กระแสการค้าโลก
ปัจจุบันเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เศรษฐกิจและการค้าของโลกมีลักษณะที่ไร้พรมแดน รวมทั้งมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นตามลำดับ ทำให้มีความจำเป็นต้องติดตามและปรับกลยุทธ์ทางการค้าให้ทันกับกระแสการเปลี่ยนแปลงการค้าโลกที่เกิดขึ้น ตลอดจนการปรับเปลี่ยนนโยบายมาตรการของประเทศต่าง ๆ อาทิเช่น
- ผลของการเจรจารอบอุรุกวัย ทำให้การค้าโลกเป็นเสรีมากขึ้น รวมทั้งมีการลดอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อก่อให้เกิดความคล่องตัวด้านการค้า และการลงทุน และมีความเป็นธรรมมากขึ้น
- ทิศทางการค้าโลกยุคใหม่จะเป็นการค้าที่มีการแข่งขันกันมากขึ้น จนมีแนวโน้มที่จะนำมาตรการในรูปแบบใหม่ ๆ เช่น สิ่งแวดล้อม แรงงาน มาเป็นข้ออ้างในการกีดกันการค้ามากขึ้น
- กลุ่มเศรษฐกิจการค้าระดับภูมิภาคจะมีบทบาทมากขึ้น และกลายเป็นแรงกระตุ้นให้มีการเปิดเสรีทางการค้าในระดับพหุภาคี
- การเปลี่ยนรูปแบบการบริโภค ประเทศที่พัฒนาแล้วมีการตื่นตัวในเรื่องของสิ่งแวดล้อมและสุขภาพมากขึ้น ส่งผลให้การกำหนดมาตรฐานสากลและมาตรฐานความปลอดภัยของสินค้าต่าง ๆ มีความสำคัญต่อการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น
- บทบาทของรัฐจะลดลง ลดการควบคุมและการกำหนดมาตรการ มีการสนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแข่งขันมากขึ้น
- เทคโนโลยีมีบทบาทเพิ่มขึ้นในตลาดการค้า ซึ่งจะทำให้รูปแบบการค้าระหว่างประเทศในอนาคตเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากและรวดเร็ว อาทิ พาณิชย์ อิเล็กทรอนิกส์ (E-commerce)
- การขยายตัวของบริษัทข้ามชาติเพิ่มขึ้น เพื่อขยายบริการให้ครอบคลุมลูกค้าทั่วโลก จะทำให้การค้ามีความเป็นสากลมากขึ้นข้อจำกัดการค้าในรูปแบบต่าง ๆ
การเปิดเสรีทางการค้าของโลกและกลุ่มเศรษฐกิจการค้าในภูมิภาคต่าง ๆ ได้ทำให้อัตราภาษีศุลกากรลดลง การปิดกั้นการส่งออก/นำเข้าสินค้าและบริการ และการลงทุนระหว่างประเทศลดลงตามลำดับ ในขณะเดียวกันกฎเกณฑ์ใหม่ ๆ ที่จำเป็นต้องมีการเจรจาตกลงกันให้ชัดเจน เพื่อป้องกันมิให้เกิดข้อจำกัดทางการค้า เช่น
- มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (AD/CVD) การเปิดเสรีทางการค้าอาจทำให้ประเทศผู้ส่งออกบางประเทศใช้วิธีการทุ่มตลาดในราคาต่ำหรือให้การอุดหนุน จนทำให้อุตสาหกรรมในประเทศผู้นำเข้าได้รับความเสียหาย ในกรณีนี้ WTO ยอมให้ประเทศผู้นำเข้าเรียกเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาด (AD : Anti -dumping Duty) หรือการตอบโต้การอุดหนุน (CVD : Countervailing Duty) ได้
- มาตรฐานด้านสุขอนามัย ปัจจุบันประเทศต่าง ๆ มีการกำหนดเงื่อนไขสุขอนามัยสำหรับสินค้าที่ผลิตในประเทศและสินค้านำเข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้มงวดการนำเข้าสินค้าอาหาร เพื่อคุ้มครองสุขภาพของประชาชน รวมทั้งเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคต่าง ๆ ขณะเดียวกันแต่ละประเทศจะกำหนดมาตรฐานและความเข้มงวดที่แตกต่างกัน ส่งผลให้การผลิต/ส่งออกขาดความคล่องตัวและมีต้นทุนสูงขึ้น
- มาตรการด้านสิ่งแวดล้อม การนำมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมมาใช้กับนโยบายการค้า มีความมุ่งหมายเพื่อนุ- รักษ์สิ่งแวดล้อม รวมทั้งเพื่อมิให้มีการทรัพยากรเกินระดับ (Over-exploration) ซึ่งอาจจะมีการนำมาใช้มากเกินจำเป็น ส่งผลให้เป็นการกีดกันทางการค้าได้
- มาตรฐานแรงงานและสิทธิมนุษยชน ประเทศพัฒนาแล้วได้นำเรื่องสิทธิแรงงานและสิทธิมนุษยชนมาเป็นข้อกีดกันทางการค้าทวิภาคีมากขึ้น
