อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ
อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทยเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพมากอุตสาหกรรมหนึ่ง เป็นตลาดค้าพลอยขนาดใหญ่และมีเทคโนโลยีการเผาพลอยที่ช่วยเพิ่มมูลค่า ฝีมือการเจียระไนของแรงงานไทยเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก สามารถผลิตเครื่องประดับที่ประณีต แต่มีจุดอ่อนคือต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากต่างประเทศ ซึ่งในไตรมาสที่ 2 ปี 2548 มีการนำเข้าวัตถุดิบเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และครึ่งปีแรกมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 40.8
การผลิต
ดัชนีผลผลิต ในไตรมาส 2 ของปี 2548 เครื่องเพชรพลอยและรูปพรรณ และของที่เกี่ยวข้องกัน ลดลงร้อยละ 1.3 และ 9.6 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และไตรมาสก่อน ตามลำดับ เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง และมีการนำเข้าเพิ่มขึ้น
ดัชนีส่งสินค้า เครื่องเพชรพลอยและรูปพรรณ และของที่เกี่ยวข้องกัน ลดลงร้อยละ 4.2 และ 10.4 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ ซึ่งปรับลดตามการผลิตที่ลดลง
ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.7 และร้อยละ 14.8 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และไตรมาสเดียวกันกับปีก่อน เนื่องการจำหน่ายลดลงมากกว่าปริมาณการผลิต ส่งผลให้มีสินค้าในสต๊อกเพิ่มขึ้น
การตลาด
การส่งออก
ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2548 ไทยส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 669.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีมูลค่า 643.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากการขยายการส่งออกในสินค้า อัญมณี เครื่องประดับแท้ อัญมณีสังเคราะห์ และทองคำที่ยังไม่ขึ้นรูป คิดเป็นร้อยละ 8.1 16.4 14.3 และ 13.6 ตามลำดับ ผลิตภัณฑ์ที่ลดลง คือ เครื่องประดับเทียม และโลหะมีค่าและของที่หุ้มด้วยโลหะมีค่าอื่นๆ มีอัตราการขยายตัวลดลงร้อยละ 2.3 และ 58.3
ตลาดที่สำคัญที่มีการขยายตัว ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง ญี่ปุ่น และสวิตเซอร์แลนด์ มีการขยายตัวร้อยละ 29.7 100.6 18.6 และ 54.0 ตามลำดับ ตลาดหลักที่สำคัญได้แก่ สหรัฐอเมริกา อิสราเอล ฮ่องกง เบลเยี่ยม และญี่ปุ่น มีสัดส่วนส่งออกร้อยละ 29.1 11.5 11.5 8.8 และ 5.3 ตามลำดับ
การนำเข้า
ช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2548 ไทยนำเข้าเครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 750.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 3.9 ซึ่งมีมูลค่า 739.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นในเกือบทุกผลิตภัณฑ์ ยกเว้น ไข่มุก และทองคำ เนื่องจากสินค้าที่นำเข้าส่วนใหญ่จึงเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต เช่น เพชร พลอย เงิน อัญมณีสังเคราะห์ และแพลทินัม มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.4 11.7 20.2 17.9 และ 18.8 ตามลำดับ สำหรับเครื่องประดับ มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นทั้งเครื่องประดับอัญมณีแท้และเทียม เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 48.6 และ 11.5 มีมูลค่ารวม 49.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
แหล่งนำเข้าหลักของไทยในไตรมาสนี้ ได้แก่ ออสเตรเลีย สวิตเซอร์แลนด์ ฮ่องกง และ อิสราเอล
สรุปและแนวโน้ม
ภาพรวมอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับในไตรมาสที่ 2 ปี 2548 มีการผลิตการจำหน่ายและการส่งสินค้า ลดลงจากไตรมาสก่อน การส่งออกเครื่องประดับอัญมณีเทียม ทองคำยังไม่ได้ขึ้นรูป มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งหมวดวัตถุดิบและเครื่องประดับ สำหรับการนำเข้าในครึ่งปีแรก 2548 มีการนำเข้าทองคำเพิ่มสูงสุด ประมาณร้อยละ 70.0 เมื่อเทียบครึ่งปีแรกของปี 2547
แนวโน้มการนำเข้าในครึ่งปีหลัง คาดว่าไม่น่าจะขยับสูงขึ้นมาก เนื่องจากราคาทองคำได้ขยับราคาตั้งแต่เดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา จากออนซ์ละ 420 เหรียญสหรัฐฯ เป็น 430 เหรียญสหรัฐฯ เช่นเดียวกับราคาทองคำในประเทศราคามีแนวโน้มสูงขึ้น แต่ไม่น่าขยับขึ้นเร็วถึงบาทละ 15,000 เนื่องจากกำลังซื้อในประเทศซบเซา ซึ่งราคาจำหน่ายทองรูปพรรณในเดือนมิถุนายน อยู่ที่บาทละ 7,650 บาท ขณะที่การส่งออกมีแนวโน้มขยายตัว เนื่องจากนโยบายของรัฐบาลในการเจรจาเปิดการค้าเสรี (FTA) ทั้งสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของไทย
