กรุงเทพฯ--11 พ.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
วันนี้ (10 พฤษภาคม 2543) นายอุ้ม เมาลานนท์ รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศได้แถลงต่อสื่อมวลชนว่า ตามที่หนังสือพิมพ์ New Light of Myanmar ฉบับวันที่ 9 พฤษภาคม 2543 ได้กล่าวหาว่า การที่ไทยให้ที่พักพิงแก่ผู้หนีภัยการสู้รบชาวกะเหรี่ยง เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของไทยทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจจากการค้าตลาดมืด มิใช่ทำไปด้วยเหตุผลทางด้านมนุษยธรรม นั้น
กระทรวงการต่างประเทศ ขอเรียนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ดังนี้
1. ปัญหาผู้หลบหนีภัยการสู้รบจากพม่าซี่งส่วนใหญ่เป็นชาวกะเหรี่ยง เป็นปัญหาหนึ่งในหลาย ๆ ปัญหาที่ไทยต้องประสบจาปัญหาภายในพม่า อาท ปัญหาแรงงานผิดกฎหมาย (ประมาณ 800,000 คน) ปัญหาผู้พลัดถิ่นชาวพม่า (ประมาณ 60,000 คน) นักศึกษาพม่าและผู้หลบหนีภัยการเมือง (ประมาณ 3,000 คน) ปัญหาอาชญากรรม และปัญหาความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดน ตลอดจนปัญหายาเสพติด โดยเฉพาะยาบ้า
2. ปัญหาทั้งหลายข้างต้น ล้วนเป็นปัญหาที่มีต้นกำเนิดจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ยืดเยื้อกว่า 15 ปีในพม่าเอง โดยเป็นปัจจัยผลักดันอันสำคัญให้ปัญหาเหล่านี้ทะลักเข้ามายังฝั่งไทย
3. ปัจจุบันมีผู้หนีภัยการสู้รบจากพม่าในไทย จำนวนประมาณ 102,000 คน อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายแดน 5 จังหวัดคือ กาญจนบุรี ราชบุรี ตาก แม่ฮ่องสอน และ ชุมพร
4. ผู้หนีภัยการสู้รบจากพม่าเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นสตรี เด็ก และคนชรา ซึ่งหนีร้อนมาพึ่งเย็นโดยหนีจากการสู้รบระหว่างรัฐบาลพม่ากับฝ่ายต่อต้านรัฐบาล นับเป็นผู้ที่ประสบภัยที่ไม่สามารถดูแลพึ่งตนเองได้ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ไทยจะได้รับประโยชน์ในด้านใด ๆ ก็ตามโดยเฉพาะทางเศรษฐกิจจากผู้หนีภัยเหล่านี้ ในทางตรงกันข้าม ไทยจะต้องแบกภาระและได้รับผลกระทบจากการรับผู้หนีภัยเหล่านี้ อาทิ ผลกระทบต่อประชาชนไทยบริเวณชายแดน ผลกระทบด้านสาธารณสุขและปัญหาสิ่งแวดล้อม อาทิ ผลกระทบต่อประชาชนไทยบริเวณชายแดน ผลกระทบด้านสาธารณสุขและปัญหาสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องของไทยโดยความร่วมมือและช่วยเหลือจากประชาคมระหว่างประเทศ รวมทั้ง องค์การระหว่างประเทศ และองค์การเอกชนต่าง ๆ ยังต้องมีภาระดูแลความเป็นอยู่และให้ความคุ้มครองแก่ผู้หนีร้อนมาพึ่งเย็นเหล่านี้ด้วย
5. เหตุที่ไทยรับผู้หนีภัยเหล่านี้ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ก่อประโยชน์อันใดแก่ไทย ก็เพราะไทยตระหนักดีว่าในฐานะสมาชิกของประชาคมโลก ไทยผูกพันที่จะต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมระหว่างประเทศ โดยการดำเนินนโยบายด้านมนุษยธรรม และให้ความช่วยเหลือผู้หนีภัยเหล่านี้ นอกจากนี้ ไทยยังเป็นประเทศเพื่อนบ้านร่วมพรมแดนกับพม่า กว่า 2,400 ก.ม. ไทยจึงได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่จากผู้หนีภัยโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งการดำเนินการที่ผ่านมาของไทย อาทิ การให้ความช่วยเหลือผู้พลัดถิ่นชาวกัมพูชาเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา ย่อมเป็นตัวอย่างที่ดีที่ยืนยันในนโยบายมนุษยธรรมและความจริงใจของไทยต่อประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งประชาคมโลกย่อมทราบดี อย่างไรก็ตาม อาจจะเป็นการยากที่หนังสือพิมพ์ New Light of Myanmar จะเข้าใจความคิดในเรื่อง "มนุษยธรรม" และ "ความรับผิดชอบต่อสังคมระหว่างประเทศ"
6. ขอยืนยันว่าสิ่งที่ไทยต้องการเห็นคือ การที่ประเทศเพื่อนบ้านของไทยทุกประเทศมีความเจริญพัฒนาและสงบเรียบร้อยอย่างยั่งนืน เพื่อไทยจะได้ไม่ต้องรับภาระจากปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งความผาสุกในประเทศเพื่อนบ้าน จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อประชาชนในประเทศเหล่านั้นมีสิทธิ เสรีภาพ และมีโอกาสได้รับผลประโยชน์และการคุ้มครองจากผู้ปกครองอย่างเท่าเทียมกัน
7. ไทยหวังว่าชาวพม่าทุกคนที่หนีร้อนมาพึ่งเย็นในไทยจะได้มีโอกาสกลับไปร่วมพัฒนาประเทศของตนอย่างมีเกียรติและโดยปลอดภัยในที่สุด--จบ--
