ในเดือนพฤษภาคม ดอลลาร์ สรอ. ปรับตัวอ่อนลงเมื่อเทียบกับเยนญี่ปุ่น แต่ปรับตัวแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับยูโรและปอนด์สเตอร์ลิง
ดอลลาร์ สรอ.
เศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐอเมริกายังคงมีแนวโน้มชะลอตัว โดยพิจารณาจากตัวเลขประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งลดลงร้อยละ 0.1 ในไตรมาสแรก และการเพิ่มขึ้นของ ต้นทุนด้านแรงงานถึงร้อยละ 5.2 ในขณะที่ตัวเลขอัตราการว่างงานลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน จากร้อยละ 4.5 ในเดือนเมษายน เป็นร้อยละ 4.4 ในเดือนพฤษภาคม รวมถึง ตัวเลขดัชนีการจ้างงานนอกภาคการเกษตรที่ลดลง 19,000 ตำแหน่ง เทียบกับเดือนเมษายนที่ลดลง 182,000 ตำแหน่ง แต่ไม่ได้ส่งผลต่อการแข็งค่าขึ้นของค่าเงินดอลลาร์ สรอ. อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยที่สนับสนุนการแข็งตัวของค่าเงินดอลลาร์ สรอ.ชั่วคราว ได้แก่ การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ลงจากร้อยละ 4.5 เหลือร้อยละ 4.0 และ อัตราดอกเบี้ย Discount จากร้อยละ 4.0 เหลือร้อยละ 3.5 ในวันที่ 15 พฤษภาคม ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 5 ในรอบปี
ยูโร
ค่าเงินยูโรปรับตัวอ่อนลงมากในเดือนพฤษภาคม ทั้งนี้เป็นผลมาจากเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยุโรปยังคงชะลอตัวในขณะที่ยังคงมีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ โดยตัวเลขผลผลิต อุตสาหกรรมของเยอรมันลดลงร้อยละ 3.7 ตัวเลข IFO business climate index ของเยอรมนีในเดือนพฤษภาคม ลดเหลือ 92.5 จาก 93.9 ในเดือนเมษายน นอกจากนี้ จากภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอลงของสหรัฐอเมริกา เป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยุโรปและค่าเงินยูโร ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางยุโรปได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย lending rate จากร้อยละ 4.75 เป็นร้อยละ 4.50
เยน
ค่าเงินเยนปรับตัวแข็งขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดย นักลงทุนส่วนใหญ่มองว่าทิศทางการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนยังไม่ชัดเจนนัก ประกอบกับเกรงว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นจะเข้าแทรกแซงค่าเงินเยน รวมทั้งได้รับปัจจัยบวกจากการที่ตัวเลข All-industries Index ของกระทรวงพาณิชย์สูงขึ้น ร้อยละ 0.4 และดัชนีภาคบริการ (Tertiary sector) ที่สูงขึ้นร้อยละ 0.8 รวมทั้งการเจริญเติบโตในภาคบริการในไตรมาสแรกเท่ากับร้อยละ 1.9 ซึ่งนับเป็นตัวเลขที่ดีที่สุดในรอบ 4 ปี ส่งผลให้ GDP ในไตรมาสแรกอาจมีแนวโน้มดีขึ้น อย่างไร ก็ตาม ค่าเงินเยนได้รับปัจจัยลบจากการประกาศตัวเลข Japan ’s Diffusion Index เดือนมีนาคม ซึ่งต่ำกว่าระดับ 50 เป็นเดือนที่ 3 ผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 1.7 จากที่คาดว่าจะลดลงร้อยละ 1.0
ค่าเงินสกุลสำคัญในภูมิภาค ได้แก่ รูเปียอินโดนีเซีย เปโซฟิลิปปินส์ ดอลลาร์สิงคโปร์ ปรับตัวอ่อนลง ในขณะที่ค่าเงินวอนเกาหลีใต้ปรับตัวแข็งขึ้น
อินโดนีเซีย
ค่าเงินรูเปียอินโดนีเซียยังคงอ่อนตัวจากเดือนก่อน โดยปัจจัยกดดันยังเป็นผลมาจากปัญหาทางการเมือง ในกรณี รัฐสภาได้มีการประชุมวาระพิเศษในการพิจารณาถอดถอนประธานาธิบดี Wahid ออกจากตำแหน่ง รวมทั้งปัญหาทางเศรษฐกิจที่เรื้อรัง กรณีที่จะมีการจ่ายคืนหนี้ต่างประเทศ อีกประมาณ 3-5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในกลางเดือนมิถุนายน
ฟิลิปปินส์