- GMOs (Genetically Modified Organisms) เป็นกระบวนการทางเทคโนโลยีชีวภาพ (Bio-technology) ในการทำให้สารอินทรีย์มีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม GMOs ในขณะนี้นับว่าเป็นเรื่องใหม่ในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งประเทศพัฒนาแล้วมีความเห็นที่แตกต่างกัน และยังไม่มีการให้คำจำกัดความและพิสูจน์ผลเสียของ GMOs ที่มีต่อผู้บริโภคอย่างชัดเจน ในขณะที่สินค้าที่จะเข้าข่ายเป็น GMOs มีอยู่มากมายทั้งในรูปสินค้าเกษตรขั้นปฐมและสินค้าเกษตรแปรรูป และ GMOs เป็นปัญหาใหม่ที่ประเทศผู้ส่งออก เช่น ไทยจะต้องเร่งปรับตัว เนื่องจากสหภาพยุโรปซึ่งเป็นตลาดส่งออกอาหารที่สำคัญของโลก ได้ประกาศใช้กฎระเบียบเกี่ยวกับการติดฉลากสินค้า GMOs นับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999)ผลประโยชน์
นับตั้งแต่มีการจัดตั้งแกตต์/องค์การการค้าโลก ประเทศกำลังพัฒนาได้รับประโยชน์จาก WTO ดังนี้.-
- การส่งออกขยายตัวมากขึ้น ส่งผลให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศกำลังพัฒนาดีขึ้น
- ผู้บริโภคมีทางเลือกในการบริโภคสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น เนื่องจากการลดหรือยกเลิกข้อจำกัดและข้อกีดกันทางการค้า ทำให้สามารถบริโภคสินค้าและบริการที่มีคุณภาพดีขึ้นในราคาที่ต่ำลง ขณะเดียวกันผู้ผลิตก็มีทางเลือกเพิ่มขึ้นในการใช้วัตถุดิบกระตุ้นให้เกิดการแข่งขัน และพัฒนาศักยภาพการผลิต
- ภาษีศุลกากรลดลง โดยในการเจรจา 8 รอบของแกตต์ ส่งผลให้ภาษีอุตสาหกรรมโดยเฉลี่ยของโลกลดลงจากร้อยละ 40 เหลือร้อยละ 4 อันทำให้ประเทศต่าง ๆ มีโอกาสขยายการผลิตและการส่งออกได้มากขึ้น และผู้บริโภคได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้นมาก
- ระบบการค้าระหว่างประเทศมั่นคงมีเสถียรภาพและมีความน่าเชื่อถือ เนื่องจากประเทศต่าง ๆ ปฏิบัติตามหลักการสำคัญของ WTO เช่น หลักการ MFN, National Treatment, Non-discrimination และการผูกพันภาษีศุลกากร เป็นต้น
- ประเทศกำลังพัฒนาได้รับประโยชน์จากบทบัญญัติ ในเรื่องการปฏิบัติที่เป็นพิเศษและแตกต่างของ WTO (S & D Treatment) เพื่อให้ประเทศกำลังพัฒนาและพัฒนาน้อยที่สุด ซึ่งมีความสามารถไม่เท่าเทียมกับประเทศพัฒนาแล้วได้รับการยกเว้นในเรื่องการปฏิบัติตามพันธกรณีของ WTO เช่น มีเงื่อนเวลาในการปรับตัวนานกว่า มีการลดภาษีศุลกากรหรือลดการอุดหนุนในอัตราที่ต่ำกว่า เป็นต้น
- ประเทศกำลังพัฒนามีอำนาจต่อรองทางการค้าเพิ่มขึ้น และลดการกดดันทางการค้าจากประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ เนื่องจากกระบวนการยุติข้อพิพาทของ WTO ทำให้ประเทศสมาชิก โดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนามีเวทีที่จะหารือ เพื่อไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางการค้า รวมทั้งทำให้ประเทศมหาอำนาจใหญ่ ๆ ไม่สามารถบีบบังคับประเทศเล็ก ๆ ได้ตามอำเภอใจ
- ประเทศขนาดเล็กได้รับความเป็นธรรมมากขึ้น เพราะมีสิทธิ์เสียงเท่าเทียมประเทศขนาดใหญ่ตามหลักการฉันทามติ (Consensus) ของ WTO ผลกระทบในทางลบ
วิกฤติการณ์ทางการเงินและเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในโลกนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) เป็นต้นมา ทำให้เกิดการตั้งประเด็นคำถามว่า การเปิดเสรีทางการค้าจะมีผลดีต่อเศรษฐกิจโลกจริงหรือ เมื่อเปิดเสรีแล้วทำไมหลายประเทศยังคงประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ ทำไมความแตกต่างระหว่างรายได้ของประเทศร่ำรวยและยากจนยังกว้างอยู่ (Margi-nalization) และทำไมผลประโยชน์ทางการค้าส่วนใหญ่ยังอยู่ในมือของประเทที่ร่ำรวยอยู่แล้ว ในขณะที่ประเทศยากจนยังถูกกีดกันทางการค้า
ทั้งนี้ อาจพิจารณาได้จากหลายมุมมอง อาทิเช่น
- สินค้าส่งออกส่วนใหญ่ของประเทศกำลังพัฒนายังเป็นสินค้าขั้นปฐม (Primary Products) เช่น ข้าว น้ำตาล มันสำปะหลัง และเป็นสินค้าเกษตร ที่แม้จะส่งออกเป็นปริมาณมากแต่ก็มีมูลค่าน้อยเมื่อเทียบกับสินค้าส่งออกที่มาจากประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งเป็นสินค้าที่ได้รับการพัฒนา วิจัย คิดค้น เพิ่มเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้าไป ให้เป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ทำให้ Term of Trade ของประเทศกำลังพัฒนายังคงเสียเปรียบประเทศพัฒนาแล้ว
