ประเทศต่าง ๆ ในกลุ่มสหภาพยุโรป (The European Union : EU) มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสูงไม่แพ้ประเทศใดในโลก แต่ปรากฏว่าการใช้เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตในกลุ่ม EU ยังอยู่ในระดับต่ำ ดังจะเห็นได้จาก ในปัจจุบันจำนวนครัวเรือนในกลุ่ม EU ที่ติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกับระบบอินเตอร์เน็ตมีเพียงไม่ถึง 25% ของจำนวนครัวเรือนทั้งหมด เทียบกับในสหรัฐฯ ที่มีการติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อกับระบบอินเตอร์เน็ตสูงถึง 50% ของจำนวนครัวเรือนทั้งหมด ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การใช้ระบบอินเตอร์เน็ตของครัวเรือนในกลุ่ม EU ไม่แพร่หลายเท่าที่ควร คือ อัตราค่าธรรมเนียมการใช้อินเตอร์เน็ตในกลุ่ม EU ที่แพงกว่าสหรัฐฯ มาก
เพื่อให้การใช้อินเตอร์เน็ตและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) ในกลุ่ม EU ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น อันจะเอื้อต่อการทำธุรกรรมต่าง ๆ ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการจ้างงานในระยะยาว จึงได้มีการจัดทำแผนแม่บทการใช้เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตของกลุ่ม EU ในศตวรรษที่ 21 ขึ้น หรือที่เรียกว่าแผนปฏิบัติการสู่อี-ยุโรป (e-Europe Action Plan) แผนปฏิบัติการฉบับนี้ถูกบรรจุไว้ในการประชุมสุดยอดของบรรดาผู้นำกลุ่ม EU ที่กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส ระหว่างวันที่ 23-24 มีนาคม 2543 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่มีความเร็วสูงและสามารถเชื่อมต่อกันได้ด้วยต้นทุนต่ำ อันเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับมาตรการปฏิรูปเศรษฐกิจ EU แนวใหม่ ซึ่งมีเป้าหมายให้เศรษฐกิจของกลุ่ม EU สามารถแข่งขันได้ดีที่สุดและแข็งแกร่งที่สุดในโลกภายในปี 2553 และเน้นให้มีการสร้างงานขึ้นอย่างน้อย 20 ล้านตำแหน่ง ภายในระยะเวลา 10 ปี รวมทั้งรักษาระดับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่ม EU ให้อยู่ในระดับเฉลี่ยราว 3% ต่อปี
สำหรับแผนแม่บทการใช้เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตของกลุ่ม EU มีรายละเอียดและกรอบเวลาในการดำเนินงาน สรุปได้ดังนี้
ภายในปี 2543 ประเทศสมาชิกกลุ่ม EU ต้องร่วมกันรับรองกฎหมายพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของกลุ่ม EU
ภายในปี 2544 ระบบคอมพิวเตอร์ของโรงเรียนทุกแห่งในกลุ่ม EU ต้องต่อเชื่อมกับระบบอินเตอร์เน็ตได้
ภายในปี 2545 ท สมาชิกกลุ่ม EU ทุกประเทศ ต้องดำเนินการเปิดเสรีตลาดโทรคมนาคมอย่างเต็มที่
- ครู-อาจารย์ทุกคนต้องได้รับการอบรมและมีความชำนาญในการใช้อินเตอร์เน็ต
- จัดทำเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ความเร็วสูงทั่วทั้งยุโรปให้สามารถเชื่อมต่อกับศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัย และห้องสมุดต่าง ๆได้ ภายในปี 2546 บริการสาธารณะต่าง ๆ ที่จำเป็น ต้องต่อเชื่อมผ่านระบบอินเตอร์เน็ตได้
หากประเทศสมาชิกกลุ่ม EU สามารถพัฒนาระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ให้มีคุณภาพสูงขึ้น เพื่อรองรับปริมาณการใช้งานที่เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งพัฒนาคุณภาพของประชากรในกลุ่ม EU ให้มีความรู้และความสามารถในการใช้งานระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ได้ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ ย่อมจะส่งผลดีต่อการขยายตัวและการเพิ่มความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของกลุ่ม EU ในอนาคตอย่างแน่นอน--จบ--
-อน-
เพื่อให้การใช้อินเตอร์เน็ตและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (E-Commerce) ในกลุ่ม EU ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น อันจะเอื้อต่อการทำธุรกรรมต่าง ๆ ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการจ้างงานในระยะยาว จึงได้มีการจัดทำแผนแม่บทการใช้เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตของกลุ่ม EU ในศตวรรษที่ 21 ขึ้น หรือที่เรียกว่าแผนปฏิบัติการสู่อี-ยุโรป (e-Europe Action Plan) แผนปฏิบัติการฉบับนี้ถูกบรรจุไว้ในการประชุมสุดยอดของบรรดาผู้นำกลุ่ม EU ที่กรุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส ระหว่างวันที่ 23-24 มีนาคม 2543 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่มีความเร็วสูงและสามารถเชื่อมต่อกันได้ด้วยต้นทุนต่ำ อันเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับมาตรการปฏิรูปเศรษฐกิจ EU แนวใหม่ ซึ่งมีเป้าหมายให้เศรษฐกิจของกลุ่ม EU สามารถแข่งขันได้ดีที่สุดและแข็งแกร่งที่สุดในโลกภายในปี 2553 และเน้นให้มีการสร้างงานขึ้นอย่างน้อย 20 ล้านตำแหน่ง ภายในระยะเวลา 10 ปี รวมทั้งรักษาระดับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่ม EU ให้อยู่ในระดับเฉลี่ยราว 3% ต่อปี
สำหรับแผนแม่บทการใช้เทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตของกลุ่ม EU มีรายละเอียดและกรอบเวลาในการดำเนินงาน สรุปได้ดังนี้
ภายในปี 2543 ประเทศสมาชิกกลุ่ม EU ต้องร่วมกันรับรองกฎหมายพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของกลุ่ม EU
ภายในปี 2544 ระบบคอมพิวเตอร์ของโรงเรียนทุกแห่งในกลุ่ม EU ต้องต่อเชื่อมกับระบบอินเตอร์เน็ตได้
ภายในปี 2545 ท สมาชิกกลุ่ม EU ทุกประเทศ ต้องดำเนินการเปิดเสรีตลาดโทรคมนาคมอย่างเต็มที่
- ครู-อาจารย์ทุกคนต้องได้รับการอบรมและมีความชำนาญในการใช้อินเตอร์เน็ต
- จัดทำเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ความเร็วสูงทั่วทั้งยุโรปให้สามารถเชื่อมต่อกับศูนย์วิจัย มหาวิทยาลัย และห้องสมุดต่าง ๆได้ ภายในปี 2546 บริการสาธารณะต่าง ๆ ที่จำเป็น ต้องต่อเชื่อมผ่านระบบอินเตอร์เน็ตได้
หากประเทศสมาชิกกลุ่ม EU สามารถพัฒนาระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตและพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ให้มีคุณภาพสูงขึ้น เพื่อรองรับปริมาณการใช้งานที่เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งพัฒนาคุณภาพของประชากรในกลุ่ม EU ให้มีความรู้และความสามารถในการใช้งานระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ได้ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ ย่อมจะส่งผลดีต่อการขยายตัวและการเพิ่มความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของกลุ่ม EU ในอนาคตอย่างแน่นอน--จบ--
-อน-