ภาพรวมและแนวโน้มเศรษฐกิจ
โรมาเนียเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย และปรับโครงสร้างสู่ระบบเศรษฐกิจแบบการตลาดมาตั้งแต่ปี 2532 เศรษฐกิจขยายตัวสูงในระยะเริ่มแรก แต่กลับชะลอตัวลงนับแต่ปี 2539 เศรษฐกิจทรุดหนักและ GDP มีค่า -6.6% ในปี 2540 และ -7.3% ในปี 2541 การผลิตในสาขาเกษตรและอุตสาหกรรมลดลง ส่งผลต่อการบริโภคและการค้า การส่งออกลดลง ขณะที่ความจำเป็นต้องนำเข้าสูงขึ้น ยอดขาดดุลการค้าสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ รัฐบาลพยายามเร่งปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจ ส่งเสริมการลงทุนและเร่งรัดส่งออก ปรับปรุงการใช้จ่ายภาครัฐ แต่ก็ไม่ประสบผลนัก อัตราเงินเฟ้อลดลงระดับหนึ่งจาก 151% เมื่อปี 2540 เหลือประมาณ 45.8% ในปี 2542 การว่างงานยังสูง 11.5% และยังมีการว่างงานแฝงที่ทำให้ปัญหาเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น นอกจากนี้ เอกชนยังขาดประสบการณ์และขาดความสามารถในการปรับตัวสู่การแข่งขัน และการขยายตัวส่งออกไปตลาดใหม่ ๆ
ปี 2543 นับเป็นปีสำคัญของการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคใหม่ เมื่อโรมาเนียได้รับเชิญให้ร่วมเจรจาเข้าเป็นสมาชิกสมทบของสหภาพยุโรป ซึ่งน่าจะส่งผลดีภาพพจน์ของประเทศในเวทีโลก รัฐบาลโรมาเนียได้วางเป้าหมายที่จะนำนโยบายและมาตรการใหม่ ๆ มาใช้เพื่อแสดงความมุ่งมั่น และสร้างความต่อเนื่องในการปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ในปี 2543 คาดว่า GDP น่าจะมีค่าเป็นบวกที่ระดับ 1.3% ผลผลิตอุตสาหกรรมน่าจะเพิ่ม 2% การส่งออกและการนำเข้าจะสูงขึ้น 4.2% และ 11% ตามลำดับ เงินเฟ้อน่าจะลดลงเหลือประมาณ 27% แต่การว่างงานอาจสูงกว่าเดิมที่อัตรา 12.7%
การค้ากับประเทศไทยและแนวโน้ม
การค้าไทย-โรมาเนียยังมีมูลค่าไม่สูงและผันแปร อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ความต้องการซื้อและความสามารถในการส่งออกของแต่ละประเทศ สินค้าที่ซื้อ-ขายระหว่างกันจึงเปลี่ยนแปลง และมีมูลค่าผันแปรไปในแต่ละปี ที่ผ่านมาไทยเป็นฝ่ายขาดดุลการค้าต่อโรมาเนียมาตลอด ยกเว้นเพียงในปี 2541 ในปี 2542 ไทยส่งออกไปโรมาเนียมูลค่า 15.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 10.2% และไทยนำเข้าจากโรมาเนียมูลค่า 17.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 72.2%
สินค้าที่ไทยส่งออกไปโรมาเนีย ได้แก่ อาหารกระป๋อง น้ำตาล ไก่แช่แข็ง ข้าว เสื้อผ้า ผลิตภัณฑ์สิ่งทอ ผลิตภัณฑ์พลาสติก รองเท้า ยางพารา ถุงมือยาง เครื่องสำอาง อุปกรณ์เครื่องเขียน เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ อุปกรณ์อิเลคโทรนิคและสื่อสารโทรคมนาคม อุปกรณ์ถ่ายภาพ และของเด็กเล่น เป็นต้น
สินค้าที่ไทยนำเข้าจากโรมาเนีย ได้แก่ ปุ๋ยเคมี เหล็กและเหล็กกล้า เครื่องจักร และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ฯลฯ
แนวโน้มและโอกาสทางการค้า แม้ว่าเศรษฐกิจของโรมาเนียยังขาดเสถียรภาพและการขยายตัวทางเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับต่ำ แต่รัฐบาลก็มีความพยายามที่จะเร่งแก้ไขปัญหา สร้างความต่อเนื่องของการปฏิรูป และสร้างสิ่งจูงใจทางเศรษฐกิจเพื่อดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศ และนำพาประเทศให้ก้าวทันประเทศเพื่อนบ้าน คาดว่าเศรษฐกิจของโรมาเนียจะขยายตัวเป็นค่าบวกประมาณ 1.3% ในปี 2543 การเข้าไปลงทุนของบริษัทต่างชาติที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจะช่วยสร้างงาน รายได้ และความต้องการสินค้า ตลาดโรมาเนียซึ่งมีประชากรประมาณ 23 ล้านคน จึงเป็นตลาดที่น่าจะสามารถดูดซับสินค้าส่งออกหลายชนิดของไทยทั้งสินค้าเพื่อการอุปโภค-บริโภค เช่น อาหาร เสื้อผ้า รองเท้า อุปกรณ์กีฬา ถุงมือทางการแพทย์ เครื่องปรับอากาศและอุปกรณ์ และกลุ่มสินค้าเพื่อการผลิต เช่น เส้นด้ายและผ้าผืน เครื่องปรับอากาศและอุปกรณ์ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ อุปกรณ์และส่วนประกอบยานยนต์ และส่วนประกอบเครื่องจักรไฟฟ้า เป็นต้น
นโยบายการค้า
โรมาเนียเปิดประเทศสู่ระบบการค้าเสรีมาตั้งแต่ปี 2532 เป็นหนึ่งในสมาชิกก่อตั้งของ WTO มีเป้าหมายสูงสุดที่จะเข้าเป็นสมาชิก NATO และสหภาพยุโรป มีการพัฒนาเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศคล้ายคลึงกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ภายหลังเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจหลายประการ เช่น ปัญหาเงินเฟ้อ การว่างงาน และการขาดดุลการค้าอย่างรุนแรง มีการปรับปรุงกฎระเบียบทางการค้า อัตราภาษี และปรับระบบการจัดเก็บให้ทันสมัยขึ้น มีผู้ประกอบการรายย่อย ๆ เกิดขึ้นจำนวนมาก ผู้ประกอบการเดิมต้องปรับตัวและเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อให้สามารถอยู่รอดในภาวะแข่งขันทางการค้า