- สินค้าส่งออกส่วนใหญ่ของประเทศกำลังพัฒนาเป็นสินค้าเกษตร ที่ประเทศมหาอำนาจส่วนใหญ่ยังให้การอุดหนุนการส่งออกและการผลิตสูงอยู่ ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกต่ำ ซึ่งหากพิจารณาในประเด็นนี้การเปิดเสรีทางการค้า โดยผลักดันให้ประเทศสมาชิกองค์การการค้าโลกลดและเลิกการอุดหนุนภายใน และการอุดหนุนการส่งออกสินค้าเกษตรต่อไป น่าจะเป็นผลดีแก่ประเทศกำลังพัฒนามากกว่าผลเสีย
- ประเทศพัฒนาแล้วมีการบิดเบือน โดยนำการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากร (GSP) มาใช้เป็นเครื่องมือกีดกันการค้า มีการเลือกปฏิบัติ มีการตั้งเงื่อนไข ตลอดจนเรียกร้องสิ่งตอบแทนจากประเทศผู้รับไม่ว่าจะเป็นการนำเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจและการส่งออกแรงงาน สิ่งแวดล้อม และเรื่องการปราบปรามยาเสพติด เป็นต้น แต่เมื่อวิเคราะห์แนวโน้มในอนาคต ซึ่งอัตราภาษีศุลกากรจะลดลงตามลำดับ การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากรก็จะมีความสำคัญลดลง กระทั่งประเทศที่พัฒนาแล้วไม่สามารถนำมาเป็นข้อต่อรองทางการค้ากับประเทศกำลังพัฒนาได้อีกต่อไป
- การปฏิบัติตามพันธกรณีความตกลง WTO ของประเทศสมาชิก ประเทศกำลังพัฒนาเห็นว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ประเทศพัฒนาแล้วไม่ได้ปฏิบัติตามพันธกรณี หรือเปิดเสรีอย่างแท้จริง เช่น การเปิดเสรีกับประเทศพัฒนาแล้วเปิดเสรีในรายการที่ประเทศกำลังพัฒนามีการส่งออกน้อย การนำกฎเกณฑ์ด้านสุขอนามัยมีการส่งออกน้อย การนำกฎเกณฑ์ด้านสุขอนามัยที่เข้มงวดเกินไป มาใช้เป็นข้ออ้างในการกีดกันสินค้าจากประเทศกำลังพัฒนา และนำมาตรการทุ่มตลาดมาใช้อย่างบิดเบือน และเป็นข้ออ้างในการกีดกันสินค้าจากประเทศกำลังพัฒนา เป็นต้น ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องนำมาพิจารณาในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศภายใต้ WTO ต่อไป
- การผลิต การตลาด การพัฒนาบุคลากร และกลไกการบริหารกิจการของประเทศกำลังพัฒนายังขาดประสิทธิภาพ การพัฒนาเทคโนโลยียังล่าช้าเกินไป จนก้าวหน้าตามประเทศพัฒนาแล้วไม่ทัน ทำให้ประเทศพัฒนาแล้วเป็นผู้ส่งออกสินค้าที่มีเทคโนโลยีและมูลค่าสูงกว่า ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาเป็นผู้นำเข้าสินค้าเหล่านี้ ทำให้ช่องว่างระหว่างรายได้ของประเทศร่ำรวยและยากจนกว้างขวางผลต่อประเทศไทย
การปฏิบัติตามพันธกรณี จากการที่ประเทศสมาชิก WTO ต้องเปิดตลาดการค้าของตนเอง โดยลดมาตรการภาษีและมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีลง ประเทศต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทย อาทิ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น นอกจากประโยชน์จากการเปิดตลาดสินค้าแล้ว ในส่วนของไทยก็ได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติตามพันธกรณีต่าง ๆ ด้วย กล่าวคือ
- ตลาดส่งออกเปิดกว้างขึ้น
- มีกฎระเบียบการค้าที่ส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ค้าและผู้ลงทุน
- ผู้ประกอบการสามารถคาดการณ์ และวางแผนการค้าระหว่างประเทศล่วงหน้าได้ เนื่องจากมีความโปร่งใสโดยเฉพาะในเรื่องภาษี
- มีเวทีให้ประเทศต่าง ๆ ใช้ในการร้องเรียนข้อพิพาททางการค้า และมีแนวร่วมในการต่อสู้กับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมของประเทศที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจ
- การเปิดตลาดของไทย ทำให้มีการลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบ และสินค้าทุน ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มฐานะการแข่งขันของไทย รวมทั้งช่วยในการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ
การเปิดตลาดของไทยรายสาขา