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทยเป็นอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพมากอุตสาหกรรมหนึ่ง เป็นตลาดค้าพลอยขนาดใหญ่และมีเทคโนโลยีการเผาพลอยที่ช่วยเพิ่มมูลค่า ฝีมือการเจียระไนของแรงงานไทยเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลก สามารถผลิตเครื่องประดับที่ประณีต แต่มีจุดอ่อนคือต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากต่างประเทศ ซึ่งในไตรมาสที่ 2 ปี 2548 มีการนำเข้าวัตถุดิบเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และครึ่งปีแรกมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 40.8
การผลิต
ดัชนีผลผลิต ในไตรมาส 2 ของปี 2548 เครื่องเพชรพลอยและรูปพรรณ และของที่เกี่ยวข้องกัน ลดลงร้อยละ 1.3 และ 9.6 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และไตรมาสก่อน ตามลำดับ เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง และมีการนำเข้าเพิ่มขึ้น
ดัชนีส่งสินค้า เครื่องเพชรพลอยและรูปพรรณ และของที่เกี่ยวข้องกัน ลดลงร้อยละ 4.2 และ 10.4 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ ซึ่งปรับลดตามการผลิตที่ลดลง
ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.7 และร้อยละ 14.8 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และไตรมาสเดียวกันกับปีก่อน เนื่องการจำหน่ายลดลงมากกว่าปริมาณการผลิต ส่งผลให้มีสินค้าในสต๊อกเพิ่มขึ้น
การตลาด
การส่งออก
ในช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2548 ไทยส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 669.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีมูลค่า 643.6 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากการขยายการส่งออกในสินค้า อัญมณี เครื่องประดับแท้ อัญมณีสังเคราะห์ และทองคำที่ยังไม่ขึ้นรูป คิดเป็นร้อยละ 8.1 16.4 14.3 และ 13.6 ตามลำดับ ผลิตภัณฑ์ที่ลดลง คือ เครื่องประดับเทียม และโลหะมีค่าและของที่หุ้มด้วยโลหะมีค่าอื่นๆ มีอัตราการขยายตัวลดลงร้อยละ 2.3 และ 58.3
ตลาดที่สำคัญที่มีการขยายตัว ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง ญี่ปุ่น และสวิตเซอร์แลนด์ มีการขยายตัวร้อยละ 29.7 100.6 18.6 และ 54.0 ตามลำดับ ตลาดหลักที่สำคัญได้แก่ สหรัฐอเมริกา อิสราเอล ฮ่องกง เบลเยี่ยม และญี่ปุ่น มีสัดส่วนส่งออกร้อยละ 29.1 11.5 11.5 8.8 และ 5.3 ตามลำดับ
การนำเข้า
ช่วงไตรมาสที่ 2 ปี 2548 ไทยนำเข้าเครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 750.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 3.9 ซึ่งมีมูลค่า 739.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นในเกือบทุกผลิตภัณฑ์ ยกเว้น ไข่มุก และทองคำ เนื่องจากสินค้าที่นำเข้าส่วนใหญ่จึงเป็นวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต เช่น เพชร พลอย เงิน อัญมณีสังเคราะห์ และแพลทินัม มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.4 11.7 20.2 17.9 และ 18.8 ตามลำดับ สำหรับเครื่องประดับ มีมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นทั้งเครื่องประดับอัญมณีแท้และเทียม เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 48.6 และ 11.5 มีมูลค่ารวม 49.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
แหล่งนำเข้าหลักของไทยในไตรมาสนี้ ได้แก่ ออสเตรเลีย สวิตเซอร์แลนด์ ฮ่องกง และ อิสราเอล
สรุปและแนวโน้ม
ภาพรวมอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับในไตรมาสที่ 2 ปี 2548 มีการผลิตการจำหน่ายและการส่งสินค้า ลดลงจากไตรมาสก่อน การส่งออกเครื่องประดับอัญมณีเทียม ทองคำยังไม่ได้ขึ้นรูป มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งหมวดวัตถุดิบและเครื่องประดับ สำหรับการนำเข้าในครึ่งปีแรก 2548 มีการนำเข้าทองคำเพิ่มสูงสุด ประมาณร้อยละ 70.0 เมื่อเทียบครึ่งปีแรกของปี 2547
แนวโน้มการนำเข้าในครึ่งปีหลัง คาดว่าไม่น่าจะขยับสูงขึ้นมาก เนื่องจากราคาทองคำได้ขยับราคาตั้งแต่เดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา จากออนซ์ละ 420 เหรียญสหรัฐฯ เป็น 430 เหรียญสหรัฐฯ เช่นเดียวกับราคาทองคำในประเทศราคามีแนวโน้มสูงขึ้น แต่ไม่น่าขยับขึ้นเร็วถึงบาทละ 15,000 เนื่องจากกำลังซื้อในประเทศซบเซา ซึ่งราคาจำหน่ายทองรูปพรรณในเดือนมิถุนายน อยู่ที่บาทละ 7,650 บาท ขณะที่การส่งออกมีแนวโน้มขยายตัว เนื่องจากนโยบายของรัฐบาลในการเจรจาเปิดการค้าเสรี (FTA) ทั้งสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของไทย
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-