ปัจจุบันเอกชนได้เข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจมากขึ้น กล่าวคือ มีสัดส่วนร้อยละ 65.7 ของมูลค่าส่งออก และร้อยละ 71.9 ของมูลค่าการนำเข้าของประเทศ เทียบกับที่เคยมีบทบาทเพียงร้อยละ 28 และร้อยละ 33 ตามลำดับ ในปี 2535นโยบายการนำเข้า
นโยบายและมาตรการภาษี
- ภาษีนำเข้า รัฐบาลโรมาเนียจัดเก็บภาษีตามระบบ Ad Valorem ได้ปรับลดอัตราภาษีนำเข้าลงโดยลำดับในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ยกเลิกการผูกขาดโดยรัฐและเริ่มใช้ระบบศุลกากร Harmonized System Code (8 Digits) ในปี 2536 MFN ในปี 2541 กำหนดไว้สูงสุดที่ระดับร้อยละ 35 สำหรับสินค้าอุตสาหกรรม และร้อยละ 134 สำหรับสินค้าเกษตร ซึ่งในส่วนภาษีนำเข้าสินค้าเกษตร โรมาเนียได้ผูกพันที่ลดภาษีลงร้อยละ 24 ภายในระยะเวลา 10 ปี
โรมาเนียได้ดำเนินการลดภาษีนำเข้าสินค้าที่อยู่ภายใต้ Agreement on Information Technology ลงโดยลำดับ และตามกำหนด จะยกเลิกภาษีนำเข้าสำหรับการนำเข้าจากประเทศสมาชิก WTO อย่างสิ้นเชิงภายในวันที่ 1 ม.ค. 2543
อย่างไรก็ตาม อัตราภาษีเฉลี่ยอยู่ที่ระดับร้อยละ 33.9 สำหรับสินค้าเกษตร ร้อยละ 16.2 สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่สินค้าเกษตร และเฉลี่ยร้อยละ 11.7 สำหรับทุกสินค้า ในหมวดแร่ธาตุและเชื้อเพลิงที่จำเป็นใช้ในอุตสาหกรรมจะได้รับลดหย่อนภาษีในอัตราต่ำ (0-3-10%) ในขณะที่มีการตั้งกำแพงภาษีสูงในรายการสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเลคโทรนิกค์ รถยนต์ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ยาสูบ และสิ่งทอ
การปรับลดอัตราภาษีนำเข้าของโรมาเนียในช่วงระหว่างปี 1997 - 1999 มีรายการสินค้านำเข้าสำคัญจากไทยที่ได้รับประโยชน์ เช่น ปลากระป๋อง (จากอัตราเดิม 80% เหลือ 50%) สับปะรดกระป๋อง (อัตราเดิม 10% เหลือ 8%) และน้ำมะเขือเทศเข้มข้น (อัตราเดิม 46% เหลือ 40%) ซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของสินค้าไทย อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าเกษตรบางรายการที่ไทยต้องการรณรงค์ขยายตลาดแต่ยังมีอุปสรรคในอัตราภาษีนำเข้าที่ยังคงสูง หรือเสียเปรียบประเทศคู่แข่งขันที่ได้รับสิทธิพิเศษเสียภาษีนำเข้าในอัตราต่ำกว่า เช่น สินค้าไก่แช่เย็นหรือแช่แข็ง (อัตราภาษี 60%) และข้าวสาร (ไทยเสียภาษีนำเข้าอัตรา 25% ในขณะที่ประเทศผู้ส่งออก เช่น อียิปต์ ปากีสถาน ได้สิทธิพิเศษเสียอัตรา 15% และอิตาลี 18.8% สำหรับโควต้า 10,000 ตันแรกของประเทศ EU)
- Import Surcharge รัฐบาลโรมาเนียได้ออกประกาศเรียกเก็บ Import Srucharge เป็นการชั่วคราว สำหรับสินค้านำเข้ารายการต่าง ๆ (ประมาณ 60% ของรายการสินค้านำเข้า) โดยเริ่มมาตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2541 ในอัตรา 6% และได้ปรับลดเหลือ 4% เมื่อปี 2542 ซึ่งมีกำหนดจะสิ้นสุดการจัดเก็บในสิ้นเดือนธันวาคม 2543 สินค้าในรายการที่ได้รับการยกเว้น Import Surcharge ได้แก่ สินค้าแร่และเชื้อเพลิงที่จำเป็นต่อการอุตสาหกรรม เช่น ก๊าซธรรมชาติ น้ำมันดิบ พลังงานไฟฟ้าและถ่านหิน รวมทั้งสินค้าที่นำเข้าเพื่อผลิตและส่งกลับเป็นสินค้าออก
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สินค้าและบริการในโรมาเนียโดยทั่วไปเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 22% ยกเว้นสินค้าและบริการที่จำเป็นต่อการครองชีพเก็บในอัตรา 11% ได้แก่ สินค้าอาหารและผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารนม เนื้อสัตว์และปลา น้ำมันใช้ประกอบอาหาร หนังสือพิมพ์ ยารักษาโรค ปศุสัตว์ ปุ๋ย และเครื่องมือการเกษตร สินค้าและบริการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ ขนมปัง เชื้อเพลิงใช้ในครัวเรือน (ไม้ ถ่านหิน น้ำมัน) บริการขนส่งสาธารณะ และบริการสาธารณูปโภค
- ภาษีตอบโต้การอุดหนุนและการทุ่มตลาด (Countervailing Duties and Anti-dumping Duties) รัฐบาลโรมาเนียได้เริ่มประกาศใช้กฎหมาย Countervailing Duties และ Anti-dumping Duties เมื่อปี 1992 มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองและช่วยเหลือผู้ประกอบการภายในประเทศจากผลกระทบหากมีการใช้กลยุทธ์การทุ่มตลาดหรือให้การอุดหนุนของสินค้านำเข้าจากประเทศผู้ผลิตแข่งขัน มาตรการคุ้มครองดังกล่าวอาจพิจารณาใช้ในรูปของการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติม หรือกำหนดโควต้าปริมาณการนำเข้า หากกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าโรมาเนียไต่สวนแล้วพบว่าสินค้านำเข้ามีการทุ่มตลาดหรือได้รับการอุดหนุนจากประเทศผู้ผลิตจริง จนก่อให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมในประเทศ
- ภาษีสรรพสามิต (Excise Taxes) สินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตและอัตราการเรียกเก็บ ได้แก่ บุหรี่ 8 ECU/ 1000 มวน บวก 20% tax); Fuel (6-15%); สุรา (100 - 150%), ไวน์ (20%), เบียร์ (55-70%); กาแฟ (80%) และ น้ำหอม (20%)
มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff) ประกอบด้วย
- Import License จะใช้เฉพาะสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสุขอนามัยและความปลอดภัย วัตถุระเบิด สินค้าที่เป็นอันตราย อาวุธยุทโธปกรณ์ และสารมีพิษ (Toxic Substances) ต้องขออนุญาตก่อนนำเข้า
- Prohibited Imports โรมาเนียกำหนดมาตรการห้ามนำเข้าสินค้าบางชนิด โดยถือว่าผิดกฎหมาย ได้แก่ สัตว์มีชีวิต ซึ่งเป็นสินค้าปศุสัตว์สำคัญของโรมาเนีย เช่น โค กระบือ แกะ และแพะ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคสัตว์ สินค้าอื่น ๆ ที่มีข้อห้ามนำเข้า ได้แก่ ยาเสพย์ติด Illegal Drugs และสินค้าที่มีผลต่อความมั่นคงภายในประเทศ
- การปิดฉลากและป้ายสินค้า สินค้าที่นำเข้าไปจำหน่ายในโรมาเนียต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดการปิดฉลาก เมื่อเดือนตุลาคม 2539 ทางการโรมาเนียได้ออกระเบียบการปิดฉลากสินค้าอาหารฉบับใหม่กำหนดให้ต้องมีฉลากหรือป้ายข้อความเป็นภาษาโรมาเนียระบุรายละเอียด เช่น ชื่อสินค้า ผู้ผลิตและสถานที่ผลิต ชื่อผู้นำเข้าหรือจัดจำหน่าย น้ำหนักสุทธิ วันเดือนปีที่หมดอายุ วิธีการใช้หรือการบริโภค ส่วนประกอบสำคัญ การเก็บรักษา และเลขหมายที่ผลิต และสำหรับผลิตภัณฑ์สิ่งทอ กำหนดให้แจ้งบนฉลาก ระบุชื่อสินค้า ชื่อผู้ผลิต ผู้นำเข้า องค์ประกอบเส้นใย ตลอดจนเครื่องหมายการดูแลรักษาและซักรีด ตามมาตรฐานสากลระหว่างประเทศ
- การตรวจสอบมาตรฐานและการรับรอง โรมาเนียปรับปรุงข้อกำหนดมาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัย ออกประกาศภายใต้อำนาจของ Romania Standard Institute เกือบร้อยละ 90 ของมาตรฐานที่ได้ปรับปรุงใหม่ จะเป็นบรรทัดฐานเดียวกับ ISO หรือมาตรฐานของ EU โดยดัดแปลงให้เข้ากับมาตรฐานการควบคุมคุณภาพสากล เช่น ISO 8402, 9000-9004 และ 9004-2 ปรับใช้และรับหลักเกณฑ์เข้าเป็นระบบมาตรฐานแห่งชาติ (National Standardization System) โดยสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (Office for Consumer Protection) ทำหน้าที่กำกับดูแลเพื่อประกันความปลอดภัยแก่ชีวิต สุขอนามัย และควบคุมสภาพแวดล้อม
นโยบายการส่งออก
โรมาเนียเปิดเสรีการส่งออกสินค้าและบริการ ไม่มีการกำหนดภาษีหรือเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการส่งออก และไม่ต้องขอรับใบอนุญาตส่งออก (Export License) ยกเว้นเฉพาะสินค้าบางประเภท และในบางสถานการณ์ เช่น เมื่อเกิดเหตุการณ์สินค้าจำเป็นแก่การครองชีพขาดตลาด (Basically Foodstuffs, Fuels, Unfinished Wood Products etc.) การแลกเปลี่ยนสินค้า (Barter Transactions) และการส่งออกสินค้าที่รัฐบาลให้การประกันสินเชื่อ (Gevernment Line of Credit) เป็นต้น
ที่ผ่านมาแม้จะมีกฎระเบียบหรือข้อกำหนดสำหรับการส่งออกสินค้าอยู่บ้าง แต่ในระยะที่มูลค่าการนำเข้าสูงเกินกว่าการส่งออกมาก รัฐบาลโรมาเนียมักจะใช้มาตรการผ่อนคลายกฎระเบียบ และขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้การส่งออกสะดวกและคล่องตัว เป็นการเพิ่มรายได้ ช่วยลดปัญหาภาวะขาดดุลการค้า และการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศ
ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ปัญหา และอุปสรรคทางการค้าของไทย
1. การค้าไทย-โรมาเนียเคยมีมูลค่าสูงกว่าปัจจุบัน แต่ด้วยปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั้งในโรมาเนียและประเทศไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มูลค่าการค้าสองฝ่ายจึงลดต่ำลงโดยลำดับ สินค้าส่งออกหลักของไทยไปโรมาเนียยังจำกัดอยู่ในกลุ่มสินค้าอุปโภค-บริโภค ด้วยอำนาจซื้อของตลาดที่ยังไม่มากจึงให้ความสำคัญต่อราคาเป็นอันดับแรก สินค้าราคาถูกคุณภาพปานกลางเป็นที่ต้องการสูง สินค้าไทยจึงต้องเผชิญกับการแข่งขันจากผู้ผลิตที่มีต้นทุนค่าจ้างต่ำ เช่น จีน เวียดนาม ตุรกี แม้ว่าปัจจุบันการเข้าไปลงทุนของบริษัทต่างชาติจะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างสินค้านำเข้ามาสู่สินค้าเพื่อการผลิตมากขึ้น เช่น ส่วนประกอบและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เครื่องจักรอิเลคทรอนิกส์และส่วนประกอบ ส่วนประกอบยานยนต์ อุปกรณ์โทรคมนาคม เป็นต้น แต่สินค้าไทยก็ยังไม่เป็นที่รู้จักนัก การนำเข้าจากไทยจึงผันแปรทั้งชนิดสินค้าที่นำเข้าและมูลค่า ซึ่งแสดงถึงความพยายามของผู้ค้าที่จะแสวงหาสินค้าและแหล่งนำเข้าใหม่ๆ และศักยภาพของตลาดที่จะสามารถพัฒนาได้อีกมาก แต่ขาดความต่อเนื่องและความพยายามผลักดันอย่างจริงจัง