- การเปิดตลาดสินค้าเกษตร 23 รายการ สินค้าหลายรายการไทยต้องนำเข้ามาใช้ในประเทศอยู่แล้ว เช่น เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ ข้าวโพด ถั่วเหลือง และกากถั่วเหลือง แต่สินค้าบางรายการที่ไทยแข่งขันไม่ได้อาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดสินค้าเกษตรของไทย ซึ่งแต่เดิมมีมาตรการจำกัดการนำเข้าเพื่อคุ้มครองผู้ผลิตในประเทศ เมื่อมีการเปิดเสรี ไทยจำเป็นต้องกำหนดแนวนโยบายที่ชัดเจนว่า หากไม่สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและขีดความสามารถในการแข่งขันได้แล้ว ควรที่จะปรับเปลี่ยนไปผลิตสินค้าอื่นที่แข่งขันได้ เพื่อให้มีการจัดสรรทรัพยากรของประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุดในระยะต่อไป
ทั้งนี้ในระยะที่ผ่านมาการเปิดเสรีสินค้าเกษตรของไทยได้ดำเนินอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อเกษตรกรรายย่อยในชนบทของไทย ซึ่งมีรายได้ต่ำ และไม่มีโอกาสเลือกที่จะหันไปผลิตสินค้าเกษตรกรรมอื่น ๆ ในขณะเดียวกันไทยก็ได้มีการใช้กลไกการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เพื่อผลักดันให้ประเทศที่พัฒนาแล้วลดการอุดหนุนการผลิตและการส่งออก เพื่อผ่อนคลายปัญหาสินค้าเกษตรมีราคาตกต่ำและผันผวน
อย่างไรก็ดีการเปิดตลาดเสรีสินค้าเกษตรของไทยก็นับว่าเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมของไทยที่จำเป็นต้องนำเข้าสินค้าเกษตรเป็นวัตถุดิบ เพราะสามารถเลือกนำเข้าได้ในราคาและคุณภาพที่ตรงตามความต้องการ ทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตรแปรรูปลดลง
- การเปิดตลาดสินค้าอุตสาหกรรมทั่วไป (รวมสินค้าประมง) อัตราภาษีสินค้าอุตสาหกรรมที่ไทยประกาศลดลงส่วนใหญ่ จะสูงกว่าอัตราที่ไทยเก็บจริง ในปัจจุบันมีเพียง 854 รายการเท่านั้นที่จะต้องลดภาษีศุลกากรลงให้สอดคล้องกับที่ผูกพันไว้ จึงอาจกล่าวได้ว่าสินค้าอุตสาหกรรมของไทยส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบจากการลดภาษีศุลกากรดังกล่าวและสำหรับการเปิดตลาดสินค้าสิ่งทอของไทย เนื่องจากไทยไม่มีข้อจำกัดด้านปริมาณการนำเข้าสิ่งทอ ไทยจึงไม่ได้รับผลกระทบ แต่จะได้รับประโยชน์ คือ ในปี พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) ไทยจะสามารถส่งออกสิ่งทอไปยังประเทศต่าง ๆ ได้โดยไม่มีโควต้า
- การเปิดตลาดการค้าบริการ จากผลของการเจรจาการค้าหลายฝ่ายรอบอุรุกวัยคาดว่าประเทศไทยจะไม่ได้รับผลกระทบจากการเปิดตลาดการค้าบริการ เนื่องจากประเทศไทยผูกพันที่จะเปิดตลาดการค้าบริการ เฉพาะที่ไทยมีความพร้อมและเปิดเสรีเท่าที่กฎหมายจะอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาประกอบกิจการแต่ผลดีที่จะเกิดขึ้น ก็คือ
(1) จะเป็นการช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติว่าประเทศไทยจะไม่มีกฎระเบียบที่นำมาใช้นอกเหนือจากที่ผูกพันไว้
(2) จะเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้ประกอบการของไทยเกิดความตืนตัวที่จะเพิ่มศักยภาพของตัวเองเพื่อรองรับการแข่งขันจากต่างชาติที่จะเพิ่มสูงขึ้นจากการที่ต้องเปิดตลาดการค้าบริการมากขึ้นในการเจรจารอบต่อไปสรุป
นับตั้งแต่มีการก่อตั้งองค์การการค้าโลก (WTO) ในปี พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) ประเทศสมาชิกที่เป็นประเทศกำลังพัฒนาซึ่งรวมถึงไทยด้วยได้รับประโยชน์จากการเข้าร่วมเป็นสมาชิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการเปิดตลาดการค้าของประเทศที่พัฒนาแล้ว ทั้งจากการลดภาษีศุลกากรและการยกเลิกมาตรการที่มิใช่ภาษีศุลกากร และการเปิดเสรีตลาดการค้าบริการระหว่างประเทศ อันเป็นผลจากการเจรจารอบอุรุกวัย นอกจากนี้ กฎระเบียบการค้าที่ได้รับการปรับปรุงให้ชัดเจนรัดกุมและเป็นธรรมมากขึ้น เช่น กระบวนการระงับข้อพิพาททางการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งสามารถใช้บังคับได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ประเทศสมาชิกที่พัฒนาแล้วไม่สามารถใช้อำนาจทางเศรษฐกิจบีบบังคับประเทศเล็ก ๆ ได้ตามใจชอบเช่นที่ผ่านมา
(ที่มา : กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์)
--วารสาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 21/2543 วันที่ 15 พฤศจิกายน 2543--
-อน-
ปัจจุบันเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ทำให้เศรษฐกิจและการค้าของโลกมีลักษณะที่ไร้พรมแดน รวมทั้งมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นตามลำดับ ทำให้มีความจำเป็นต้องติดตามและปรับกลยุทธ์ทางการค้าให้ทันกับกระแสการเปลี่ยนแปลงการค้าโลกที่เกิดขึ้น ตลอดจนการปรับเปลี่ยนนโยบายมาตรการของประเทศต่าง ๆ อาทิเช่น
- ผลของการเจรจารอบอุรุกวัย ทำให้การค้าโลกเป็นเสรีมากขึ้น รวมทั้งมีการลดอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อก่อให้เกิดความคล่องตัวด้านการค้า และการลงทุน และมีความเป็นธรรมมากขึ้น
- ทิศทางการค้าโลกยุคใหม่จะเป็นการค้าที่มีการแข่งขันกันมากขึ้น จนมีแนวโน้มที่จะนำมาตรการในรูปแบบใหม่ ๆ เช่น สิ่งแวดล้อม แรงงาน มาเป็นข้ออ้างในการกีดกันการค้ามากขึ้น
- กลุ่มเศรษฐกิจการค้าระดับภูมิภาคจะมีบทบาทมากขึ้น และกลายเป็นแรงกระตุ้นให้มีการเปิดเสรีทางการค้าในระดับพหุภาคี
- การเปลี่ยนรูปแบบการบริโภค ประเทศที่พัฒนาแล้วมีการตื่นตัวในเรื่องของสิ่งแวดล้อมและสุขภาพมากขึ้น ส่งผลให้การกำหนดมาตรฐานสากลและมาตรฐานความปลอดภัยของสินค้าต่าง ๆ มีความสำคัญต่อการค้าระหว่างประเทศมากขึ้น
- บทบาทของรัฐจะลดลง ลดการควบคุมและการกำหนดมาตรการ มีการสนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแข่งขันมากขึ้น
- เทคโนโลยีมีบทบาทเพิ่มขึ้นในตลาดการค้า ซึ่งจะทำให้รูปแบบการค้าระหว่างประเทศในอนาคตเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากและรวดเร็ว อาทิ พาณิชย์ อิเล็กทรอนิกส์ (E-commerce)
- การขยายตัวของบริษัทข้ามชาติเพิ่มขึ้น เพื่อขยายบริการให้ครอบคลุมลูกค้าทั่วโลก จะทำให้การค้ามีความเป็นสากลมากขึ้นข้อจำกัดการค้าในรูปแบบต่าง ๆ
การเปิดเสรีทางการค้าของโลกและกลุ่มเศรษฐกิจการค้าในภูมิภาคต่าง ๆ ได้ทำให้อัตราภาษีศุลกากรลดลง การปิดกั้นการส่งออก/นำเข้าสินค้าและบริการ และการลงทุนระหว่างประเทศลดลงตามลำดับ ในขณะเดียวกันกฎเกณฑ์ใหม่ ๆ ที่จำเป็นต้องมีการเจรจาตกลงกันให้ชัดเจน เพื่อป้องกันมิให้เกิดข้อจำกัดทางการค้า เช่น
- มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (AD/CVD) การเปิดเสรีทางการค้าอาจทำให้ประเทศผู้ส่งออกบางประเทศใช้วิธีการทุ่มตลาดในราคาต่ำหรือให้การอุดหนุน จนทำให้อุตสาหกรรมในประเทศผู้นำเข้าได้รับความเสียหาย ในกรณีนี้ WTO ยอมให้ประเทศผู้นำเข้าเรียกเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาด (AD : Anti -dumping Duty) หรือการตอบโต้การอุดหนุน (CVD : Countervailing Duty) ได้
- มาตรฐานด้านสุขอนามัย ปัจจุบันประเทศต่าง ๆ มีการกำหนดเงื่อนไขสุขอนามัยสำหรับสินค้าที่ผลิตในประเทศและสินค้านำเข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้มงวดการนำเข้าสินค้าอาหาร เพื่อคุ้มครองสุขภาพของประชาชน รวมทั้งเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคต่าง ๆ ขณะเดียวกันแต่ละประเทศจะกำหนดมาตรฐานและความเข้มงวดที่แตกต่างกัน ส่งผลให้การผลิต/ส่งออกขาดความคล่องตัวและมีต้นทุนสูงขึ้น
- มาตรการด้านสิ่งแวดล้อม การนำมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมมาใช้กับนโยบายการค้า มีความมุ่งหมายเพื่อนุ- รักษ์สิ่งแวดล้อม รวมทั้งเพื่อมิให้มีการทรัพยากรเกินระดับ (Over-exploration) ซึ่งอาจจะมีการนำมาใช้มากเกินจำเป็น ส่งผลให้เป็นการกีดกันทางการค้าได้
- มาตรฐานแรงงานและสิทธิมนุษยชน ประเทศพัฒนาแล้วได้นำเรื่องสิทธิแรงงานและสิทธิมนุษยชนมาเป็นข้อกีดกันทางการค้าทวิภาคีมากขึ้น
