สหรัฐอเมริกา
เศรษฐกิจสหรัฐฯในไตรมาสที่ 3 ชะลอตัวลงจากช่วงครึ่งแรกของปี โดย GDP เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 2.7 qoq และร้อยละ 5.6 yoy เป็นผลจากการลงทุนทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่ชะลอตัวลง และจากการที่มีการสะสม สินค้าคงคลังเป็นจำนวนมากในไตรมาสก่อน ส่งผลให้ การผลิตชะลอตัวลง แต่การบริโภคของประชาชนยังคงขยายตัวในอัตราสูง (เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5) การลงทุน ในด้านสินค้าเทคโนโลยียังคงขยายตัวได้ดี เช่นเดียวกับ productivity ที่ยังอยู่ในระดับสูง ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังขยายตัวต่อไป
การที่ดัชนีทางเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการส่งสัญญาณการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ค่อนข้างทรงตัวทำให้ Fed ไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในการประชุม FOMC เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แต่ยังคงแสดงความกังวลเกี่ยวกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในอนาคตที่อาจเกิดจากสภาพการจ้างงานที่ยังตึงตัวอย่างมาก ประกอบกับราคาสินค้า พลังงานที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง เพราะการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจในปัจจุบันยังไม่เพียงพอที่จะลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อได้ ทำให้ยังมีแนวโน้มที่ Fed อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐ-ศาสตร์และนักวิเคราะห์การเงินเชื่อว่า Fed เริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับความร้อนแรงของเศรษฐกิจ และ คาดว่า Fed จะไม่เร่งรีบในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้นี้
ยุโรป
เศรษฐกิจกลุ่มประเทศยูโร 11 ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยขยายตัวร้อยละ 3.7 ในไตรมาสที่ 2 จากที่ขยายตัวร้อยละ 3.4 ในไตรมาสแรก อย่างไรก็ตาม คาดว่าเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 จะชะลอตัวลงเนื่องจาก ECB ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นถึงร้อยละ 2.25 จากปลายปีที่แล้ว (จากร้อยละ 2.5 ในเดือนพฤศจิกายน 2542 เป็นร้อยละ 4.75 ในเดือนตุลาคม 2543) และน่าจะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจในต่างประเทศ สำหรับภาวะเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายที่ ECB กำหนดไว้ที่ร้อยละ 2 เป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันโดยอยู่ที่ร้อยละ 2.7 ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา หลังจากได้ขึ้นไปสูงสุดที่ร้อยละ 2.8 ในเดือนกันยายนจากผลของราคา น้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นและค่าเงินยูโรที่อ่อนตัวในช่วงที่ผ่านมา ECB ได้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ 4.75 ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังจากได้มีการปรับขึ้นร้อยละ 0.25 ในการประชุมเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2543 อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะทรงตัวอยู่ที่ระดับปัจจุบันจนถึงสิ้นปีนี้ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นอีกครั้งในช่วงไตรมาสแรกของปี 2544 หากแรงกดดันทางด้านภาวะเงินเฟ้อยังคงมีอยู่และเศรษฐกิจยังคง ขยายตัวในระดับสูง
เอเชียตะวันออก
การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในช่วงที่ผ่านมายังคงเป็นไปอย่างช้าๆ โดยตัวเลขเศรษฐกิจยังแสดงสัญญาณฟื้นตัวที่ไม่ชัดเจนนัก โดยด้านการผลิตซึ่งพิจารณาจากข้อมูล industrial production index ยังแสดงแนวโน้มที่จะขยายตัว ขณะที่ยอดการใช้จ่ายภาคครัวเรือน และภาวะตลาดแรงงานค่อนข้างทรงตัว ราคาหลักทรัพย์ญี่ปุ่นในช่วงเดือนตุลาคมตกต่ำลงอย่าง ต่อเนื่อง โดยได้รับอิทธิพลจากการที่ราคาหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปรับตัวลง โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี นอกจากนี้ความไม่แน่นอนด้านการเมืองของญี่ปุ่นและความไม่มั่นคงในฐานะของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นซึ่งมีคะแนนเสียงจากการสำรวจความนิยมตกต่ำลงมาก ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น โดยความนิยมต่อตัวนายก รัฐมนตรี Mori ที่ลดลงอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการเมืองและมีผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ เนื่องจากนักลงทุนขาดความมั่นใจและชะลอที่จะลงทุน