ในอีกแง่มุมหนึ่งโรมาเนียการส่งออกวัตถุดิบการผลิตที่จำเป็นต้องนำเข้าสำหรับอุตสาหกรรมส่งออกของไทยหลายชนิด เช่น ปุ๋ยเคมี เคมีภัณฑ์ ยากำจัดศัตรูพืช สินแร่ เหล็กและเหล็กกล้า ซึ่งหากสินค้ามีคุณภาพเป็นที่พอใจก็น่าจะเป็นแหล่งวัตถุดิบให้แก่อุตสาหกรรมของไทยได้
2. ตลาดโรมาเนียมีลักษณะเหมือนประเทศสังคมนิยมเดิมอื่นๆ คือ อยู่ในช่วงปฏิรูปและปรับตัวทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังมีจุดอ่อนหลายประการที่ทำให้ผู้ค้าทั้งสองฝ่ายขาดความสนใจซึ่งกันและกันที่สำคัญ ได้แก่
- การเปิดประเทศทำให้มีผู้ประกอบการใหม่ ๆ เข้าสู่ตลาดจำนวนมาก ผู้นำเข้าจึงเป็นรายย่อย ๆ ยังขาดประสบการณ์ทางการค้าและการนำเข้า ขาดแคลนเงินสด และปริมาณสั่งซื้อจำนวนคราวละไม่มาก แต่เดิมผู้ค้ามักจะเดินทางมาสั่งซื้อที่ประเทศไทยและจ่ายเงินสดในทันทีโดยนำสินค้าติดตัวกลับไปส่วนหนึ่ง อีกส่วนให้ผู้ผลิตส่งตามภายหลัง เพื่อหลีกเลี่ยงและลดภาระภาษี แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรรัดกุมการตรวจสอบมากขึ้น ผู้ซื้อก็หันมาสั่งซื้อและขอให้จัดส่งสินค้า แต่มักหลีกเลี่ยงการออก L/C และต้องการเครดิตระยะ 90 - 120 วัน เมื่อผู้ส่งออกไทยไม่สามารถให้เครดิตได้ ผู้นำเข้าก็หันไปนำเข้าจากแหล่งอื่น หรือซื้อสินค้าไทยผ่านผู้ค้าในยุโรปที่ผ่อนปรนเรื่องเครดิต
- การค้านอกระบบในโรมาเนียซึ่งมีสัดส่วนสูงกว่าร้อยละ 50 บั่นทอนอำนาจการแข่งขันของสินค้าไทยลงอย่างมาก โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญ และมีศักยภาพขยาย
- ผู้ซื้อและผู้ขายต่างก็เป็นผู้ค้ารายใหม่ ขาดความคุ้นเคย รวมทั้งการควบคุมของกฎหมายยังไม่รัดกุมและตรวจสอบยาก ทำให้มีการย้ายถิ่นฐาน เปลี่ยนแปลงการจดทะเบียนของผู้ประกอบการค้าอยู่เสมอ ความเสี่ยงที่จะให้เครดิตมีสูงสินค้าไทย เพราะยังไม่มีตัวแทนเอกชนหรือเครือข่ายที่จะรักษาผลประโยชน์ทางการค้าของไทยในโรมาเนีย จึงมีเสียโอกาสขายสินค้า และผู้ขายของไทยก็ขาดความสนใจที่จะเข้าไปเจาะตลาด ยิ่งเศรษฐกิจของโรมาเนียทรุดต่ำลงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การค้าจึงลดลงอย่างรวดเร็ว
3. เครื่องมือและกลยุทธ์ที่น่าจะสามารถเป็นตัวเร่ง และกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของทั้งสองฝ่ายยิ่งขึ้น ได้แก่ การใช้เวทีหารือภายใต้กรอบทวิภาคีของการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย-โรมาเนีย ซึ่งเป็นการพบหารือของผู้บริหารระดับสูงในภาครัฐและการประชุมสภาธุรกิจไทย-โรมาเนียของผู้นำในภาคเอกชน ซึ่งมีขึ้นเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง ให้เกิดประโยชน์ ให้มีการจัดทำแผนดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม สามารถประเมินและวัดผลได้ ประเด็นที่อาจพิจารณานำขึ้นหารือ เช่น
- การลดภาษีนำเข้าภายใต้ GSPT ในการประชุมครั้งที่ผ่านมา ฝ่ายไทยขอให้โรมาเนียลดภาษีนำเข้าสินค้าที่มีโอกาสสูง คือ ไก่สดแช่แข็ง (ภาษี 60%) และข้าวขาว (25%) แต่ยังไม่มีความคืบหน้า แม้ว่าระหว่างปี 1997 - 1999 โรมาเนียจะมีการปรับปรุงลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าหลายรายการที่เป็นประโยชน์ต่อไทย ได้แก่ ปลากระป๋อง (จากภาษีอัตรา 80% เหลือ 50%) สับปะรดกระป๋อง (จาก 10% เหลือ 8%) น้ำมะเขือเทศเข้มข้น (จาก 46% เหลือ 40%)
- ผลักดันให้มีการแลกเปลี่ยนสินค้าหรือการค้าต่างตอบแทน ระหว่างสินค้าอุปโภคบริโภคของไทยซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาด กับวัตถุดิบการผลิต เช่น ผลิตภัณฑ์เหล็ก และโลหะ ผลิตภัณฑ์ไม้ ปุ๋ย และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสถานะทางการเงินของผู้ค้า
- สนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างธนาคารเพื่อการนำเข้า - ส่งออก และธนาคารพาณิชย์ของทั้งสองฝ่าย เพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออกเรื่องการประกันความเสี่ยงเพื่อการส่งออก-นำเข้า
- ส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนคณะผู้แทนภาคเอกชนของทั้งสองฝ่าย โดยความร่วมมือกันระหว่างรัฐบาลและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยของแต่ละฝ่าย ให้การสนับสนุนนักธุรกิจของตนในลักษณะต่างตอบแทน รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติที่แต่ละฝ่ายจัดขึ้น เช่น การแลกเปลี่ยนพื้นที่แสดงสินค้าเพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าร่วมงานโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย การสนับสนุนให้จัดงานแสดง และแนะนำสินค้าไทย/สินค้าโรมาเนียในแต่ละประเทศเพื่อให้ผู้ค้ามีโอกาสแลกเปลี่ยนกันแนะนำสินค้าใหม่ ๆ ต่อตลาดอย่างต่อเนื่องและเพิ่มมูลค่าการส่งออก
(ที่มา : สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงบูดาเปสต์)
-วารสาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 12/2543 วันที่ 30 มิถุนายน 2543--