- GMOs (Genetically Modified Organisms) เป็นกระบวนการทางเทคโนโลยีชีวภาพ (Bio-technology) ในการทำให้สารอินทรีย์มีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม GMOs ในขณะนี้นับว่าเป็นเรื่องใหม่ในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งประเทศพัฒนาแล้วมีความเห็นที่แตกต่างกัน และยังไม่มีการให้คำจำกัดความและพิสูจน์ผลเสียของ GMOs ที่มีต่อผู้บริโภคอย่างชัดเจน ในขณะที่สินค้าที่จะเข้าข่ายเป็น GMOs มีอยู่มากมายทั้งในรูปสินค้าเกษตรขั้นปฐมและสินค้าเกษตรแปรรูป และ GMOs เป็นปัญหาใหม่ที่ประเทศผู้ส่งออก เช่น ไทยจะต้องเร่งปรับตัว เนื่องจากสหภาพยุโรปซึ่งเป็นตลาดส่งออกอาหารที่สำคัญของโลก ได้ประกาศใช้กฎระเบียบเกี่ยวกับการติดฉลากสินค้า GMOs นับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999)ผลประโยชน์
นับตั้งแต่มีการจัดตั้งแกตต์/องค์การการค้าโลก ประเทศกำลังพัฒนาได้รับประโยชน์จาก WTO ดังนี้.-
- การส่งออกขยายตัวมากขึ้น ส่งผลให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศกำลังพัฒนาดีขึ้น
- ผู้บริโภคมีทางเลือกในการบริโภคสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น เนื่องจากการลดหรือยกเลิกข้อจำกัดและข้อกีดกันทางการค้า ทำให้สามารถบริโภคสินค้าและบริการที่มีคุณภาพดีขึ้นในราคาที่ต่ำลง ขณะเดียวกันผู้ผลิตก็มีทางเลือกเพิ่มขึ้นในการใช้วัตถุดิบกระตุ้นให้เกิดการแข่งขัน และพัฒนาศักยภาพการผลิต
- ภาษีศุลกากรลดลง โดยในการเจรจา 8 รอบของแกตต์ ส่งผลให้ภาษีอุตสาหกรรมโดยเฉลี่ยของโลกลดลงจากร้อยละ 40 เหลือร้อยละ 4 อันทำให้ประเทศต่าง ๆ มีโอกาสขยายการผลิตและการส่งออกได้มากขึ้น และผู้บริโภคได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้นมาก
- ระบบการค้าระหว่างประเทศมั่นคงมีเสถียรภาพและมีความน่าเชื่อถือ เนื่องจากประเทศต่าง ๆ ปฏิบัติตามหลักการสำคัญของ WTO เช่น หลักการ MFN, National Treatment, Non-discrimination และการผูกพันภาษีศุลกากร เป็นต้น
- ประเทศกำลังพัฒนาได้รับประโยชน์จากบทบัญญัติ ในเรื่องการปฏิบัติที่เป็นพิเศษและแตกต่างของ WTO (S & D Treatment) เพื่อให้ประเทศกำลังพัฒนาและพัฒนาน้อยที่สุด ซึ่งมีความสามารถไม่เท่าเทียมกับประเทศพัฒนาแล้วได้รับการยกเว้นในเรื่องการปฏิบัติตามพันธกรณีของ WTO เช่น มีเงื่อนเวลาในการปรับตัวนานกว่า มีการลดภาษีศุลกากรหรือลดการอุดหนุนในอัตราที่ต่ำกว่า เป็นต้น
- ประเทศกำลังพัฒนามีอำนาจต่อรองทางการค้าเพิ่มขึ้น และลดการกดดันทางการค้าจากประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ เนื่องจากกระบวนการยุติข้อพิพาทของ WTO ทำให้ประเทศสมาชิก โดยเฉพาะประเทศที่กำลังพัฒนามีเวทีที่จะหารือ เพื่อไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางการค้า รวมทั้งทำให้ประเทศมหาอำนาจใหญ่ ๆ ไม่สามารถบีบบังคับประเทศเล็ก ๆ ได้ตามอำเภอใจ
- ประเทศขนาดเล็กได้รับความเป็นธรรมมากขึ้น เพราะมีสิทธิ์เสียงเท่าเทียมประเทศขนาดใหญ่ตามหลักการฉันทามติ (Consensus) ของ WTO ผลกระทบในทางลบ
วิกฤติการณ์ทางการเงินและเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในโลกนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) เป็นต้นมา ทำให้เกิดการตั้งประเด็นคำถามว่า การเปิดเสรีทางการค้าจะมีผลดีต่อเศรษฐกิจโลกจริงหรือ เมื่อเปิดเสรีแล้วทำไมหลายประเทศยังคงประสบปัญหาทางเศรษฐกิจ ทำไมความแตกต่างระหว่างรายได้ของประเทศร่ำรวยและยากจนยังกว้างอยู่ (Margi-nalization) และทำไมผลประโยชน์ทางการค้าส่วนใหญ่ยังอยู่ในมือของประเทที่ร่ำรวยอยู่แล้ว ในขณะที่ประเทศยากจนยังถูกกีดกันทางการค้า
ทั้งนี้ อาจพิจารณาได้จากหลายมุมมอง อาทิเช่น
- สินค้าส่งออกส่วนใหญ่ของประเทศกำลังพัฒนายังเป็นสินค้าขั้นปฐม (Primary Products) เช่น ข้าว น้ำตาล มันสำปะหลัง และเป็นสินค้าเกษตร ที่แม้จะส่งออกเป็นปริมาณมากแต่ก็มีมูลค่าน้อยเมื่อเทียบกับสินค้าส่งออกที่มาจากประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งเป็นสินค้าที่ได้รับการพัฒนา วิจัย คิดค้น เพิ่มเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้าไป ให้เป็นสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ทำให้ Term of Trade ของประเทศกำลังพัฒนายังคงเสียเปรียบประเทศพัฒนาแล้ว