เงินเปโซปรับตัวอ่อนลงเล็กน้อยในเดือนพฤษภาคม ทั้งนี้ เป็นผลมาจากความไม่มีเสถียรภาพและความไม่ชัดเจนทางการเมือง หลังจากการเลือกตั้งวุฒิสมาชิก ซึ่งยังไม่มีการประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ รวมทั้งข่าวการแก้ไขปัญหาการจับตัวประกันของผู้ก่อการร้ายชาวมุสลิม ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย Overnight borrowing rate และ lending rate ลงร้อยละ 0.5 ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2544 เหลือร้อยละ 9.0 และ 11.25 ตามลำดับ
เกาหลีใต้
ค่าเงินวอนปรับตัวแข็งขึ้น โดยได้รับปัจจัยบวกจาก ค่าเงินเยนที่ปรับตัวแข็งขึ้น การเข้าซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของนักลงทุนต่างชาติ รวมทั้งข่าวการที่ Korea Development Bank เจ้าหนี้รายใหญ่ของ Daewoo Motor ประกาศว่า General Motor ได้ทำ due diligence กับบริษัท Daewoo เรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกัน ตัวเลข GDP ไตรมาสแรกเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 เทียบกับลดลงร้อยละ 0.4 ในไตรมาสสี่ปี 2543 ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการส่งออกสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ตัวเลขการว่างงานลดลงอยู่ที่ร้อยละ 3.8 ในเดือนเมษายน จากร้อยละ 4.2 ในเดือนมีนาคม ส่งผลดีต่อค่าเงินวอนเกาหลีใต้
สิงคโปร์
เงินดอลลาร์สิงคโปร์อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน ทั้งนี้ เป็นผลมาเศรษฐกิจที่มีสัญญาณการชะลอตัว กระแสการควบรวมกิจการของบริษัทในประเทศกับบริษัทต่างประเทศหลายราย รวมทั้งกระแสการตรึงค่าเงินริงกิตมาเลเซีย อย่างไรก็ตาม ยังคงได้รับปัจจัยบวกจากการแข็งตัวของค่าเงินเยน รวมทั้งกระแสการเข้าแทรกแซงของธนาคารกลางสิงคโปร์
ความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในตลาด onshore และราคาทองคำ
ในเดือนพฤษภาคม อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทในตลาดระหว่างธนาคาร (interbank) มีค่าเฉลี่ย 45.48 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. และอัตราเฉลี่ยซื้อ-ขายระหว่างธนาคารพาณิชย์กับลูกค้า (retail rate) มีค่าเฉลี่ย 45.44 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. อ่อนลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.04 และ 0.05 ตามลำดับ ค่าเงินบาทเทียบเงินสกุลสำคัญในเดือนพฤษภาคมมีค่าเฉลี่ยอ่อนลง เมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ. (ร้อยละ 0.04) เยนญี่ปุ่น (1.38) แต่มีค่าเฉลี่ยแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับยูโร (2.10) ปอนด์สเตอร์ลิง (0.58) ค่าเงินบาทเทียบกับเงินสกุลต่างๆ ในภูมิภาคมีค่าเฉลี่ยอ่อนลงเทียบกับ ดอลลาร์ฮ่องกง (0.07) ริงกิตมาเลเซีย (0.65) แต่แข็งขึ้นเทียบกับ ดอลลาร์สิงคโปร์ (ร้อยละ 0.04) เปโซฟิลิปปินส์ (0.43) และรูเปียอินโดนีเซีย (1.51)
ปัจจัยบวกที่มีผลต่อค่าเงินบาท
การแข็งค่าของเงินเยนญี่ปุ่น เนื่องมาจาก ความหวังในนโยบายปฎิรูปเศรษฐกิจของ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ รวมทั้งการที่ตลาดคาดว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นอาจเข้าแทรกแซงค่าเงินเยน การลดอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ของธนาคารกลางสหรัฐฯ มีส่วนช่วยสนับสนุนให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้น ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศทบทวน มาตรการ ธต. 40 ซึ่งกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ ที่ทำธุรกรรมซื้อขายเงินบาทกับ non-resident จะต้องแจ้งรายละเอียดตามที่ ธปท.กำหนด ปัจจัยลบที่มีผลต่อค่าเงินบาท
ภาวะเศรษฐกิจของไทยยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง โดยตัวเลขดุลการค้าเดือนเมษายนขาดดุล 56 ล้านดอลลาร์ สรอ. หลังจากที่เกินดุลใน 2 เดือน ที่ผ่านมา รวมทั้งตัวเลข Consumer confidence เดือนเมษายนลดลงเหลือระดับ 71.0 จาก 72.5 ในเดือนก่อนหน้า มติของคณะรัฐมนตรีเปลี่ยนผู้ว่าการธนาคาร แห่งประเทศไทย ตลอดจนความสับสนในทิศทางนโยบายอัตราดอกเบี้ย กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังพิจารณาคดีปกปิดการแสดงบัญชีทรัพย์สินของนายกรัฐมนตรี การปรับตัวอ่อนลงของค่าเงินในภูมิภาคอย่าง ต่อเนื่อง โดยเฉพาะ รูเปียอินโดนีเซีย ดอลลาร์ สิงคโปร์ และดอลลาร์ไต้หวัน ความกังวลเกี่ยวกับการปรับปรุงแบบรายงาน ธต. 40
ความเคลื่อนไหวในตลาดเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า
อัตรา swap premium ระยะ T/N มีค่าเฉลี่ยร้อยละ 2.10 โดยปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากหลังการประกาศปรับเปลี่ยนผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในวันที่ 29 พฤษภาคม เนื่องจากตลาดมองว่าดอกเบี้ยเงินบาท อาจจะปรับตัวขึ้นในระยะต่อไป ทำให้มีความต้องการ กู้เงินบาทเพื่อปิดความเสี่ยงดังกล่าว อัตรา swap premium ระยะ 1 เดือน และ 3 เดือน ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงวันที่ 29 พฤษภาคมเช่นเดียวกัน โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.30 และ 2.54 ตามลำดับ ส่วนต่างดอกเบี้ยบาท (อัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคาร) และอัตราดอกเบี้ยดอลลาร์ สรอ. (Fed Funds Rate) ในเดือนพฤษภาคม มีค่าเฉลี่ยติดลบร้อยละ 2.58 ต่อปี (ดอกเบี้ย Fed Funds Rate สูงกว่าดอกเบี้ยบาท) ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าซึ่งติดลบร้อยละ 3.18 ต่อปี หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 50 bsp ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2544 ราคาทองคำ
ในเดือนพฤษภาคม 2544 ราคาทองคำในตลาด ต่างประเทศมีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 271.95 ดอลลาร์ สรอ. ต่อทรอยเอานซ์ จากค่าเฉลี่ย 260.78 ดอลลาร์ สรอ. ในเดือนก่อน
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
ดอลลาร์ สรอ.
เศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐอเมริกายังคงมีแนวโน้มชะลอตัว โดยพิจารณาจากตัวเลขประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งลดลงร้อยละ 0.1 ในไตรมาสแรก และการเพิ่มขึ้นของ ต้นทุนด้านแรงงานถึงร้อยละ 5.2 ในขณะที่ตัวเลขอัตราการว่างงานลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน จากร้อยละ 4.5 ในเดือนเมษายน เป็นร้อยละ 4.4 ในเดือนพฤษภาคม รวมถึง ตัวเลขดัชนีการจ้างงานนอกภาคการเกษตรที่ลดลง 19,000 ตำแหน่ง เทียบกับเดือนเมษายนที่ลดลง 182,000 ตำแหน่ง แต่ไม่ได้ส่งผลต่อการแข็งค่าขึ้นของค่าเงินดอลลาร์ สรอ. อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยที่สนับสนุนการแข็งตัวของค่าเงินดอลลาร์ สรอ.ชั่วคราว ได้แก่ การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ลงจากร้อยละ 4.5 เหลือร้อยละ 4.0 และ อัตราดอกเบี้ย Discount จากร้อยละ 4.0 เหลือร้อยละ 3.5 ในวันที่ 15 พฤษภาคม ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 5 ในรอบปี
ยูโร
ค่าเงินยูโรปรับตัวอ่อนลงมากในเดือนพฤษภาคม ทั้งนี้เป็นผลมาจากเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยุโรปยังคงชะลอตัวในขณะที่ยังคงมีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ โดยตัวเลขผลผลิต อุตสาหกรรมของเยอรมันลดลงร้อยละ 3.7 ตัวเลข IFO business climate index ของเยอรมนีในเดือนพฤษภาคม ลดเหลือ 92.5 จาก 93.9 ในเดือนเมษายน นอกจากนี้ จากภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอลงของสหรัฐอเมริกา เป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยุโรปและค่าเงินยูโร ในขณะเดียวกัน ธนาคารกลางยุโรปได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย lending rate จากร้อยละ 4.75 เป็นร้อยละ 4.50