-อน-
โรมาเนียเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย และปรับโครงสร้างสู่ระบบเศรษฐกิจแบบการตลาดมาตั้งแต่ปี 2532 เศรษฐกิจขยายตัวสูงในระยะเริ่มแรก แต่กลับชะลอตัวลงนับแต่ปี 2539 เศรษฐกิจทรุดหนักและ GDP มีค่า -6.6% ในปี 2540 และ -7.3% ในปี 2541 การผลิตในสาขาเกษตรและอุตสาหกรรมลดลง ส่งผลต่อการบริโภคและการค้า การส่งออกลดลง ขณะที่ความจำเป็นต้องนำเข้าสูงขึ้น ยอดขาดดุลการค้าสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ รัฐบาลพยายามเร่งปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจ ส่งเสริมการลงทุนและเร่งรัดส่งออก ปรับปรุงการใช้จ่ายภาครัฐ แต่ก็ไม่ประสบผลนัก อัตราเงินเฟ้อลดลงระดับหนึ่งจาก 151% เมื่อปี 2540 เหลือประมาณ 45.8% ในปี 2542 การว่างงานยังสูง 11.5% และยังมีการว่างงานแฝงที่ทำให้ปัญหาเศรษฐกิจรุนแรงขึ้น นอกจากนี้ เอกชนยังขาดประสบการณ์และขาดความสามารถในการปรับตัวสู่การแข่งขัน และการขยายตัวส่งออกไปตลาดใหม่ ๆ
ปี 2543 นับเป็นปีสำคัญของการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคใหม่ เมื่อโรมาเนียได้รับเชิญให้ร่วมเจรจาเข้าเป็นสมาชิกสมทบของสหภาพยุโรป ซึ่งน่าจะส่งผลดีภาพพจน์ของประเทศในเวทีโลก รัฐบาลโรมาเนียได้วางเป้าหมายที่จะนำนโยบายและมาตรการใหม่ ๆ มาใช้เพื่อแสดงความมุ่งมั่น และสร้างความต่อเนื่องในการปฏิรูปเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ในปี 2543 คาดว่า GDP น่าจะมีค่าเป็นบวกที่ระดับ 1.3% ผลผลิตอุตสาหกรรมน่าจะเพิ่ม 2% การส่งออกและการนำเข้าจะสูงขึ้น 4.2% และ 11% ตามลำดับ เงินเฟ้อน่าจะลดลงเหลือประมาณ 27% แต่การว่างงานอาจสูงกว่าเดิมที่อัตรา 12.7%
การค้ากับประเทศไทยและแนวโน้ม
การค้าไทย-โรมาเนียยังมีมูลค่าไม่สูงและผันแปร อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ความต้องการซื้อและความสามารถในการส่งออกของแต่ละประเทศ สินค้าที่ซื้อ-ขายระหว่างกันจึงเปลี่ยนแปลง และมีมูลค่าผันแปรไปในแต่ละปี ที่ผ่านมาไทยเป็นฝ่ายขาดดุลการค้าต่อโรมาเนียมาตลอด ยกเว้นเพียงในปี 2541 ในปี 2542 ไทยส่งออกไปโรมาเนียมูลค่า 15.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 10.2% และไทยนำเข้าจากโรมาเนียมูลค่า 17.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 72.2%
สินค้าที่ไทยส่งออกไปโรมาเนีย ได้แก่ อาหารกระป๋อง น้ำตาล ไก่แช่แข็ง ข้าว เสื้อผ้า ผลิตภัณฑ์สิ่งทอ ผลิตภัณฑ์พลาสติก รองเท้า ยางพารา ถุงมือยาง เครื่องสำอาง อุปกรณ์เครื่องเขียน เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ อุปกรณ์อิเลคโทรนิคและสื่อสารโทรคมนาคม อุปกรณ์ถ่ายภาพ และของเด็กเล่น เป็นต้น
สินค้าที่ไทยนำเข้าจากโรมาเนีย ได้แก่ ปุ๋ยเคมี เหล็กและเหล็กกล้า เครื่องจักร และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ฯลฯ
แนวโน้มและโอกาสทางการค้า แม้ว่าเศรษฐกิจของโรมาเนียยังขาดเสถียรภาพและการขยายตัวทางเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับต่ำ แต่รัฐบาลก็มีความพยายามที่จะเร่งแก้ไขปัญหา สร้างความต่อเนื่องของการปฏิรูป และสร้างสิ่งจูงใจทางเศรษฐกิจเพื่อดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศ และนำพาประเทศให้ก้าวทันประเทศเพื่อนบ้าน คาดว่าเศรษฐกิจของโรมาเนียจะขยายตัวเป็นค่าบวกประมาณ 1.3% ในปี 2543 การเข้าไปลงทุนของบริษัทต่างชาติที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจะช่วยสร้างงาน รายได้ และความต้องการสินค้า ตลาดโรมาเนียซึ่งมีประชากรประมาณ 23 ล้านคน จึงเป็นตลาดที่น่าจะสามารถดูดซับสินค้าส่งออกหลายชนิดของไทยทั้งสินค้าเพื่อการอุปโภค-บริโภค เช่น อาหาร เสื้อผ้า รองเท้า อุปกรณ์กีฬา ถุงมือทางการแพทย์ เครื่องปรับอากาศและอุปกรณ์ และกลุ่มสินค้าเพื่อการผลิต เช่น เส้นด้ายและผ้าผืน เครื่องปรับอากาศและอุปกรณ์ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ อุปกรณ์และส่วนประกอบยานยนต์ และส่วนประกอบเครื่องจักรไฟฟ้า เป็นต้น
นโยบายการค้า
โรมาเนียเปิดประเทศสู่ระบบการค้าเสรีมาตั้งแต่ปี 2532 เป็นหนึ่งในสมาชิกก่อตั้งของ WTO มีเป้าหมายสูงสุดที่จะเข้าเป็นสมาชิก NATO และสหภาพยุโรป มีการพัฒนาเศรษฐกิจและการค้าระหว่างประเทศคล้ายคลึงกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ภายหลังเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจหลายประการ เช่น ปัญหาเงินเฟ้อ การว่างงาน และการขาดดุลการค้าอย่างรุนแรง มีการปรับปรุงกฎระเบียบทางการค้า อัตราภาษี และปรับระบบการจัดเก็บให้ทันสมัยขึ้น มีผู้ประกอบการรายย่อย ๆ เกิดขึ้นจำนวนมาก ผู้ประกอบการเดิมต้องปรับตัวและเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อให้สามารถอยู่รอดในภาวะแข่งขันทางการค้า