- สินค้าส่งออกส่วนใหญ่ของประเทศกำลังพัฒนาเป็นสินค้าเกษตร ที่ประเทศมหาอำนาจส่วนใหญ่ยังให้การอุดหนุนการส่งออกและการผลิตสูงอยู่ ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกต่ำ ซึ่งหากพิจารณาในประเด็นนี้การเปิดเสรีทางการค้า โดยผลักดันให้ประเทศสมาชิกองค์การการค้าโลกลดและเลิกการอุดหนุนภายใน และการอุดหนุนการส่งออกสินค้าเกษตรต่อไป น่าจะเป็นผลดีแก่ประเทศกำลังพัฒนามากกว่าผลเสีย
- ประเทศพัฒนาแล้วมีการบิดเบือน โดยนำการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากร (GSP) มาใช้เป็นเครื่องมือกีดกันการค้า มีการเลือกปฏิบัติ มีการตั้งเงื่อนไข ตลอดจนเรียกร้องสิ่งตอบแทนจากประเทศผู้รับไม่ว่าจะเป็นการนำเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจและการส่งออกแรงงาน สิ่งแวดล้อม และเรื่องการปราบปรามยาเสพติด เป็นต้น แต่เมื่อวิเคราะห์แนวโน้มในอนาคต ซึ่งอัตราภาษีศุลกากรจะลดลงตามลำดับ การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีศุลกากรก็จะมีความสำคัญลดลง กระทั่งประเทศที่พัฒนาแล้วไม่สามารถนำมาเป็นข้อต่อรองทางการค้ากับประเทศกำลังพัฒนาได้อีกต่อไป
- การปฏิบัติตามพันธกรณีความตกลง WTO ของประเทศสมาชิก ประเทศกำลังพัฒนาเห็นว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ประเทศพัฒนาแล้วไม่ได้ปฏิบัติตามพันธกรณี หรือเปิดเสรีอย่างแท้จริง เช่น การเปิดเสรีกับประเทศพัฒนาแล้วเปิดเสรีในรายการที่ประเทศกำลังพัฒนามีการส่งออกน้อย การนำกฎเกณฑ์ด้านสุขอนามัยมีการส่งออกน้อย การนำกฎเกณฑ์ด้านสุขอนามัยที่เข้มงวดเกินไป มาใช้เป็นข้ออ้างในการกีดกันสินค้าจากประเทศกำลังพัฒนา และนำมาตรการทุ่มตลาดมาใช้อย่างบิดเบือน และเป็นข้ออ้างในการกีดกันสินค้าจากประเทศกำลังพัฒนา เป็นต้น ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องนำมาพิจารณาในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศภายใต้ WTO ต่อไป
- การผลิต การตลาด การพัฒนาบุคลากร และกลไกการบริหารกิจการของประเทศกำลังพัฒนายังขาดประสิทธิภาพ การพัฒนาเทคโนโลยียังล่าช้าเกินไป จนก้าวหน้าตามประเทศพัฒนาแล้วไม่ทัน ทำให้ประเทศพัฒนาแล้วเป็นผู้ส่งออกสินค้าที่มีเทคโนโลยีและมูลค่าสูงกว่า ในขณะที่ประเทศกำลังพัฒนาเป็นผู้นำเข้าสินค้าเหล่านี้ ทำให้ช่องว่างระหว่างรายได้ของประเทศร่ำรวยและยากจนกว้างขวางผลต่อประเทศไทย
การปฏิบัติตามพันธกรณี จากการที่ประเทศสมาชิก WTO ต้องเปิดตลาดการค้าของตนเอง โดยลดมาตรการภาษีและมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีลง ประเทศต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทย อาทิ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น นอกจากประโยชน์จากการเปิดตลาดสินค้าแล้ว ในส่วนของไทยก็ได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติตามพันธกรณีต่าง ๆ ด้วย กล่าวคือ
- ตลาดส่งออกเปิดกว้างขึ้น
- มีกฎระเบียบการค้าที่ส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรม สร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ค้าและผู้ลงทุน
- ผู้ประกอบการสามารถคาดการณ์ และวางแผนการค้าระหว่างประเทศล่วงหน้าได้ เนื่องจากมีความโปร่งใสโดยเฉพาะในเรื่องภาษี
- มีเวทีให้ประเทศต่าง ๆ ใช้ในการร้องเรียนข้อพิพาททางการค้า และมีแนวร่วมในการต่อสู้กับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมของประเทศที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจ
- การเปิดตลาดของไทย ทำให้มีการลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบ และสินค้าทุน ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มฐานะการแข่งขันของไทย รวมทั้งช่วยในการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ
การเปิดตลาดของไทยรายสาขา