ผู้อำนวยการสำนักวิจัยนโยบายของธนาคารกลางจีนกล่าวในการประชุมที่จัดโดยบริษัทบริหารหนี้เสียของจีน Huarong Asset Management Corporation (HAMC) ว่าสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ทั้งหมดที่อยู่ภายใต้การจัดการของบริษัทบริหารหนี้เสียในธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ของรัฐทั้ง 4 แห่งจะฟื้นฟูได้เพียง ร้อยละ 15 เท่านั้น โดยทางการจีนอาจจะต้องตัดหนี้เสียเป็นจำนวนสูงถึง 2.5 ล้านล้านหยวน (305 พันล้านดอลลาร์สรอ.) หรือร้อยละ 31 ของ GDP และวิธีการระดมทุนเพื่อใช้ในการนี้อาจจะทำผ่าน 4 ช่องทาง คือ (1) รัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นจะรับผิดชอบประมาณร้อยละ 60 ของหนี้เสียทั้งหมด ซึ่งน่าจะทยอยจ่ายเป็น รายปีมากกว่าจ่ายเป็นเงินก้อนทั้งหมดในคราวเดียว (2) ธนาคารกลางจีนร่วมรับผิดชอบร้อยละ 30 ผ่านการออกธนบัตร (3) ผลกำไรของธนาคารพาณิชย์ และ (4) ดอกเบี้ยที่ได้จากเงินฝากของ HAMC
เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2543 The Standing Committee of the National People s Congress ได้อนุมัติการแก้ไขกฎหมาย 2 ฉบับเกี่ยวกับการดำเนินงานของบริษัทร่วมทุนระหว่างจีนกับต่างชาติและบริษัท ต่างชาติในจีนให้เสรีมากขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมต่อการ เข้าเป็นสมาชิก WTO และให้มีผลบังคับใช้ในทันที ดังนี้ 1) ยกเลิกข้อกำหนดที่ให้บริษัทต่างชาติในจีนต้องมีรายได้เงินตราต่างประเทศเพื่อนำมาใช้ชำระหนี้เงินตรา ต่างประเทศ และ 2) ยกเลิกข้อกำหนดที่บริษัทต่างชาติต้องให้สิทธิพิเศษก่อนเป็นอันดับแรกในการซื้อวัตถุดิบจากบริษัทผู้ผลิตจีนและการจัดทำรายงานแผนการผลิตของบริษัทต่างชาติต่อทางการจีน ทั้งนี้ คาดว่าการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวจะส่งผลให้มีเงินลงทุนโดยตรงจาก ต่างประเทศไหลเข้าสู่จีนมากยิ่งขึ้น
Directorate General of Budget, Accounting and Statistics (DGBAS) ของไต้หวันได้ปรับการ คาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไต้หวันใน 2543 และ 2544 ลดลงจากร้อยละ 6.57 และร้อยละ 6.48 เป็นร้อยละ 6.49 และ 6.18 ตามลำดับ โดยเป็นผลจากการลดลงของการบริโภคภาคเอกชน ที่ได้รับผลกระทบจากการลดลงของดัชนีตลาดหุ้นไต้หวัน และปรับลดการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปีนี้เป็นร้อยละ 1.25 จากเดิมร้อยละ 1.55 โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปีหน้าจะอยู่ที่ร้อยละ 1.95 เนื่องมาจากค่าเงินดอลลาร์ไต้หวันที่อ่อนตัวลงและราคาน้ำมันที่สูงขึ้น
เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2543 นาย Chen Shih-meng รองผู้ว่าการธนาคารกลางไต้หวันกล่าว ยอมรับว่าสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของไต้หวัน ณ สิ้นเดือนกันยายน 2543 อาจมีจำนวนประมาณ ร้อยละ 10 ของเงินให้กู้ทั้งหมด สูงกว่าเกือบ 2 เท่าของตัวเลขที่ทางการประเมินไว้ที่ร้อยละ 5.4 ซึ่งตรงกับที่ นาย Terry Chan ผู้อำนวยการบริษัท Standard & Poor s ได้ให้ความเห็นไว้ในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2543 เกี่ยวกับระดับหนี้เสียในไต้หวันที่น่าจะมีจำนวนถึงร้อยละ 10 ทั้งนี้ นาย Chen กล่าวว่าจากการเก็บตัวอย่างจากธนาคารพาณิชย์จำนวนหนึ่ง และได้มีการตรวจสอบตัวเลขที่ รายงานโดยธนาคารพาณิชย์กับตัวเลขที่แท้จริงที่ได้จาก ผู้บริหารธนาคารระดับสูงพบว่ามีการรายงานตัวเลขหนี้เสียต่ำกว่าที่เป็นจริง ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่แท้จริงของไต้หวันอยู่ที่ประมาณร้อยละ 10-15
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2543 ธนาคารกลางฮ่องกงเปิดเผยร่างแผนการรับประกันเงินฝาก (Deposit Protection Scheme: DPS) เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการเปิดเสรีธนาคารพาณิชย์ในเดือนกรกฎาคม 2544 ซึ่งจะ มีการยกเลิกข้อกำหนดในเรื่องอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ออมทรัพย์และเงินฝากกระแสรายวัน และยกเลิกข้อจำกัดในการจัดตั้งสาขาของธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศในฮ่องกง (ปัจจุบันเปิดสาขาได้ไม่เกิน 3 แห่ง) อันเป็นผลให้การ แข่งขันในภาคการธนาคารมีความรุนแรงมากขึ้น Arthur Anderson ซี่งเป็นบริษัทที่ให้คำปรึกษาได้เสนอให้ทางการ รับประกันเงินฝากแก่ผู้ฝากแต่ละรายไม่เกินวงเงิน 100,000 - 200,000 ดอลลาร์ฮ่องกง (12,820 - 25,640 ดอลลาร์ สรอ.) สำหรับเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ทั้งในและต่างประเทศ ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจเต็มรูปแบบ โดยเงินสมทบ ในการรับประกันเงินฝากจะมาจากการเก็บค่าพรีเมี่ยมจากเงินฝากทั้งหมดในอัตราร้อยละ 0.1 ต่อปี และจะมีผล บังคับใช้หลังปี 2545
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2543 กระทรวงการคลังและเศรษฐกิจเกาหลีใต้คาดว่าเศรษฐกิจเกาหลีใต้ปี 2543 จะขยายตัวร้อยละ 9 จากที่เคยประมาณการว่าจะ ขยายตัวร้อยละ 8 โดยมีการขยายตัวของการส่งออก เป็นปัจจัยสำคัญ สำหรับเศรษฐกิจในไตรมาส 3 ปี 2543 คาดว่าจะขยายตัวสูงกว่าร้อยละ 8 (ร้อยละ 11.1 ใน ครึ่งปีเเรก) ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะเกินดุล 10 พันล้านดอลลาร์สรอ.
เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2543 กลุ่มธนาคารพาณิชย์เกาหลีใต้ได้ประกาศรายชื่อบริษัทเกาหลีใต้จำนวน 52 บริษัทที่เห็นว่าไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ (non-viable) โดยแบ่งเป็นบริษัทที่กำหนดให้ต้องชำระบัญชีเพื่อสะสางหนี้ (liquidate) จำนวน 18 บริษัท ขายกิจการแก่บริษัทอื่นจำนวน 20 บริษัท ร่วมทุนกับบริษัทอื่นจำนวน 3 บริษัท และอยู่ภายใต้เงื่อนไข court receivership (กล่าวคือ ดำเนินกิจการต่อไปได้ แต่อยู่ ภายใต้การควบคุมดูแลของเจ้าหนี้) จำนวน 11 บริษัท จากจำนวนบริษัทที่ถูกพิจารณาทั้งสิ้น 285 แห่ง ซึ่งการประกาศดังกล่าวนี้นับเป็นครั้งที่ 2 ตั้งแต่ทางการเกาหลีใต้ประกาศให้มีการปิดกิจการบริษัทที่มีภาระหนี้สูงมากจนไม่สามารถประกอบธุรกิจได้ต่อไปครั้งแรกจำนวน 55 บริษัทเมื่อเดือนมิถุนายน 2541 อย่างไรก็ตาม บริษัท Hyundai Engineering and Construction (HEC) ซึ่งเป็นบริษัทก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้และเป็นบริษัทหลักที่สำคัญของกลุ่ม Hyundai ซึ่งได้ผิดนัดชำระหนี้ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ 2543 (แต่สามารถชำระหนี้ดังกล่าวได้ในวันถัดมา) ไม่ได้ถูกรวมอยู่ใน รายชื่อดังกล่าวการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัท HEC และการที่ FSC ให้ธนาคารพาณิชย์พิจารณารายชื่อบริษัท ที่ไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ทำให้ตลาดการเงินกังวลว่าปัญหาการปรับโครงสร้างของกลุ่มธุรกิจจะส่งผลกระทบต่อการปรับโครงสร้างสถาบันการเงินและการ ฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้
เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2543 บริษัท Daewoo Motor ซึ่งเป็นบริษัทผลิตรถยนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของเกาหลีใต้ถูกประกาศให้เป็นบริษัทล้มละลาย และต่อมา ในวันที่ 10 พฤศจิกายน กลุ่มเจ้าหนี้บริษัทดังกล่าวได้ยื่นคำร้องให้ Daewoo Motor อยู่ภายใต้ court receivership ซึ่งจะมีการหยุดชำระหนี้เป็นการชั่วคราวและเจ้าหนี้จะ เข้าไปเปลี่ยนแปลงการบริหารบริษัท ทั้งนี้ เนื่องจาก Daewoo Motor ผิดนัดชำระหนี้เป็นเวลา 2 วันติดกัน ในวันที่ 6-7 พฤศจิกายน และประสบความล้มเหลวในการเจรจาปลดพนักงานจำนวน 3,500 คนระหว่าง Daewoo Motor กับสหภาพแรงงานของบริษัท อนึ่ง นักวิเคราะห์ มีความกังวลว่าการล้มละลายของ Daewoo Motor จะ ส่งผลกระทบต่อการเจรจาขาย Daewoo Motor แก่บริษัท ผลิตรถยนต์สหรัฐฯ General Motors Corp หลังจากที่บริษัท Ford Motor ยกเลิกสัญญาเพื่อซื้อ Daewoo Motor เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา
อาเซียน
หลังจากเงินเปโซฟิลิปปินส์ได้อ่อนค่าลงมา ถึงระดับ 48.60 เปโซต่อดอลลาร์สรอ. ในวันที่ 12 ตุลาคม 2543 และธนาคารกลางฟิลิปปินส์ได้ประกาศปรับ overnight borrowing rate และ overnight lending rate เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 จากร้อยละ 11 เป็นร้อยละ 15 และจากร้อยละ 13.25 เป็นร้อยละ 17.25 ตามลำดับ (มีผล ในวันที่ 13 ตุลาคม) รวมทั้งปรับอัตราเงินสดสำรองของธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 เป็นร้อยละ 16 และอัตราเงินสดสำรองของ thrift banks เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 (มีผลวันที่ 20 ตุลาคม) ไปแล้วนั้น เงินเปโซฟิลิปปินส์ ยังคงมีแนวโน้มอ่อนลงอย่างต่อเนื่อง และในวันที่ 26 ตุลาคม 2543 เงินเปโซฟิลิปปินส์อ่อนค่าลงไปที่ระดับ ต่ำสุดที่ 51.015 เปโซต่อดอลลาร์ สรอ. ในการซื้อขายระหว่างวัน ทางการฟิลิปปินส์จึงได้ออกมาตรการป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินโดยประกาศให้ธนาคารพาณิชย์และบริษัทค้าเงินในเครือของธนาคารพาณิชย์ส่งเอกสาร หลักฐานการขายเงินตราต่างประเทศที่มีจำนวนเกิน 10,000 ดอลลาร์สรอ. ให้แก่ทางการ รวมทั้งยังกำหนด ให้สถาบันการเงินที่ดำเนินธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตรา ต่างประเทศ (foreign exchange institutions) ดำรงเงิน กองทุนเพิ่มขึ้นจาก 10 ล้านเปโซเป็น 50 ล้านเปโซ (ประมาณ 1 ล้านดอลลาร์สรอ.)
เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2543 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของมาเลเซียได้เสนองบประมาณ ประจำปี 2544 ต่อรัฐสภา โดยคาดว่ารัฐบาลจะขาดดุลงบประมาณในปี 2543 ร้อยละ 5.9 ของ GNP สูงกว่าที่คาดไว้เดิมที่ร้อยละ 4.5 ของ GNP และสำหรับในปี 2544 รัฐบาลตั้งเป้าขาดดุลลดลงเป็นร้อยละ 4.9 ของ GNP โดยได้เสนอปรับอัตราภาษีอากรในด้านต่างๆ รวมทั้งเสนอให้ยกเลิก exit levy อัตราร้อยละ 10 ที่เรียกเก็บจากการ ส่งกำไรจากการลงทุนในหลักทรัพย์กลับออกนอกประเทศ ในกรณีที่เงินลงทุนดังกล่าวอยู่ในมาเลเซียเป็นระยะเวลาเกินกว่า 1 ปี รัฐบาลคาดว่า GDP ของมาเลเซียในปีนี้จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5 yoy (คาดการณ์ไว้เดิมที่ร้อยละ 5.8) และ CPI จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 เทียบกับร้อยละ 2.8 ในปีก่อน สำหรับปี 2544 คาดว่า GDP จะชะลอตัวลง เล็กน้อย (เพิ่มขึ้นร้อยละ 7) และอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับต่ำ อนึ่ง ทางการจะยังคงนโยบายตรึงค่าเงินริงกิตต่อไป แต่จะทบทวนประสิทธิผลของนโยบายดังกล่าว ต่อระบบเศรษฐกิจเป็นระยะ
เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ธนาคารกลางมาเลเซียประกาศปรับเพิ่มเงินกองทุนขั้นต่ำของกลุ่มธนาคารท้องถิ่นเป็น 2 พันล้านริงกิต และธนาคารต่างชาติเป็น 300 ล้านริงกิต (สำหรับการคำนวณเงินกองทุนขั้นต่ำของกลุ่มธนาคารท้องถิ่นนั้น ธนาคารกลางอนุญาตให้คำนวณรวมกันได้เฉพาะเงินกองทุนในส่วนที่เป็นของธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน และวาณิชธนกิจเท่านั้น) โดยกำหนดให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบใหม่ให้ได้ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2544 ทั้งนี้ เนื่องจากเห็นว่าตลาดการเงินมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว สถาบันการเงินจึงจำเป็นต้องมีเงินกองทุนสูงเพื่อรองรับภาวะการเเข่งขันและการเปิดเสรีที่จะมีเพิ่มขึ้น ปัจจุบันธนาคารกลางกำหนดเงินกองทุนขั้นต่ำของธนาคารพาณิชย์ทั้งที่เป็นธนาคารท้องถิ่นเเละต่างชาติไว้ที่ 20 ล้านริงกิต วาณิชธนกิจที่ 10 ล้านริงกิต และบริษัทเงินทุน 5 ล้านริงกิต
GDP ไตรมาสที่ 3 ของอินโดนีเซียขยายตัวร้อยละ 5.12 (yoy) และร้อยละ 1.97 (qoq) รัฐบาล คาดว่าทั้งปีจะขยายตัวร้อยละ 4.5 เทียบกับที่ขยายตัวเพียงร้อยละ 0.2 ในปีที่เเล้วและติดลบร้อยละ 13.7 ในปี 2541 อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางรายให้ความเห็นว่าการที่ตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจออกมา ดีเกินคาดนั้นจะไม่ช่วยให้เงินรูเปียห์แข็งค่าขึ้นตราบใด ที่อินโดนีเซียยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาการเมืองได้
GDP ไตรมาสที่ 3 ของสิงคโปร์ขยายตัว ร้อยละ 10.4 (yoy) โดยมีอุปสงค์ภายนอกเป็นปัจจัยสนับสนุนหลัก โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์สื่อสาร ส่วน CPI ขยายตัวร้อยละ 1.5 ทางการได้ปรับเพิ่มอัตราการขยายตัวของ GDP ในไตรมาสที่ 1 และ 2 จากร้อยละ 9.8 เป็นร้อยละ 10.1 และจากร้อยละ 8.6 เป็นร้อยละ 9.0 ตามลำดับ รวมทั้งปรับตัวเลขคาดการณ์อัตราการขยายตัวของ GDP ของทั้งปี 2543 จากร้อยละ 9.0 เป็นร้อยละ 9.5 ซึ่งนับเป็นการปรับครั้งที่ 4 ในปีนี้ แต่ยังคงการ คาดการณ์อัตราการขยายตัวของ GDP ของทั้งปี 2544 อยู่ที่ร้อยละ 5.0-7.0
เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2543 Singapore Exchange Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทที่เกิดจากการรวมตัวระหว่าง Stock Exchange of Singapore กับ Singapore International Monetary Exchange ประกาศขายหุ้น IPO จำนวน 278 ล้านหุ้น ซึ่งจะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ในวันที่ 23 พฤศจิกายนนี้ ทั้งนี้ผู้ถือหุ้นแต่ละรายจะถือครองหุ้นได้ไม่เกินร้อยละ 4.9 ของหุ้นทั้งหมด โดยมีรัฐบาลถือครองหุ้นจำนวน 1 ใน 4 แต่ไม่มีสิทธิในการออกเสียง การเปิดขายหุ้นในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเปิดเสรีตลาดการเงินของสิงคโปร์ และทางการคาดว่าจะมีรายได้ให้แก่ Singapore s Financial Sector Development Fund ซึ่งอยู่ในความ ดูแลของ Monetary Authority of Singapore อย่างต่ำจำนวน 305.8 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (174 ล้านดอลลาร์ สรอ.)