ปัจจุบันเอกชนได้เข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจมากขึ้น กล่าวคือ มีสัดส่วนร้อยละ 65.7 ของมูลค่าส่งออก และร้อยละ 71.9 ของมูลค่าการนำเข้าของประเทศ เทียบกับที่เคยมีบทบาทเพียงร้อยละ 28 และร้อยละ 33 ตามลำดับ ในปี 2535นโยบายการนำเข้า
นโยบายและมาตรการภาษี
- ภาษีนำเข้า รัฐบาลโรมาเนียจัดเก็บภาษีตามระบบ Ad Valorem ได้ปรับลดอัตราภาษีนำเข้าลงโดยลำดับในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ยกเลิกการผูกขาดโดยรัฐและเริ่มใช้ระบบศุลกากร Harmonized System Code (8 Digits) ในปี 2536 MFN ในปี 2541 กำหนดไว้สูงสุดที่ระดับร้อยละ 35 สำหรับสินค้าอุตสาหกรรม และร้อยละ 134 สำหรับสินค้าเกษตร ซึ่งในส่วนภาษีนำเข้าสินค้าเกษตร โรมาเนียได้ผูกพันที่ลดภาษีลงร้อยละ 24 ภายในระยะเวลา 10 ปี
โรมาเนียได้ดำเนินการลดภาษีนำเข้าสินค้าที่อยู่ภายใต้ Agreement on Information Technology ลงโดยลำดับ และตามกำหนด จะยกเลิกภาษีนำเข้าสำหรับการนำเข้าจากประเทศสมาชิก WTO อย่างสิ้นเชิงภายในวันที่ 1 ม.ค. 2543
อย่างไรก็ตาม อัตราภาษีเฉลี่ยอยู่ที่ระดับร้อยละ 33.9 สำหรับสินค้าเกษตร ร้อยละ 16.2 สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่สินค้าเกษตร และเฉลี่ยร้อยละ 11.7 สำหรับทุกสินค้า ในหมวดแร่ธาตุและเชื้อเพลิงที่จำเป็นใช้ในอุตสาหกรรมจะได้รับลดหย่อนภาษีในอัตราต่ำ (0-3-10%) ในขณะที่มีการตั้งกำแพงภาษีสูงในรายการสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเลคโทรนิกค์ รถยนต์ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ยาสูบ และสิ่งทอ
การปรับลดอัตราภาษีนำเข้าของโรมาเนียในช่วงระหว่างปี 1997 - 1999 มีรายการสินค้านำเข้าสำคัญจากไทยที่ได้รับประโยชน์ เช่น ปลากระป๋อง (จากอัตราเดิม 80% เหลือ 50%) สับปะรดกระป๋อง (อัตราเดิม 10% เหลือ 8%) และน้ำมะเขือเทศเข้มข้น (อัตราเดิม 46% เหลือ 40%) ซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของสินค้าไทย อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าเกษตรบางรายการที่ไทยต้องการรณรงค์ขยายตลาดแต่ยังมีอุปสรรคในอัตราภาษีนำเข้าที่ยังคงสูง หรือเสียเปรียบประเทศคู่แข่งขันที่ได้รับสิทธิพิเศษเสียภาษีนำเข้าในอัตราต่ำกว่า เช่น สินค้าไก่แช่เย็นหรือแช่แข็ง (อัตราภาษี 60%) และข้าวสาร (ไทยเสียภาษีนำเข้าอัตรา 25% ในขณะที่ประเทศผู้ส่งออก เช่น อียิปต์ ปากีสถาน ได้สิทธิพิเศษเสียอัตรา 15% และอิตาลี 18.8% สำหรับโควต้า 10,000 ตันแรกของประเทศ EU)
- Import Surcharge รัฐบาลโรมาเนียได้ออกประกาศเรียกเก็บ Import Srucharge เป็นการชั่วคราว สำหรับสินค้านำเข้ารายการต่าง ๆ (ประมาณ 60% ของรายการสินค้านำเข้า) โดยเริ่มมาตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2541 ในอัตรา 6% และได้ปรับลดเหลือ 4% เมื่อปี 2542 ซึ่งมีกำหนดจะสิ้นสุดการจัดเก็บในสิ้นเดือนธันวาคม 2543 สินค้าในรายการที่ได้รับการยกเว้น Import Surcharge ได้แก่ สินค้าแร่และเชื้อเพลิงที่จำเป็นต่อการอุตสาหกรรม เช่น ก๊าซธรรมชาติ น้ำมันดิบ พลังงานไฟฟ้าและถ่านหิน รวมทั้งสินค้าที่นำเข้าเพื่อผลิตและส่งกลับเป็นสินค้าออก
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สินค้าและบริการในโรมาเนียโดยทั่วไปเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 22% ยกเว้นสินค้าและบริการที่จำเป็นต่อการครองชีพเก็บในอัตรา 11% ได้แก่ สินค้าอาหารและผลิตภัณฑ์ประเภทอาหารนม เนื้อสัตว์และปลา น้ำมันใช้ประกอบอาหาร หนังสือพิมพ์ ยารักษาโรค ปศุสัตว์ ปุ๋ย และเครื่องมือการเกษตร สินค้าและบริการที่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ ขนมปัง เชื้อเพลิงใช้ในครัวเรือน (ไม้ ถ่านหิน น้ำมัน) บริการขนส่งสาธารณะ และบริการสาธารณูปโภค
- ภาษีตอบโต้การอุดหนุนและการทุ่มตลาด (Countervailing Duties and Anti-dumping Duties) รัฐบาลโรมาเนียได้เริ่มประกาศใช้กฎหมาย Countervailing Duties และ Anti-dumping Duties เมื่อปี 1992 มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองและช่วยเหลือผู้ประกอบการภายในประเทศจากผลกระทบหากมีการใช้กลยุทธ์การทุ่มตลาดหรือให้การอุดหนุนของสินค้านำเข้าจากประเทศผู้ผลิตแข่งขัน มาตรการคุ้มครองดังกล่าวอาจพิจารณาใช้ในรูปของการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติม หรือกำหนดโควต้าปริมาณการนำเข้า หากกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าโรมาเนียไต่สวนแล้วพบว่าสินค้านำเข้ามีการทุ่มตลาดหรือได้รับการอุดหนุนจากประเทศผู้ผลิตจริง จนก่อให้เกิดความเสียหายต่ออุตสาหกรรมในประเทศ
- ภาษีสรรพสามิต (Excise Taxes) สินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตและอัตราการเรียกเก็บ ได้แก่ บุหรี่ 8 ECU/ 1000 มวน บวก 20% tax); Fuel (6-15%); สุรา (100 - 150%), ไวน์ (20%), เบียร์ (55-70%); กาแฟ (80%) และ น้ำหอม (20%)
มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff) ประกอบด้วย
- Import License จะใช้เฉพาะสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสุขอนามัยและความปลอดภัย วัตถุระเบิด สินค้าที่เป็นอันตราย อาวุธยุทโธปกรณ์ และสารมีพิษ (Toxic Substances) ต้องขออนุญาตก่อนนำเข้า
- Prohibited Imports โรมาเนียกำหนดมาตรการห้ามนำเข้าสินค้าบางชนิด โดยถือว่าผิดกฎหมาย ได้แก่ สัตว์มีชีวิต ซึ่งเป็นสินค้าปศุสัตว์สำคัญของโรมาเนีย เช่น โค กระบือ แกะ และแพะ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคสัตว์ สินค้าอื่น ๆ ที่มีข้อห้ามนำเข้า ได้แก่ ยาเสพย์ติด Illegal Drugs และสินค้าที่มีผลต่อความมั่นคงภายในประเทศ
- การปิดฉลากและป้ายสินค้า สินค้าที่นำเข้าไปจำหน่ายในโรมาเนียต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดการปิดฉลาก เมื่อเดือนตุลาคม 2539 ทางการโรมาเนียได้ออกระเบียบการปิดฉลากสินค้าอาหารฉบับใหม่กำหนดให้ต้องมีฉลากหรือป้ายข้อความเป็นภาษาโรมาเนียระบุรายละเอียด เช่น ชื่อสินค้า ผู้ผลิตและสถานที่ผลิต ชื่อผู้นำเข้าหรือจัดจำหน่าย น้ำหนักสุทธิ วันเดือนปีที่หมดอายุ วิธีการใช้หรือการบริโภค ส่วนประกอบสำคัญ การเก็บรักษา และเลขหมายที่ผลิต และสำหรับผลิตภัณฑ์สิ่งทอ กำหนดให้แจ้งบนฉลาก ระบุชื่อสินค้า ชื่อผู้ผลิต ผู้นำเข้า องค์ประกอบเส้นใย ตลอดจนเครื่องหมายการดูแลรักษาและซักรีด ตามมาตรฐานสากลระหว่างประเทศ
- การตรวจสอบมาตรฐานและการรับรอง โรมาเนียปรับปรุงข้อกำหนดมาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัย ออกประกาศภายใต้อำนาจของ Romania Standard Institute เกือบร้อยละ 90 ของมาตรฐานที่ได้ปรับปรุงใหม่ จะเป็นบรรทัดฐานเดียวกับ ISO หรือมาตรฐานของ EU โดยดัดแปลงให้เข้ากับมาตรฐานการควบคุมคุณภาพสากล เช่น ISO 8402, 9000-9004 และ 9004-2 ปรับใช้และรับหลักเกณฑ์เข้าเป็นระบบมาตรฐานแห่งชาติ (National Standardization System) โดยสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (Office for Consumer Protection) ทำหน้าที่กำกับดูแลเพื่อประกันความปลอดภัยแก่ชีวิต สุขอนามัย และควบคุมสภาพแวดล้อม
นโยบายการส่งออก
โรมาเนียเปิดเสรีการส่งออกสินค้าและบริการ ไม่มีการกำหนดภาษีหรือเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการส่งออก และไม่ต้องขอรับใบอนุญาตส่งออก (Export License) ยกเว้นเฉพาะสินค้าบางประเภท และในบางสถานการณ์ เช่น เมื่อเกิดเหตุการณ์สินค้าจำเป็นแก่การครองชีพขาดตลาด (Basically Foodstuffs, Fuels, Unfinished Wood Products etc.) การแลกเปลี่ยนสินค้า (Barter Transactions) และการส่งออกสินค้าที่รัฐบาลให้การประกันสินเชื่อ (Gevernment Line of Credit) เป็นต้น
ที่ผ่านมาแม้จะมีกฎระเบียบหรือข้อกำหนดสำหรับการส่งออกสินค้าอยู่บ้าง แต่ในระยะที่มูลค่าการนำเข้าสูงเกินกว่าการส่งออกมาก รัฐบาลโรมาเนียมักจะใช้มาตรการผ่อนคลายกฎระเบียบ และขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้การส่งออกสะดวกและคล่องตัว เป็นการเพิ่มรายได้ ช่วยลดปัญหาภาวะขาดดุลการค้า และการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศ
ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ปัญหา และอุปสรรคทางการค้าของไทย
1. การค้าไทย-โรมาเนียเคยมีมูลค่าสูงกว่าปัจจุบัน แต่ด้วยปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั้งในโรมาเนียและประเทศไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มูลค่าการค้าสองฝ่ายจึงลดต่ำลงโดยลำดับ สินค้าส่งออกหลักของไทยไปโรมาเนียยังจำกัดอยู่ในกลุ่มสินค้าอุปโภค-บริโภค ด้วยอำนาจซื้อของตลาดที่ยังไม่มากจึงให้ความสำคัญต่อราคาเป็นอันดับแรก สินค้าราคาถูกคุณภาพปานกลางเป็นที่ต้องการสูง สินค้าไทยจึงต้องเผชิญกับการแข่งขันจากผู้ผลิตที่มีต้นทุนค่าจ้างต่ำ เช่น จีน เวียดนาม ตุรกี แม้ว่าปัจจุบันการเข้าไปลงทุนของบริษัทต่างชาติจะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างสินค้านำเข้ามาสู่สินค้าเพื่อการผลิตมากขึ้น เช่น ส่วนประกอบและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เครื่องจักรอิเลคทรอนิกส์และส่วนประกอบ ส่วนประกอบยานยนต์ อุปกรณ์โทรคมนาคม เป็นต้น แต่สินค้าไทยก็ยังไม่เป็นที่รู้จักนัก การนำเข้าจากไทยจึงผันแปรทั้งชนิดสินค้าที่นำเข้าและมูลค่า ซึ่งแสดงถึงความพยายามของผู้ค้าที่จะแสวงหาสินค้าและแหล่งนำเข้าใหม่ๆ และศักยภาพของตลาดที่จะสามารถพัฒนาได้อีกมาก แต่ขาดความต่อเนื่องและความพยายามผลักดันอย่างจริงจัง
ในอีกแง่มุมหนึ่งโรมาเนียการส่งออกวัตถุดิบการผลิตที่จำเป็นต้องนำเข้าสำหรับอุตสาหกรรมส่งออกของไทยหลายชนิด เช่น ปุ๋ยเคมี เคมีภัณฑ์ ยากำจัดศัตรูพืช สินแร่ เหล็กและเหล็กกล้า ซึ่งหากสินค้ามีคุณภาพเป็นที่พอใจก็น่าจะเป็นแหล่งวัตถุดิบให้แก่อุตสาหกรรมของไทยได้
