ดร.อาชว์ เตาลานนท์ ประธานสภาธุรกิจ ACMECS ประเทศไทย และ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ให้ความเห็นในแนวทางเดียวกันว่าการที่กระทรวงพาณิชยืได้ตั้งเป้าหมายการส่งออกในปี 2549 ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2548 อีก 20% เป็นการเล็งผลเลิศมากเกินไปและเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย เนื่องจากเมื่อพิจารณาโดยรวมแล้วปัจจัยที่จะส่งผลทำให้การส่งออกของไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นไม่แตกต่างจากปีนี้แต่มีปัจจัยเสี่ยงหลายประการ เช่น ประการแรกเรื่องของราคาน้ำมัน ซึ่งถือเป็นต้นทุนหลักในการผลิตสินค้าที่ยังมีราคาที่สูง ประการที่สองคือ อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มต้นทุนของผู้ประกอบการ ประการที่สาม คือ ภาวะเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะขยายตัวไม่มากนัก ประการที่สี่ คือ ภัยธรรมชาติต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยและกับประเทศคู่ค้าต่างๆ ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
จากปัจจัยเสี่ยงที่กล่าวมาข้างต้นสามารถมองเห็นว่าการที่รัฐได้ปรับเป้าหมายการส่งออกของไทยในปี 2549 อีก 20% นั้นจะเป็นไปได้ยาก แต่มีความเป็นไปได้ที่จะขยายตัวอยู่ที่ 15-18% ซึ่งเห็นสอดคล้องกับนายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยที่มองว่าเป้าหมายการส่งออก 20% ในปี 2549 ถือว่าเป็นเป้าหมายที่สูงและทำได้ไม่ง่าย แต่สามารถจะทำได้แต่ว่าไทยต้องสามารถหาตลาดใหม่ๆ หรือมีสินค้าใหม่ๆ เสนอขายลูกค้าได้มากกว่าประเทศอื่นๆ สินค้าของไทยที่ส่งออกได้เพิ่มและขยายตัวอย่างมากก็คือ สินค้ายานยนต์และชิ้นส่วน เนื่องจากมีตลาดที่แน่นอน นอกจากนี้ยังมีสินค้าอาหาร สินค้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ที่จะได้รับผลประโยชน์จากการที่สินค้าของจีนถูกมาตรการกีดกันการนำเข้าในสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปหรืออียู
ประเด็นวิเคราะห์
การที่รัฐบาลได้ตั้งเป้าหมายการส่งออกสำหรับปี 2549 ไว้อีก 20% นั้นเป็นเรื่องที่ภาคเอกชนได้พิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นไปได้ค่อนข้างยากเนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ดังกล่าวแล้วประเทศไทยจะสามารถขยายการส่งออกให้ถึง 20% นี้ได้ภาครัฐบาลและภาคเอกชนต้องทำงานร่วมกันอย่างหนักโดยจะต้องมีการแสวงสามารถหาตลาดใหม่ๆ หรือผลิตสินค้าใหม่ๆ เสนอลูกค้าให้ได้มากกว่าประเทศอื่นๆ ต่อไป
ที่มา: http://www.depthai.go.th