กรุงเทพฯ--25 ต.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
วันนี้ (24 ตุลาคม 2544) นายรัฐกิจ มานะทัต อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า จากการที่วิทยุ RFI ( Radio France International ) ได้ออกข่าวว่าประเทศไทยระงับการส่งข้าวให้แก่ประเทศในแอฟริกา 4 ประเทศ ซึ่งเป็นประเทศที่เสี่ยงต่อการถูกก่อการร้าย คือ ไนจีเรีย เคนยา และแทนซาเนีย ส่วนประเทศที่ 4 ทางผู้รายงานจำชื่อประเทศไม่ได้นั้น กระทรวงการต่างประเทศได้ตรวจสอบไปยังกระทรวงพาณิชย์ และได้รับแจ้งว่าประเทศไทยยังไม่มีนโยบายที่จะระงับการส่งข้าวไปต่างประเทศ รวมทั้งประเทศต่าง ๆ ในแอฟริกา ในทางกลับกันไทยมีข้าวค้างสต็อกเป็นจำนวนมาก ไทยมีนโยบายระบายและขายข้าวไปต่างประเทศให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะการพยายามเปิดตลาดใหม่สำหรับข้าวไทยในแอฟริกา ข่าวดังกล่าวจึงไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
สถิติการค้าข้าวไทยในแอฟริกา สามารถพิจารณาได้เป็น 3 ช่วงเวลา คือ ช่วงก่อนปี 2537 ช่วงปี 2537 และช่วงหลังปี 2537 จนถึงปัจจุบัน โดยช่วงก่อนปี 2537 แอฟริกาเริ่มเปิดตลาดข้าวและเฟื่องฟูจนถึงปี 2536 ซึ่งไทยสามารถส่งออกได้เกือบ 2 ล้านตัน เกือบเท่ากับที่ส่งออกไปตลาด เอเชีย ซึ่งเดิมเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในปี 2537 การค้าข้าวไทยในแอฟริกาสะดุดลงเนื่องจากประเทศ ในแอฟริกามีการลดค่าเงิน และปัญหาข้าวไทยมีราคาแพงขึ้น ส่วนหลังปี 2537 จนถึงปัจจุบันนั้น แนวโน้มการค้าข้าวไทยในแอฟริกาสูงขึ้นมาก ในปี 2543 เอกชนไทยสามารถขายข้าวให้แอฟริกาได้ถึง 2.5 ล้านตัน หรือประมาณ 40%ของตลาดข้าวไทย เป็นที่น่าสังเกตว่าคนแอฟริกานิยมบริโภคข้าว คุณภาพดี ซึ่งได้แก่ข้าวนึ่ง และข้าว 5% เท่านั้น
ตลาดหลักของข้าวไทยในแอฟริกาได้แก่ ไนจีเรีย (เป็นตลาดใหญ่ที่สุด) เซเนกัล แอฟริกาใต้ โกตดิวัวร์ เบนิน กานา โซมาเลีย และ โตโก้ แต่ตลาดโดยรวมมี 40 กว่าประเทศเนื่องจาก มีการกระจายทั่วทั้งทวีป
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7E-mail : div0704@mfa.go.th-- จบ--
-อน-
วันนี้ (24 ตุลาคม 2544) นายรัฐกิจ มานะทัต อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า จากการที่วิทยุ RFI ( Radio France International ) ได้ออกข่าวว่าประเทศไทยระงับการส่งข้าวให้แก่ประเทศในแอฟริกา 4 ประเทศ ซึ่งเป็นประเทศที่เสี่ยงต่อการถูกก่อการร้าย คือ ไนจีเรีย เคนยา และแทนซาเนีย ส่วนประเทศที่ 4 ทางผู้รายงานจำชื่อประเทศไม่ได้นั้น กระทรวงการต่างประเทศได้ตรวจสอบไปยังกระทรวงพาณิชย์ และได้รับแจ้งว่าประเทศไทยยังไม่มีนโยบายที่จะระงับการส่งข้าวไปต่างประเทศ รวมทั้งประเทศต่าง ๆ ในแอฟริกา ในทางกลับกันไทยมีข้าวค้างสต็อกเป็นจำนวนมาก ไทยมีนโยบายระบายและขายข้าวไปต่างประเทศให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะการพยายามเปิดตลาดใหม่สำหรับข้าวไทยในแอฟริกา ข่าวดังกล่าวจึงไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
สถิติการค้าข้าวไทยในแอฟริกา สามารถพิจารณาได้เป็น 3 ช่วงเวลา คือ ช่วงก่อนปี 2537 ช่วงปี 2537 และช่วงหลังปี 2537 จนถึงปัจจุบัน โดยช่วงก่อนปี 2537 แอฟริกาเริ่มเปิดตลาดข้าวและเฟื่องฟูจนถึงปี 2536 ซึ่งไทยสามารถส่งออกได้เกือบ 2 ล้านตัน เกือบเท่ากับที่ส่งออกไปตลาด เอเชีย ซึ่งเดิมเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในปี 2537 การค้าข้าวไทยในแอฟริกาสะดุดลงเนื่องจากประเทศ ในแอฟริกามีการลดค่าเงิน และปัญหาข้าวไทยมีราคาแพงขึ้น ส่วนหลังปี 2537 จนถึงปัจจุบันนั้น แนวโน้มการค้าข้าวไทยในแอฟริกาสูงขึ้นมาก ในปี 2543 เอกชนไทยสามารถขายข้าวให้แอฟริกาได้ถึง 2.5 ล้านตัน หรือประมาณ 40%ของตลาดข้าวไทย เป็นที่น่าสังเกตว่าคนแอฟริกานิยมบริโภคข้าว คุณภาพดี ซึ่งได้แก่ข้าวนึ่ง และข้าว 5% เท่านั้น
ตลาดหลักของข้าวไทยในแอฟริกาได้แก่ ไนจีเรีย (เป็นตลาดใหญ่ที่สุด) เซเนกัล แอฟริกาใต้ โกตดิวัวร์ เบนิน กานา โซมาเลีย และ โตโก้ แต่ตลาดโดยรวมมี 40 กว่าประเทศเนื่องจาก มีการกระจายทั่วทั้งทวีป
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7E-mail : div0704@mfa.go.th-- จบ--
-อน-