสินเชื่อที่ปล่อยกู้แก่ระบบเศรษฐกิจมียอดสะสมทั้งสิ้น 52,496.54 ล้านบาท
สำหรับภาคธุรกิจที่สำคัญที่มาขอรับความอนุเคราะห์ทางการเงินจาก ธปท.เป็นจำนวนสูงสุด ได้แก่ ภาคการส่งออก โดยในไตรมาสนี้ได้รับความอนุเคราะห์ทางการเงินจาก ธปท. รวม 13,454.90 ล้านบาท ส่วนภาคอุตสาหกรรม (ไม่รวม SMEs) มียอดให้กู้ จำนวน 226.04 ล้านบาท
ผลจากมาตรการลดดอกเบี้ยที่ให้แก่ SMEs ของธปท. เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 2544 จากร้อยละ 3 ต่อปี เหลือร้อยละ 2 ต่อปี ทำให้ยอดเงินให้กู้สะสมเพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นไตรมาสที่สี่ของปี 2543 จาก 7,867.41 ล้านบาท เป็น 12,804.54 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่หนึ่งของปี 2544 ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 4,937.13 ล้านบาท
ในส่วนของ SMEs ที่ ธปท.ได้อนุมัติการกู้ยืมเงินไปตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงสิ้นไตรมาสแรกของปี 2544 มีจำนวน 5,635 ราย วงเงิน 22,590.65 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นจากสิ้นไตรมาสที่สี่ของปี 2543 จำนวน 274 ราย วงเงิน 1,068.52 ล้านบาท
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2544 คณะกรรมการ ธปท.ได้อนุมัติวงเงินให้กู้ยืมแก่ ธ.ก.ส.เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อย จำนวน 5,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อปี เป็นเวลา 18 เดือน และได้อนุมัติต่ออายุวงเงินช่วยเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร จำนวน 3,000 ล้านบาท ออกไปอีก 3 ปี โดยคิดดอกเบี้ยจาก ธ.ก.ส. ในอัตราร้อยละ 3 ต่อปี
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-