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
เศรษฐกิจสหรัฐฯในไตรมาสที่ 3 ชะลอตัวลงจากช่วงครึ่งแรกของปี โดย GDP เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 2.7 qoq และร้อยละ 5.6 yoy เป็นผลจากการลงทุนทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่ชะลอตัวลง และจากการที่มีการสะสม สินค้าคงคลังเป็นจำนวนมากในไตรมาสก่อน ส่งผลให้ การผลิตชะลอตัวลง แต่การบริโภคของประชาชนยังคงขยายตัวในอัตราสูง (เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5) การลงทุน ในด้านสินค้าเทคโนโลยียังคงขยายตัวได้ดี เช่นเดียวกับ productivity ที่ยังอยู่ในระดับสูง ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังขยายตัวต่อไป
การที่ดัชนีทางเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการส่งสัญญาณการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ค่อนข้างทรงตัวทำให้ Fed ไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในการประชุม FOMC เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แต่ยังคงแสดงความกังวลเกี่ยวกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อในอนาคตที่อาจเกิดจากสภาพการจ้างงานที่ยังตึงตัวอย่างมาก ประกอบกับราคาสินค้า พลังงานที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูง เพราะการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจในปัจจุบันยังไม่เพียงพอที่จะลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อได้ ทำให้ยังมีแนวโน้มที่ Fed อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ในอนาคต อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐ-ศาสตร์และนักวิเคราะห์การเงินเชื่อว่า Fed เริ่มคลายความกังวลเกี่ยวกับความร้อนแรงของเศรษฐกิจ และ คาดว่า Fed จะไม่เร่งรีบในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้นี้
ยุโรป
เศรษฐกิจกลุ่มประเทศยูโร 11 ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยขยายตัวร้อยละ 3.7 ในไตรมาสที่ 2 จากที่ขยายตัวร้อยละ 3.4 ในไตรมาสแรก อย่างไรก็ตาม คาดว่าเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 จะชะลอตัวลงเนื่องจาก ECB ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นถึงร้อยละ 2.25 จากปลายปีที่แล้ว (จากร้อยละ 2.5 ในเดือนพฤศจิกายน 2542 เป็นร้อยละ 4.75 ในเดือนตุลาคม 2543) และน่าจะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจในต่างประเทศ สำหรับภาวะเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายที่ ECB กำหนดไว้ที่ร้อยละ 2 เป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกันโดยอยู่ที่ร้อยละ 2.7 ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา หลังจากได้ขึ้นไปสูงสุดที่ร้อยละ 2.8 ในเดือนกันยายนจากผลของราคา น้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นและค่าเงินยูโรที่อ่อนตัวในช่วงที่ผ่านมา ECB ได้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ 4.75 ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ผ่านมา หลังจากได้มีการปรับขึ้นร้อยละ 0.25 ในการประชุมเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2543 อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะทรงตัวอยู่ที่ระดับปัจจุบันจนถึงสิ้นปีนี้ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นอีกครั้งในช่วงไตรมาสแรกของปี 2544 หากแรงกดดันทางด้านภาวะเงินเฟ้อยังคงมีอยู่และเศรษฐกิจยังคง ขยายตัวในระดับสูง
เอเชียตะวันออก
การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในช่วงที่ผ่านมายังคงเป็นไปอย่างช้าๆ โดยตัวเลขเศรษฐกิจยังแสดงสัญญาณฟื้นตัวที่ไม่ชัดเจนนัก โดยด้านการผลิตซึ่งพิจารณาจากข้อมูล industrial production index ยังแสดงแนวโน้มที่จะขยายตัว ขณะที่ยอดการใช้จ่ายภาคครัวเรือน และภาวะตลาดแรงงานค่อนข้างทรงตัว ราคาหลักทรัพย์ญี่ปุ่นในช่วงเดือนตุลาคมตกต่ำลงอย่าง ต่อเนื่อง โดยได้รับอิทธิพลจากการที่ราคาหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปรับตัวลง โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี นอกจากนี้ความไม่แน่นอนด้านการเมืองของญี่ปุ่นและความไม่มั่นคงในฐานะของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นซึ่งมีคะแนนเสียงจากการสำรวจความนิยมตกต่ำลงมาก ได้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น โดยความนิยมต่อตัวนายก รัฐมนตรี Mori ที่ลดลงอาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการเมืองและมีผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ เนื่องจากนักลงทุนขาดความมั่นใจและชะลอที่จะลงทุน