2. ตลาดโรมาเนียมีลักษณะเหมือนประเทศสังคมนิยมเดิมอื่นๆ คือ อยู่ในช่วงปฏิรูปและปรับตัวทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังมีจุดอ่อนหลายประการที่ทำให้ผู้ค้าทั้งสองฝ่ายขาดความสนใจซึ่งกันและกันที่สำคัญ ได้แก่
- การเปิดประเทศทำให้มีผู้ประกอบการใหม่ ๆ เข้าสู่ตลาดจำนวนมาก ผู้นำเข้าจึงเป็นรายย่อย ๆ ยังขาดประสบการณ์ทางการค้าและการนำเข้า ขาดแคลนเงินสด และปริมาณสั่งซื้อจำนวนคราวละไม่มาก แต่เดิมผู้ค้ามักจะเดินทางมาสั่งซื้อที่ประเทศไทยและจ่ายเงินสดในทันทีโดยนำสินค้าติดตัวกลับไปส่วนหนึ่ง อีกส่วนให้ผู้ผลิตส่งตามภายหลัง เพื่อหลีกเลี่ยงและลดภาระภาษี แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ศุลกากรรัดกุมการตรวจสอบมากขึ้น ผู้ซื้อก็หันมาสั่งซื้อและขอให้จัดส่งสินค้า แต่มักหลีกเลี่ยงการออก L/C และต้องการเครดิตระยะ 90 - 120 วัน เมื่อผู้ส่งออกไทยไม่สามารถให้เครดิตได้ ผู้นำเข้าก็หันไปนำเข้าจากแหล่งอื่น หรือซื้อสินค้าไทยผ่านผู้ค้าในยุโรปที่ผ่อนปรนเรื่องเครดิต
- การค้านอกระบบในโรมาเนียซึ่งมีสัดส่วนสูงกว่าร้อยละ 50 บั่นทอนอำนาจการแข่งขันของสินค้าไทยลงอย่างมาก โดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภคซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญ และมีศักยภาพขยาย
- ผู้ซื้อและผู้ขายต่างก็เป็นผู้ค้ารายใหม่ ขาดความคุ้นเคย รวมทั้งการควบคุมของกฎหมายยังไม่รัดกุมและตรวจสอบยาก ทำให้มีการย้ายถิ่นฐาน เปลี่ยนแปลงการจดทะเบียนของผู้ประกอบการค้าอยู่เสมอ ความเสี่ยงที่จะให้เครดิตมีสูงสินค้าไทย เพราะยังไม่มีตัวแทนเอกชนหรือเครือข่ายที่จะรักษาผลประโยชน์ทางการค้าของไทยในโรมาเนีย จึงมีเสียโอกาสขายสินค้า และผู้ขายของไทยก็ขาดความสนใจที่จะเข้าไปเจาะตลาด ยิ่งเศรษฐกิจของโรมาเนียทรุดต่ำลงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การค้าจึงลดลงอย่างรวดเร็ว
3. เครื่องมือและกลยุทธ์ที่น่าจะสามารถเป็นตัวเร่ง และกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของทั้งสองฝ่ายยิ่งขึ้น ได้แก่ การใช้เวทีหารือภายใต้กรอบทวิภาคีของการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย-โรมาเนีย ซึ่งเป็นการพบหารือของผู้บริหารระดับสูงในภาครัฐและการประชุมสภาธุรกิจไทย-โรมาเนียของผู้นำในภาคเอกชน ซึ่งมีขึ้นเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง ให้เกิดประโยชน์ ให้มีการจัดทำแผนดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม สามารถประเมินและวัดผลได้ ประเด็นที่อาจพิจารณานำขึ้นหารือ เช่น
- การลดภาษีนำเข้าภายใต้ GSPT ในการประชุมครั้งที่ผ่านมา ฝ่ายไทยขอให้โรมาเนียลดภาษีนำเข้าสินค้าที่มีโอกาสสูง คือ ไก่สดแช่แข็ง (ภาษี 60%) และข้าวขาว (25%) แต่ยังไม่มีความคืบหน้า แม้ว่าระหว่างปี 1997 - 1999 โรมาเนียจะมีการปรับปรุงลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าหลายรายการที่เป็นประโยชน์ต่อไทย ได้แก่ ปลากระป๋อง (จากภาษีอัตรา 80% เหลือ 50%) สับปะรดกระป๋อง (จาก 10% เหลือ 8%) น้ำมะเขือเทศเข้มข้น (จาก 46% เหลือ 40%)
- ผลักดันให้มีการแลกเปลี่ยนสินค้าหรือการค้าต่างตอบแทน ระหว่างสินค้าอุปโภคบริโภคของไทยซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาด กับวัตถุดิบการผลิต เช่น ผลิตภัณฑ์เหล็ก และโลหะ ผลิตภัณฑ์ไม้ ปุ๋ย และเคมีภัณฑ์ เป็นต้น เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสถานะทางการเงินของผู้ค้า
- สนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างธนาคารเพื่อการนำเข้า - ส่งออก และธนาคารพาณิชย์ของทั้งสองฝ่าย เพื่อช่วยเหลือผู้ส่งออกเรื่องการประกันความเสี่ยงเพื่อการส่งออก-นำเข้า
- ส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนคณะผู้แทนภาคเอกชนของทั้งสองฝ่าย โดยความร่วมมือกันระหว่างรัฐบาลและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยของแต่ละฝ่าย ให้การสนับสนุนนักธุรกิจของตนในลักษณะต่างตอบแทน รวมทั้งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเข้าร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติที่แต่ละฝ่ายจัดขึ้น เช่น การแลกเปลี่ยนพื้นที่แสดงสินค้าเพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าร่วมงานโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย การสนับสนุนให้จัดงานแสดง และแนะนำสินค้าไทย/สินค้าโรมาเนียในแต่ละประเทศเพื่อให้ผู้ค้ามีโอกาสแลกเปลี่ยนกันแนะนำสินค้าใหม่ ๆ ต่อตลาดอย่างต่อเนื่องและเพิ่มมูลค่าการส่งออก
(ที่มา : สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ กรุงบูดาเปสต์)
-วารสาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 12/2543 วันที่ 30 มิถุนายน 2543--
-อน-