เยน
ค่าเงินเยนปรับตัวแข็งขึ้นจากเดือนก่อนหน้า โดย นักลงทุนส่วนใหญ่มองว่าทิศทางการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนยังไม่ชัดเจนนัก ประกอบกับเกรงว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นจะเข้าแทรกแซงค่าเงินเยน รวมทั้งได้รับปัจจัยบวกจากการที่ตัวเลข All-industries Index ของกระทรวงพาณิชย์สูงขึ้น ร้อยละ 0.4 และดัชนีภาคบริการ (Tertiary sector) ที่สูงขึ้นร้อยละ 0.8 รวมทั้งการเจริญเติบโตในภาคบริการในไตรมาสแรกเท่ากับร้อยละ 1.9 ซึ่งนับเป็นตัวเลขที่ดีที่สุดในรอบ 4 ปี ส่งผลให้ GDP ในไตรมาสแรกอาจมีแนวโน้มดีขึ้น อย่างไร ก็ตาม ค่าเงินเยนได้รับปัจจัยลบจากการประกาศตัวเลข Japan ’s Diffusion Index เดือนมีนาคม ซึ่งต่ำกว่าระดับ 50 เป็นเดือนที่ 3 ผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 1.7 จากที่คาดว่าจะลดลงร้อยละ 1.0
ค่าเงินสกุลสำคัญในภูมิภาค ได้แก่ รูเปียอินโดนีเซีย เปโซฟิลิปปินส์ ดอลลาร์สิงคโปร์ ปรับตัวอ่อนลง ในขณะที่ค่าเงินวอนเกาหลีใต้ปรับตัวแข็งขึ้น
อินโดนีเซีย
ค่าเงินรูเปียอินโดนีเซียยังคงอ่อนตัวจากเดือนก่อน โดยปัจจัยกดดันยังเป็นผลมาจากปัญหาทางการเมือง ในกรณี รัฐสภาได้มีการประชุมวาระพิเศษในการพิจารณาถอดถอนประธานาธิบดี Wahid ออกจากตำแหน่ง รวมทั้งปัญหาทางเศรษฐกิจที่เรื้อรัง กรณีที่จะมีการจ่ายคืนหนี้ต่างประเทศ อีกประมาณ 3-5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในกลางเดือนมิถุนายน
ฟิลิปปินส์
เงินเปโซปรับตัวอ่อนลงเล็กน้อยในเดือนพฤษภาคม ทั้งนี้ เป็นผลมาจากความไม่มีเสถียรภาพและความไม่ชัดเจนทางการเมือง หลังจากการเลือกตั้งวุฒิสมาชิก ซึ่งยังไม่มีการประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ รวมทั้งข่าวการแก้ไขปัญหาการจับตัวประกันของผู้ก่อการร้ายชาวมุสลิม ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย Overnight borrowing rate และ lending rate ลงร้อยละ 0.5 ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2544 เหลือร้อยละ 9.0 และ 11.25 ตามลำดับ
เกาหลีใต้
ค่าเงินวอนปรับตัวแข็งขึ้น โดยได้รับปัจจัยบวกจาก ค่าเงินเยนที่ปรับตัวแข็งขึ้น การเข้าซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของนักลงทุนต่างชาติ รวมทั้งข่าวการที่ Korea Development Bank เจ้าหนี้รายใหญ่ของ Daewoo Motor ประกาศว่า General Motor ได้ทำ due diligence กับบริษัท Daewoo เรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกัน ตัวเลข GDP ไตรมาสแรกเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 เทียบกับลดลงร้อยละ 0.4 ในไตรมาสสี่ปี 2543 ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการส่งออกสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ตัวเลขการว่างงานลดลงอยู่ที่ร้อยละ 3.8 ในเดือนเมษายน จากร้อยละ 4.2 ในเดือนมีนาคม ส่งผลดีต่อค่าเงินวอนเกาหลีใต้
สิงคโปร์
เงินดอลลาร์สิงคโปร์อ่อนค่าลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน ทั้งนี้ เป็นผลมาเศรษฐกิจที่มีสัญญาณการชะลอตัว กระแสการควบรวมกิจการของบริษัทในประเทศกับบริษัทต่างประเทศหลายราย รวมทั้งกระแสการตรึงค่าเงินริงกิตมาเลเซีย อย่างไรก็ตาม ยังคงได้รับปัจจัยบวกจากการแข็งตัวของค่าเงินเยน รวมทั้งกระแสการเข้าแทรกแซงของธนาคารกลางสิงคโปร์
ความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในตลาด onshore และราคาทองคำ