ผู้อำนวยการสำนักวิจัยนโยบายของธนาคารกลางจีนกล่าวในการประชุมที่จัดโดยบริษัทบริหารหนี้เสียของจีน Huarong Asset Management Corporation (HAMC) ว่าสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ทั้งหมดที่อยู่ภายใต้การจัดการของบริษัทบริหารหนี้เสียในธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ของรัฐทั้ง 4 แห่งจะฟื้นฟูได้เพียง ร้อยละ 15 เท่านั้น โดยทางการจีนอาจจะต้องตัดหนี้เสียเป็นจำนวนสูงถึง 2.5 ล้านล้านหยวน (305 พันล้านดอลลาร์สรอ.) หรือร้อยละ 31 ของ GDP และวิธีการระดมทุนเพื่อใช้ในการนี้อาจจะทำผ่าน 4 ช่องทาง คือ (1) รัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นจะรับผิดชอบประมาณร้อยละ 60 ของหนี้เสียทั้งหมด ซึ่งน่าจะทยอยจ่ายเป็น รายปีมากกว่าจ่ายเป็นเงินก้อนทั้งหมดในคราวเดียว (2) ธนาคารกลางจีนร่วมรับผิดชอบร้อยละ 30 ผ่านการออกธนบัตร (3) ผลกำไรของธนาคารพาณิชย์ และ (4) ดอกเบี้ยที่ได้จากเงินฝากของ HAMC
เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2543 The Standing Committee of the National People s Congress ได้อนุมัติการแก้ไขกฎหมาย 2 ฉบับเกี่ยวกับการดำเนินงานของบริษัทร่วมทุนระหว่างจีนกับต่างชาติและบริษัท ต่างชาติในจีนให้เสรีมากขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมต่อการ เข้าเป็นสมาชิก WTO และให้มีผลบังคับใช้ในทันที ดังนี้ 1) ยกเลิกข้อกำหนดที่ให้บริษัทต่างชาติในจีนต้องมีรายได้เงินตราต่างประเทศเพื่อนำมาใช้ชำระหนี้เงินตรา ต่างประเทศ และ 2) ยกเลิกข้อกำหนดที่บริษัทต่างชาติต้องให้สิทธิพิเศษก่อนเป็นอันดับแรกในการซื้อวัตถุดิบจากบริษัทผู้ผลิตจีนและการจัดทำรายงานแผนการผลิตของบริษัทต่างชาติต่อทางการจีน ทั้งนี้ คาดว่าการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวจะส่งผลให้มีเงินลงทุนโดยตรงจาก ต่างประเทศไหลเข้าสู่จีนมากยิ่งขึ้น
Directorate General of Budget, Accounting and Statistics (DGBAS) ของไต้หวันได้ปรับการ คาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไต้หวันใน 2543 และ 2544 ลดลงจากร้อยละ 6.57 และร้อยละ 6.48 เป็นร้อยละ 6.49 และ 6.18 ตามลำดับ โดยเป็นผลจากการลดลงของการบริโภคภาคเอกชน ที่ได้รับผลกระทบจากการลดลงของดัชนีตลาดหุ้นไต้หวัน และปรับลดการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปีนี้เป็นร้อยละ 1.25 จากเดิมร้อยละ 1.55 โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปีหน้าจะอยู่ที่ร้อยละ 1.95 เนื่องมาจากค่าเงินดอลลาร์ไต้หวันที่อ่อนตัวลงและราคาน้ำมันที่สูงขึ้น
เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2543 นาย Chen Shih-meng รองผู้ว่าการธนาคารกลางไต้หวันกล่าว ยอมรับว่าสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของไต้หวัน ณ สิ้นเดือนกันยายน 2543 อาจมีจำนวนประมาณ ร้อยละ 10 ของเงินให้กู้ทั้งหมด สูงกว่าเกือบ 2 เท่าของตัวเลขที่ทางการประเมินไว้ที่ร้อยละ 5.4 ซึ่งตรงกับที่ นาย Terry Chan ผู้อำนวยการบริษัท Standard & Poor s ได้ให้ความเห็นไว้ในวันที่ 14 พฤศจิกายน 2543 เกี่ยวกับระดับหนี้เสียในไต้หวันที่น่าจะมีจำนวนถึงร้อยละ 10 ทั้งนี้ นาย Chen กล่าวว่าจากการเก็บตัวอย่างจากธนาคารพาณิชย์จำนวนหนึ่ง และได้มีการตรวจสอบตัวเลขที่ รายงานโดยธนาคารพาณิชย์กับตัวเลขที่แท้จริงที่ได้จาก ผู้บริหารธนาคารระดับสูงพบว่ามีการรายงานตัวเลขหนี้เสียต่ำกว่าที่เป็นจริง ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า สัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่แท้จริงของไต้หวันอยู่ที่ประมาณร้อยละ 10-15
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2543 ธนาคารกลางฮ่องกงเปิดเผยร่างแผนการรับประกันเงินฝาก (Deposit Protection Scheme: DPS) เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการเปิดเสรีธนาคารพาณิชย์ในเดือนกรกฎาคม 2544 ซึ่งจะ มีการยกเลิกข้อกำหนดในเรื่องอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ออมทรัพย์และเงินฝากกระแสรายวัน และยกเลิกข้อจำกัดในการจัดตั้งสาขาของธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศในฮ่องกง (ปัจจุบันเปิดสาขาได้ไม่เกิน 3 แห่ง) อันเป็นผลให้การ แข่งขันในภาคการธนาคารมีความรุนแรงมากขึ้น Arthur Anderson ซี่งเป็นบริษัทที่ให้คำปรึกษาได้เสนอให้ทางการ รับประกันเงินฝากแก่ผู้ฝากแต่ละรายไม่เกินวงเงิน 100,000 - 200,000 ดอลลาร์ฮ่องกง (12,820 - 25,640 ดอลลาร์ สรอ.) สำหรับเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ทั้งในและต่างประเทศ ที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจเต็มรูปแบบ โดยเงินสมทบ ในการรับประกันเงินฝากจะมาจากการเก็บค่าพรีเมี่ยมจากเงินฝากทั้งหมดในอัตราร้อยละ 0.1 ต่อปี และจะมีผล บังคับใช้หลังปี 2545
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2543 กระทรวงการคลังและเศรษฐกิจเกาหลีใต้คาดว่าเศรษฐกิจเกาหลีใต้ปี 2543 จะขยายตัวร้อยละ 9 จากที่เคยประมาณการว่าจะ ขยายตัวร้อยละ 8 โดยมีการขยายตัวของการส่งออก เป็นปัจจัยสำคัญ สำหรับเศรษฐกิจในไตรมาส 3 ปี 2543 คาดว่าจะขยายตัวสูงกว่าร้อยละ 8 (ร้อยละ 11.1 ใน ครึ่งปีเเรก) ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะเกินดุล 10 พันล้านดอลลาร์สรอ.
เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2543 กลุ่มธนาคารพาณิชย์เกาหลีใต้ได้ประกาศรายชื่อบริษัทเกาหลีใต้จำนวน 52 บริษัทที่เห็นว่าไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ (non-viable) โดยแบ่งเป็นบริษัทที่กำหนดให้ต้องชำระบัญชีเพื่อสะสางหนี้ (liquidate) จำนวน 18 บริษัท ขายกิจการแก่บริษัทอื่นจำนวน 20 บริษัท ร่วมทุนกับบริษัทอื่นจำนวน 3 บริษัท และอยู่ภายใต้เงื่อนไข court receivership (กล่าวคือ ดำเนินกิจการต่อไปได้ แต่อยู่ ภายใต้การควบคุมดูแลของเจ้าหนี้) จำนวน 11 บริษัท จากจำนวนบริษัทที่ถูกพิจารณาทั้งสิ้น 285 แห่ง ซึ่งการประกาศดังกล่าวนี้นับเป็นครั้งที่ 2 ตั้งแต่ทางการเกาหลีใต้ประกาศให้มีการปิดกิจการบริษัทที่มีภาระหนี้สูงมากจนไม่สามารถประกอบธุรกิจได้ต่อไปครั้งแรกจำนวน 55 บริษัทเมื่อเดือนมิถุนายน 2541 อย่างไรก็ตาม บริษัท Hyundai Engineering and Construction (HEC) ซึ่งเป็นบริษัทก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้และเป็นบริษัทหลักที่สำคัญของกลุ่ม Hyundai ซึ่งได้ผิดนัดชำระหนี้ที่ครบกำหนดเมื่อวันที่ 30 ตุลาคมที่ 2543 (แต่สามารถชำระหนี้ดังกล่าวได้ในวันถัดมา) ไม่ได้ถูกรวมอยู่ใน รายชื่อดังกล่าวการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัท HEC และการที่ FSC ให้ธนาคารพาณิชย์พิจารณารายชื่อบริษัท ที่ไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ทำให้ตลาดการเงินกังวลว่าปัญหาการปรับโครงสร้างของกลุ่มธุรกิจจะส่งผลกระทบต่อการปรับโครงสร้างสถาบันการเงินและการ ฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้
เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2543 บริษัท Daewoo Motor ซึ่งเป็นบริษัทผลิตรถยนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของเกาหลีใต้ถูกประกาศให้เป็นบริษัทล้มละลาย และต่อมา ในวันที่ 10 พฤศจิกายน กลุ่มเจ้าหนี้บริษัทดังกล่าวได้ยื่นคำร้องให้ Daewoo Motor อยู่ภายใต้ court receivership ซึ่งจะมีการหยุดชำระหนี้เป็นการชั่วคราวและเจ้าหนี้จะ เข้าไปเปลี่ยนแปลงการบริหารบริษัท ทั้งนี้ เนื่องจาก Daewoo Motor ผิดนัดชำระหนี้เป็นเวลา 2 วันติดกัน ในวันที่ 6-7 พฤศจิกายน และประสบความล้มเหลวในการเจรจาปลดพนักงานจำนวน 3,500 คนระหว่าง Daewoo Motor กับสหภาพแรงงานของบริษัท อนึ่ง นักวิเคราะห์ มีความกังวลว่าการล้มละลายของ Daewoo Motor จะ ส่งผลกระทบต่อการเจรจาขาย Daewoo Motor แก่บริษัท ผลิตรถยนต์สหรัฐฯ General Motors Corp หลังจากที่บริษัท Ford Motor ยกเลิกสัญญาเพื่อซื้อ Daewoo Motor เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา
อาเซียน
หลังจากเงินเปโซฟิลิปปินส์ได้อ่อนค่าลงมา ถึงระดับ 48.60 เปโซต่อดอลลาร์สรอ. ในวันที่ 12 ตุลาคม 2543 และธนาคารกลางฟิลิปปินส์ได้ประกาศปรับ overnight borrowing rate และ overnight lending rate เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 จากร้อยละ 11 เป็นร้อยละ 15 และจากร้อยละ 13.25 เป็นร้อยละ 17.25 ตามลำดับ (มีผล ในวันที่ 13 ตุลาคม) รวมทั้งปรับอัตราเงินสดสำรองของธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 เป็นร้อยละ 16 และอัตราเงินสดสำรองของ thrift banks เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 (มีผลวันที่ 20 ตุลาคม) ไปแล้วนั้น เงินเปโซฟิลิปปินส์ ยังคงมีแนวโน้มอ่อนลงอย่างต่อเนื่อง และในวันที่ 26 ตุลาคม 2543 เงินเปโซฟิลิปปินส์อ่อนค่าลงไปที่ระดับ ต่ำสุดที่ 51.015 เปโซต่อดอลลาร์ สรอ. ในการซื้อขายระหว่างวัน ทางการฟิลิปปินส์จึงได้ออกมาตรการป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินโดยประกาศให้ธนาคารพาณิชย์และบริษัทค้าเงินในเครือของธนาคารพาณิชย์ส่งเอกสาร หลักฐานการขายเงินตราต่างประเทศที่มีจำนวนเกิน 10,000 ดอลลาร์สรอ. ให้แก่ทางการ รวมทั้งยังกำหนด ให้สถาบันการเงินที่ดำเนินธุรกิจแลกเปลี่ยนเงินตรา ต่างประเทศ (foreign exchange institutions) ดำรงเงิน กองทุนเพิ่มขึ้นจาก 10 ล้านเปโซเป็น 50 ล้านเปโซ (ประมาณ 1 ล้านดอลลาร์สรอ.)
เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2543 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของมาเลเซียได้เสนองบประมาณ ประจำปี 2544 ต่อรัฐสภา โดยคาดว่ารัฐบาลจะขาดดุลงบประมาณในปี 2543 ร้อยละ 5.9 ของ GNP สูงกว่าที่คาดไว้เดิมที่ร้อยละ 4.5 ของ GNP และสำหรับในปี 2544 รัฐบาลตั้งเป้าขาดดุลลดลงเป็นร้อยละ 4.9 ของ GNP โดยได้เสนอปรับอัตราภาษีอากรในด้านต่างๆ รวมทั้งเสนอให้ยกเลิก exit levy อัตราร้อยละ 10 ที่เรียกเก็บจากการ ส่งกำไรจากการลงทุนในหลักทรัพย์กลับออกนอกประเทศ ในกรณีที่เงินลงทุนดังกล่าวอยู่ในมาเลเซียเป็นระยะเวลาเกินกว่า 1 ปี รัฐบาลคาดว่า GDP ของมาเลเซียในปีนี้จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5 yoy (คาดการณ์ไว้เดิมที่ร้อยละ 5.8) และ CPI จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.9 เทียบกับร้อยละ 2.8 ในปีก่อน สำหรับปี 2544 คาดว่า GDP จะชะลอตัวลง เล็กน้อย (เพิ่มขึ้นร้อยละ 7) และอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับต่ำ อนึ่ง ทางการจะยังคงนโยบายตรึงค่าเงินริงกิตต่อไป แต่จะทบทวนประสิทธิผลของนโยบายดังกล่าว ต่อระบบเศรษฐกิจเป็นระยะ
เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ธนาคารกลางมาเลเซียประกาศปรับเพิ่มเงินกองทุนขั้นต่ำของกลุ่มธนาคารท้องถิ่นเป็น 2 พันล้านริงกิต และธนาคารต่างชาติเป็น 300 ล้านริงกิต (สำหรับการคำนวณเงินกองทุนขั้นต่ำของกลุ่มธนาคารท้องถิ่นนั้น ธนาคารกลางอนุญาตให้คำนวณรวมกันได้เฉพาะเงินกองทุนในส่วนที่เป็นของธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน และวาณิชธนกิจเท่านั้น) โดยกำหนดให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบใหม่ให้ได้ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2544 ทั้งนี้ เนื่องจากเห็นว่าตลาดการเงินมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว สถาบันการเงินจึงจำเป็นต้องมีเงินกองทุนสูงเพื่อรองรับภาวะการเเข่งขันและการเปิดเสรีที่จะมีเพิ่มขึ้น ปัจจุบันธนาคารกลางกำหนดเงินกองทุนขั้นต่ำของธนาคารพาณิชย์ทั้งที่เป็นธนาคารท้องถิ่นเเละต่างชาติไว้ที่ 20 ล้านริงกิต วาณิชธนกิจที่ 10 ล้านริงกิต และบริษัทเงินทุน 5 ล้านริงกิต
GDP ไตรมาสที่ 3 ของอินโดนีเซียขยายตัวร้อยละ 5.12 (yoy) และร้อยละ 1.97 (qoq) รัฐบาล คาดว่าทั้งปีจะขยายตัวร้อยละ 4.5 เทียบกับที่ขยายตัวเพียงร้อยละ 0.2 ในปีที่เเล้วและติดลบร้อยละ 13.7 ในปี 2541 อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์บางรายให้ความเห็นว่าการที่ตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจออกมา ดีเกินคาดนั้นจะไม่ช่วยให้เงินรูเปียห์แข็งค่าขึ้นตราบใด ที่อินโดนีเซียยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาการเมืองได้
GDP ไตรมาสที่ 3 ของสิงคโปร์ขยายตัว ร้อยละ 10.4 (yoy) โดยมีอุปสงค์ภายนอกเป็นปัจจัยสนับสนุนหลัก โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์สื่อสาร ส่วน CPI ขยายตัวร้อยละ 1.5 ทางการได้ปรับเพิ่มอัตราการขยายตัวของ GDP ในไตรมาสที่ 1 และ 2 จากร้อยละ 9.8 เป็นร้อยละ 10.1 และจากร้อยละ 8.6 เป็นร้อยละ 9.0 ตามลำดับ รวมทั้งปรับตัวเลขคาดการณ์อัตราการขยายตัวของ GDP ของทั้งปี 2543 จากร้อยละ 9.0 เป็นร้อยละ 9.5 ซึ่งนับเป็นการปรับครั้งที่ 4 ในปีนี้ แต่ยังคงการ คาดการณ์อัตราการขยายตัวของ GDP ของทั้งปี 2544 อยู่ที่ร้อยละ 5.0-7.0
เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2543 Singapore Exchange Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทที่เกิดจากการรวมตัวระหว่าง Stock Exchange of Singapore กับ Singapore International Monetary Exchange ประกาศขายหุ้น IPO จำนวน 278 ล้านหุ้น ซึ่งจะจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ในวันที่ 23 พฤศจิกายนนี้ ทั้งนี้ผู้ถือหุ้นแต่ละรายจะถือครองหุ้นได้ไม่เกินร้อยละ 4.9 ของหุ้นทั้งหมด โดยมีรัฐบาลถือครองหุ้นจำนวน 1 ใน 4 แต่ไม่มีสิทธิในการออกเสียง การเปิดขายหุ้นในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเปิดเสรีตลาดการเงินของสิงคโปร์ และทางการคาดว่าจะมีรายได้ให้แก่ Singapore s Financial Sector Development Fund ซึ่งอยู่ในความ ดูแลของ Monetary Authority of Singapore อย่างต่ำจำนวน 305.8 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (174 ล้านดอลลาร์ สรอ.)
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-