- การเปิดตลาดสินค้าเกษตร 23 รายการ สินค้าหลายรายการไทยต้องนำเข้ามาใช้ในประเทศอยู่แล้ว เช่น เมล็ดพันธุ์หอมหัวใหญ่ ข้าวโพด ถั่วเหลือง และกากถั่วเหลือง แต่สินค้าบางรายการที่ไทยแข่งขันไม่ได้อาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดสินค้าเกษตรของไทย ซึ่งแต่เดิมมีมาตรการจำกัดการนำเข้าเพื่อคุ้มครองผู้ผลิตในประเทศ เมื่อมีการเปิดเสรี ไทยจำเป็นต้องกำหนดแนวนโยบายที่ชัดเจนว่า หากไม่สามารถปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตและขีดความสามารถในการแข่งขันได้แล้ว ควรที่จะปรับเปลี่ยนไปผลิตสินค้าอื่นที่แข่งขันได้ เพื่อให้มีการจัดสรรทรัพยากรของประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุดในระยะต่อไป
ทั้งนี้ในระยะที่ผ่านมาการเปิดเสรีสินค้าเกษตรของไทยได้ดำเนินอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อเกษตรกรรายย่อยในชนบทของไทย ซึ่งมีรายได้ต่ำ และไม่มีโอกาสเลือกที่จะหันไปผลิตสินค้าเกษตรกรรมอื่น ๆ ในขณะเดียวกันไทยก็ได้มีการใช้กลไกการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เพื่อผลักดันให้ประเทศที่พัฒนาแล้วลดการอุดหนุนการผลิตและการส่งออก เพื่อผ่อนคลายปัญหาสินค้าเกษตรมีราคาตกต่ำและผันผวน
อย่างไรก็ดีการเปิดตลาดเสรีสินค้าเกษตรของไทยก็นับว่าเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมของไทยที่จำเป็นต้องนำเข้าสินค้าเกษตรเป็นวัตถุดิบ เพราะสามารถเลือกนำเข้าได้ในราคาและคุณภาพที่ตรงตามความต้องการ ทำให้ต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตรแปรรูปลดลง
- การเปิดตลาดสินค้าอุตสาหกรรมทั่วไป (รวมสินค้าประมง) อัตราภาษีสินค้าอุตสาหกรรมที่ไทยประกาศลดลงส่วนใหญ่ จะสูงกว่าอัตราที่ไทยเก็บจริง ในปัจจุบันมีเพียง 854 รายการเท่านั้นที่จะต้องลดภาษีศุลกากรลงให้สอดคล้องกับที่ผูกพันไว้ จึงอาจกล่าวได้ว่าสินค้าอุตสาหกรรมของไทยส่วนใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบจากการลดภาษีศุลกากรดังกล่าวและสำหรับการเปิดตลาดสินค้าสิ่งทอของไทย เนื่องจากไทยไม่มีข้อจำกัดด้านปริมาณการนำเข้าสิ่งทอ ไทยจึงไม่ได้รับผลกระทบ แต่จะได้รับประโยชน์ คือ ในปี พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) ไทยจะสามารถส่งออกสิ่งทอไปยังประเทศต่าง ๆ ได้โดยไม่มีโควต้า
- การเปิดตลาดการค้าบริการ จากผลของการเจรจาการค้าหลายฝ่ายรอบอุรุกวัยคาดว่าประเทศไทยจะไม่ได้รับผลกระทบจากการเปิดตลาดการค้าบริการ เนื่องจากประเทศไทยผูกพันที่จะเปิดตลาดการค้าบริการ เฉพาะที่ไทยมีความพร้อมและเปิดเสรีเท่าที่กฎหมายจะอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาประกอบกิจการแต่ผลดีที่จะเกิดขึ้น ก็คือ
(1) จะเป็นการช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติว่าประเทศไทยจะไม่มีกฎระเบียบที่นำมาใช้นอกเหนือจากที่ผูกพันไว้
(2) จะเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้ประกอบการของไทยเกิดความตืนตัวที่จะเพิ่มศักยภาพของตัวเองเพื่อรองรับการแข่งขันจากต่างชาติที่จะเพิ่มสูงขึ้นจากการที่ต้องเปิดตลาดการค้าบริการมากขึ้นในการเจรจารอบต่อไปสรุป
นับตั้งแต่มีการก่อตั้งองค์การการค้าโลก (WTO) ในปี พ.ศ. 2538 (ค.ศ. 1995) ประเทศสมาชิกที่เป็นประเทศกำลังพัฒนาซึ่งรวมถึงไทยด้วยได้รับประโยชน์จากการเข้าร่วมเป็นสมาชิก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการเปิดตลาดการค้าของประเทศที่พัฒนาแล้ว ทั้งจากการลดภาษีศุลกากรและการยกเลิกมาตรการที่มิใช่ภาษีศุลกากร และการเปิดเสรีตลาดการค้าบริการระหว่างประเทศ อันเป็นผลจากการเจรจารอบอุรุกวัย นอกจากนี้ กฎระเบียบการค้าที่ได้รับการปรับปรุงให้ชัดเจนรัดกุมและเป็นธรรมมากขึ้น เช่น กระบวนการระงับข้อพิพาททางการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งสามารถใช้บังคับได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ประเทศสมาชิกที่พัฒนาแล้วไม่สามารถใช้อำนาจทางเศรษฐกิจบีบบังคับประเทศเล็ก ๆ ได้ตามใจชอบเช่นที่ผ่านมา
(ที่มา : กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์)
--วารสาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 21/2543 วันที่ 15 พฤศจิกายน 2543--
-อน-