ในเดือนพฤษภาคม อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทในตลาดระหว่างธนาคาร (interbank) มีค่าเฉลี่ย 45.48 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. และอัตราเฉลี่ยซื้อ-ขายระหว่างธนาคารพาณิชย์กับลูกค้า (retail rate) มีค่าเฉลี่ย 45.44 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. อ่อนลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.04 และ 0.05 ตามลำดับ ค่าเงินบาทเทียบเงินสกุลสำคัญในเดือนพฤษภาคมมีค่าเฉลี่ยอ่อนลง เมื่อเทียบกับดอลลาร์ สรอ. (ร้อยละ 0.04) เยนญี่ปุ่น (1.38) แต่มีค่าเฉลี่ยแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับยูโร (2.10) ปอนด์สเตอร์ลิง (0.58) ค่าเงินบาทเทียบกับเงินสกุลต่างๆ ในภูมิภาคมีค่าเฉลี่ยอ่อนลงเทียบกับ ดอลลาร์ฮ่องกง (0.07) ริงกิตมาเลเซีย (0.65) แต่แข็งขึ้นเทียบกับ ดอลลาร์สิงคโปร์ (ร้อยละ 0.04) เปโซฟิลิปปินส์ (0.43) และรูเปียอินโดนีเซีย (1.51)
ปัจจัยบวกที่มีผลต่อค่าเงินบาท
การแข็งค่าของเงินเยนญี่ปุ่น เนื่องมาจาก ความหวังในนโยบายปฎิรูปเศรษฐกิจของ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ รวมทั้งการที่ตลาดคาดว่าธนาคารกลางญี่ปุ่นอาจเข้าแทรกแซงค่าเงินเยน การลดอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ของธนาคารกลางสหรัฐฯ มีส่วนช่วยสนับสนุนให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้น ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศทบทวน มาตรการ ธต. 40 ซึ่งกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์ ที่ทำธุรกรรมซื้อขายเงินบาทกับ non-resident จะต้องแจ้งรายละเอียดตามที่ ธปท.กำหนด ปัจจัยลบที่มีผลต่อค่าเงินบาท
ภาวะเศรษฐกิจของไทยยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง โดยตัวเลขดุลการค้าเดือนเมษายนขาดดุล 56 ล้านดอลลาร์ สรอ. หลังจากที่เกินดุลใน 2 เดือน ที่ผ่านมา รวมทั้งตัวเลข Consumer confidence เดือนเมษายนลดลงเหลือระดับ 71.0 จาก 72.5 ในเดือนก่อนหน้า มติของคณะรัฐมนตรีเปลี่ยนผู้ว่าการธนาคาร แห่งประเทศไทย ตลอดจนความสับสนในทิศทางนโยบายอัตราดอกเบี้ย กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญกำลังพิจารณาคดีปกปิดการแสดงบัญชีทรัพย์สินของนายกรัฐมนตรี การปรับตัวอ่อนลงของค่าเงินในภูมิภาคอย่าง ต่อเนื่อง โดยเฉพาะ รูเปียอินโดนีเซีย ดอลลาร์ สิงคโปร์ และดอลลาร์ไต้หวัน ความกังวลเกี่ยวกับการปรับปรุงแบบรายงาน ธต. 40
ความเคลื่อนไหวในตลาดเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า
อัตรา swap premium ระยะ T/N มีค่าเฉลี่ยร้อยละ 2.10 โดยปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากหลังการประกาศปรับเปลี่ยนผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยในวันที่ 29 พฤษภาคม เนื่องจากตลาดมองว่าดอกเบี้ยเงินบาท อาจจะปรับตัวขึ้นในระยะต่อไป ทำให้มีความต้องการ กู้เงินบาทเพื่อปิดความเสี่ยงดังกล่าว อัตรา swap premium ระยะ 1 เดือน และ 3 เดือน ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงวันที่ 29 พฤษภาคมเช่นเดียวกัน โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.30 และ 2.54 ตามลำดับ ส่วนต่างดอกเบี้ยบาท (อัตราดอกเบี้ยระหว่างธนาคาร) และอัตราดอกเบี้ยดอลลาร์ สรอ. (Fed Funds Rate) ในเดือนพฤษภาคม มีค่าเฉลี่ยติดลบร้อยละ 2.58 ต่อปี (ดอกเบี้ย Fed Funds Rate สูงกว่าดอกเบี้ยบาท) ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าซึ่งติดลบร้อยละ 3.18 ต่อปี หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 50 bsp ในวันที่ 15 พฤษภาคม 2544 ราคาทองคำ
ในเดือนพฤษภาคม 2544 ราคาทองคำในตลาด ต่างประเทศมีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 271.95 ดอลลาร์ สรอ. ต่อทรอยเอานซ์ จากค่าเฉลี่ย 260.78 ดอลลาร์ สรอ. ในเดือนก่อน
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-