-อน-
วันนี้ (10 พฤษภาคม 2543) นายอุ้ม เมาลานนท์ รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศได้แถลงต่อสื่อมวลชนว่า ตามที่หนังสือพิมพ์ New Light of Myanmar ฉบับวันที่ 9 พฤษภาคม 2543 ได้กล่าวหาว่า การที่ไทยให้ที่พักพิงแก่ผู้หนีภัยการสู้รบชาวกะเหรี่ยง เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของไทยทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจจากการค้าตลาดมืด มิใช่ทำไปด้วยเหตุผลทางด้านมนุษยธรรม นั้น
กระทรวงการต่างประเทศ ขอเรียนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ดังนี้
1. ปัญหาผู้หลบหนีภัยการสู้รบจากพม่าซี่งส่วนใหญ่เป็นชาวกะเหรี่ยง เป็นปัญหาหนึ่งในหลาย ๆ ปัญหาที่ไทยต้องประสบจาปัญหาภายในพม่า อาท ปัญหาแรงงานผิดกฎหมาย (ประมาณ 800,000 คน) ปัญหาผู้พลัดถิ่นชาวพม่า (ประมาณ 60,000 คน) นักศึกษาพม่าและผู้หลบหนีภัยการเมือง (ประมาณ 3,000 คน) ปัญหาอาชญากรรม และปัญหาความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดน ตลอดจนปัญหายาเสพติด โดยเฉพาะยาบ้า
2. ปัญหาทั้งหลายข้างต้น ล้วนเป็นปัญหาที่มีต้นกำเนิดจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ยืดเยื้อกว่า 15 ปีในพม่าเอง โดยเป็นปัจจัยผลักดันอันสำคัญให้ปัญหาเหล่านี้ทะลักเข้ามายังฝั่งไทย
3. ปัจจุบันมีผู้หนีภัยการสู้รบจากพม่าในไทย จำนวนประมาณ 102,000 คน อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายแดน 5 จังหวัดคือ กาญจนบุรี ราชบุรี ตาก แม่ฮ่องสอน และ ชุมพร
4. ผู้หนีภัยการสู้รบจากพม่าเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นสตรี เด็ก และคนชรา ซึ่งหนีร้อนมาพึ่งเย็นโดยหนีจากการสู้รบระหว่างรัฐบาลพม่ากับฝ่ายต่อต้านรัฐบาล นับเป็นผู้ที่ประสบภัยที่ไม่สามารถดูแลพึ่งตนเองได้ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ไทยจะได้รับประโยชน์ในด้านใด ๆ ก็ตามโดยเฉพาะทางเศรษฐกิจจากผู้หนีภัยเหล่านี้ ในทางตรงกันข้าม ไทยจะต้องแบกภาระและได้รับผลกระทบจากการรับผู้หนีภัยเหล่านี้ อาทิ ผลกระทบต่อประชาชนไทยบริเวณชายแดน ผลกระทบด้านสาธารณสุขและปัญหาสิ่งแวดล้อม อาทิ ผลกระทบต่อประชาชนไทยบริเวณชายแดน ผลกระทบด้านสาธารณสุขและปัญหาสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องของไทยโดยความร่วมมือและช่วยเหลือจากประชาคมระหว่างประเทศ รวมทั้ง องค์การระหว่างประเทศ และองค์การเอกชนต่าง ๆ ยังต้องมีภาระดูแลความเป็นอยู่และให้ความคุ้มครองแก่ผู้หนีร้อนมาพึ่งเย็นเหล่านี้ด้วย
5. เหตุที่ไทยรับผู้หนีภัยเหล่านี้ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ก่อประโยชน์อันใดแก่ไทย ก็เพราะไทยตระหนักดีว่าในฐานะสมาชิกของประชาคมโลก ไทยผูกพันที่จะต้องแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมระหว่างประเทศ โดยการดำเนินนโยบายด้านมนุษยธรรม และให้ความช่วยเหลือผู้หนีภัยเหล่านี้ นอกจากนี้ ไทยยังเป็นประเทศเพื่อนบ้านร่วมพรมแดนกับพม่า กว่า 2,400 ก.ม. ไทยจึงได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่จากผู้หนีภัยโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งการดำเนินการที่ผ่านมาของไทย อาทิ การให้ความช่วยเหลือผู้พลัดถิ่นชาวกัมพูชาเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา ย่อมเป็นตัวอย่างที่ดีที่ยืนยันในนโยบายมนุษยธรรมและความจริงใจของไทยต่อประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งประชาคมโลกย่อมทราบดี อย่างไรก็ตาม อาจจะเป็นการยากที่หนังสือพิมพ์ New Light of Myanmar จะเข้าใจความคิดในเรื่อง "มนุษยธรรม" และ "ความรับผิดชอบต่อสังคมระหว่างประเทศ"
6. ขอยืนยันว่าสิ่งที่ไทยต้องการเห็นคือ การที่ประเทศเพื่อนบ้านของไทยทุกประเทศมีความเจริญพัฒนาและสงบเรียบร้อยอย่างยั่งนืน เพื่อไทยจะได้ไม่ต้องรับภาระจากปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งความผาสุกในประเทศเพื่อนบ้าน จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อประชาชนในประเทศเหล่านั้นมีสิทธิ เสรีภาพ และมีโอกาสได้รับผลประโยชน์และการคุ้มครองจากผู้ปกครองอย่างเท่าเทียมกัน
7. ไทยหวังว่าชาวพม่าทุกคนที่หนีร้อนมาพึ่งเย็นในไทยจะได้มีโอกาสกลับไปร่วมพัฒนาประเทศของตนอย่างมีเกียรติและโดยปลอดภัยในที่สุด--จบ--
-อน-