นายอดิศัย โพธารามิก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ณ เวลานี้ว่า ขณะนี้รัฐบาลนี้ได้เริ่มเข้ามาแก้ปัญหาตั้งแต่ข้าวนาปรังแล้ว ซึ่งรัฐบาลได้มีความตั้งใจเต็มที่เพื่อให้ทุกบาททุกสตางค์ตกไปถึงมือชาวนา
“โครงการรับจำนำข้าวนาปรังปีที่แล้วซึ่งเป็นชนิดข้าว 25 เปอร์เซ็นต์นั้นมีการตั้งราคาซื้อไว้ที่ 4,300 บาท แต่ก็ไม่มีใครนำเข้ามาขาย เข้าใจว่าคงมาจากเหตุผลที่ว่า ช่วงนาปรังมีความชื้นมาก ทำให้มีปัญหากับโรงสี ขณะเดียวกับที่ข้าวในโรงสีมีความชื้นสูงก็เพราะปัญหาเรื้อรังที่สูงมาตั้งแต่แรกสาเหตุมาจากฝนนั่นเอง ซึ่งตามหลักจะต้องมีความชื้นประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ ถึงจะได้ราคาที่ 4,300 บาท สูงขึ้นไปเรื่อยๆจนถึง 4,775 บาท ส่วนข้าว 25 เปอร์เซ็นต์สามารถทำเป็นข้าว 5 เปอร์เซ็นต์ได้ ถ้าหากทำความชื้นตรงนี้ให้หมดไป ซึ่งคนที่จะทำข้าวให้แห้งได้ คือ พ่อค้าคนกลางและพ่อค้าท้องถิ่นเพราะมีลานตากเป็นของตัวเอง ในขณะที่ชาวนาไม่มีความสามารถที่จะทำเรื่องนี้”
นายอดิศัยกล่าวว่า ปัญหาที่สำคัญของชาวนาคือ เงิน ดังนั้นโครงการรับจำนำในครั้งต่อไปคือวันที่ 15 พ.ย.นี้ จึงวางแผนการปฏิบัติให้กระชับมากขึ้น โดยจะให้ชาวนา องค์กรท้องถิ่นทั่วไปทั้งหมด เข้ามามีบทบาทช่วยกันอย่างเต็มที่ แม้กระทั่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สส.)หรือวุฒิสภา(สว.)ก็ตาม จะเชิญเข้ามาเป็นกรรมการโดยการตั้งเป็นคณะทำงาน เพื่อเข้าไปทำงานมากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาเดิมๆที่เคยเกิดขึ้น
“ผมจะยอมใช้เงินซึ่งเป็นเงินกองกลางของรัฐ อาจจะเอามาจาก 58,000 ล้านก็ได้ เพื่อลงทุนและเพื่อกวาดล้างระบบเดิมทั้งหมด ให้เงินทุกบาททุกสตางค์เข้าถึงชาวนา ซึ่งแต่เดิมแล้วช่องทางหากินของพ่อค้าคนกลางก็คือ ซื้อใบประทวนจากชาวนาในราคาต่ำ แล้วก็ไปขายราคาสูง จากนั้นโรงสีก็เอาข้าวที่ราคาต่ำไปขายราคาสูง ทุกคนจะซื้อถูกขายแพงเป็นขั้นๆ มีเฉพาะชาวนาเท่านั้นที่ขายถูก ตรงนี้ก็เป็นปัญหาที่รัฐบาลจะต้องเข้ามาแก้ไข” ในขณะที่ข้าวนาปี เป็นช่วงที่ความชื้นไม่มาก เพราะเป็นช่วงฤดูแล้ง ชาวนาจะขายได้ราคาดี ซึ่งราคาที่ตั้งใหม่จะสูงขึ้น โดยข้าว 25 เปอร์เซ็นต์ เริ่มจาก 4,760 บาทและเพิ่มไปจนถึง 5,330 บาท
อย่างไรก็ตามชาวนาจะต้องช่วยกัน โดยอย่าขายใบประทวนไปก่อน และอย่ากลัวว่าราคาข้าวจะตกต่ำ อย่ารีบขายเร็ว และต้องเชื่อใจรัฐบาลว่าจะสามารถทำให้ข้าวราคาสูงขึ้นได้ ส่วนข้าวนาปรังค้างสต็อก 2,200,000 ตันเป็นข้าวปี 42 และ ปี 43 เป็นข้าวสองประเภท คือ ข้าวเปลือกส่วนหนึ่งและข้าวสารส่วนหนึ่งรวมกันในสต็อกโรงสีทั้งหมดที่ฝากไว้ ซึ่งตัวเลข 2.2 ล้านตันนั้นคือข้าวเปลือกที่แปรสภาพเป็นข้าวสารแล้ว
“วันนี้(22 ต.ค.)มีไม่ถึงแล้ว เราระบายไปเหลือประมาณ 1.6 ล้านตัน ผมจะระบายข้าวออกไปในราคาที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงที่ผมเข้ามาใหม่ๆ ราคาขาย FOB อยู่ที่ 120 —130 เหรียญ/ตัน แต่ขณะนี้ราคา FOB อยู่ที่ 145 เหรียญ/ตัน ซึ่งเป็นข้าว 25 เปอร์เซ็นต์และเป็นราคาที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เรามั่นใจว่าข้าวที่เราขายได้ 7-7.1 ล้านตันมากกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้อย่างแน่นอนและหากใครมีปัญหาสามารถร้องเรียนไปยังคณะกรรมการจังหวัดที่ตั้งขึ้นซึ่งมีคณะกรรมการจากกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ โดยมี ธกส. เป็นผู้รับผิดชอบ, กระทรวงพาณิชย์, สส. และรวมถึง สว. ในพื้นที่ ได้” นายอดิศัย กล่าวในที่สุด
--กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ ตุลาคม 2544--
-ปส-
“โครงการรับจำนำข้าวนาปรังปีที่แล้วซึ่งเป็นชนิดข้าว 25 เปอร์เซ็นต์นั้นมีการตั้งราคาซื้อไว้ที่ 4,300 บาท แต่ก็ไม่มีใครนำเข้ามาขาย เข้าใจว่าคงมาจากเหตุผลที่ว่า ช่วงนาปรังมีความชื้นมาก ทำให้มีปัญหากับโรงสี ขณะเดียวกับที่ข้าวในโรงสีมีความชื้นสูงก็เพราะปัญหาเรื้อรังที่สูงมาตั้งแต่แรกสาเหตุมาจากฝนนั่นเอง ซึ่งตามหลักจะต้องมีความชื้นประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ ถึงจะได้ราคาที่ 4,300 บาท สูงขึ้นไปเรื่อยๆจนถึง 4,775 บาท ส่วนข้าว 25 เปอร์เซ็นต์สามารถทำเป็นข้าว 5 เปอร์เซ็นต์ได้ ถ้าหากทำความชื้นตรงนี้ให้หมดไป ซึ่งคนที่จะทำข้าวให้แห้งได้ คือ พ่อค้าคนกลางและพ่อค้าท้องถิ่นเพราะมีลานตากเป็นของตัวเอง ในขณะที่ชาวนาไม่มีความสามารถที่จะทำเรื่องนี้”
นายอดิศัยกล่าวว่า ปัญหาที่สำคัญของชาวนาคือ เงิน ดังนั้นโครงการรับจำนำในครั้งต่อไปคือวันที่ 15 พ.ย.นี้ จึงวางแผนการปฏิบัติให้กระชับมากขึ้น โดยจะให้ชาวนา องค์กรท้องถิ่นทั่วไปทั้งหมด เข้ามามีบทบาทช่วยกันอย่างเต็มที่ แม้กระทั่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(สส.)หรือวุฒิสภา(สว.)ก็ตาม จะเชิญเข้ามาเป็นกรรมการโดยการตั้งเป็นคณะทำงาน เพื่อเข้าไปทำงานมากขึ้น เพื่อแก้ปัญหาเดิมๆที่เคยเกิดขึ้น
“ผมจะยอมใช้เงินซึ่งเป็นเงินกองกลางของรัฐ อาจจะเอามาจาก 58,000 ล้านก็ได้ เพื่อลงทุนและเพื่อกวาดล้างระบบเดิมทั้งหมด ให้เงินทุกบาททุกสตางค์เข้าถึงชาวนา ซึ่งแต่เดิมแล้วช่องทางหากินของพ่อค้าคนกลางก็คือ ซื้อใบประทวนจากชาวนาในราคาต่ำ แล้วก็ไปขายราคาสูง จากนั้นโรงสีก็เอาข้าวที่ราคาต่ำไปขายราคาสูง ทุกคนจะซื้อถูกขายแพงเป็นขั้นๆ มีเฉพาะชาวนาเท่านั้นที่ขายถูก ตรงนี้ก็เป็นปัญหาที่รัฐบาลจะต้องเข้ามาแก้ไข” ในขณะที่ข้าวนาปี เป็นช่วงที่ความชื้นไม่มาก เพราะเป็นช่วงฤดูแล้ง ชาวนาจะขายได้ราคาดี ซึ่งราคาที่ตั้งใหม่จะสูงขึ้น โดยข้าว 25 เปอร์เซ็นต์ เริ่มจาก 4,760 บาทและเพิ่มไปจนถึง 5,330 บาท
อย่างไรก็ตามชาวนาจะต้องช่วยกัน โดยอย่าขายใบประทวนไปก่อน และอย่ากลัวว่าราคาข้าวจะตกต่ำ อย่ารีบขายเร็ว และต้องเชื่อใจรัฐบาลว่าจะสามารถทำให้ข้าวราคาสูงขึ้นได้ ส่วนข้าวนาปรังค้างสต็อก 2,200,000 ตันเป็นข้าวปี 42 และ ปี 43 เป็นข้าวสองประเภท คือ ข้าวเปลือกส่วนหนึ่งและข้าวสารส่วนหนึ่งรวมกันในสต็อกโรงสีทั้งหมดที่ฝากไว้ ซึ่งตัวเลข 2.2 ล้านตันนั้นคือข้าวเปลือกที่แปรสภาพเป็นข้าวสารแล้ว
“วันนี้(22 ต.ค.)มีไม่ถึงแล้ว เราระบายไปเหลือประมาณ 1.6 ล้านตัน ผมจะระบายข้าวออกไปในราคาที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงที่ผมเข้ามาใหม่ๆ ราคาขาย FOB อยู่ที่ 120 —130 เหรียญ/ตัน แต่ขณะนี้ราคา FOB อยู่ที่ 145 เหรียญ/ตัน ซึ่งเป็นข้าว 25 เปอร์เซ็นต์และเป็นราคาที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เรามั่นใจว่าข้าวที่เราขายได้ 7-7.1 ล้านตันมากกว่าที่ตั้งเป้าหมายไว้อย่างแน่นอนและหากใครมีปัญหาสามารถร้องเรียนไปยังคณะกรรมการจังหวัดที่ตั้งขึ้นซึ่งมีคณะกรรมการจากกระทรวง เกษตรและสหกรณ์ โดยมี ธกส. เป็นผู้รับผิดชอบ, กระทรวงพาณิชย์, สส. และรวมถึง สว. ในพื้นที่ ได้” นายอดิศัย กล่าวในที่สุด
--กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ ตุลาคม 2544--
-ปส-