ฐานะการคลัง
ฐานะการคลังในไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณขาดดุลเงินสด 18.2 พันล้านบาท ทำให้เมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2543 ขาดดุลเงินสดทั้งสิ้น 110.3 พันล้านบาท รายได้นำส่งคลังทั้งปีขยายตัวขึ้น เนื่องจากการขยายตัวของภาษีจากการนำเข้า ภาษี มูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้นิติบุคคล แต่ต่ำกว่าเป้าหมายเล็กน้อย เนื่องจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจัดเก็บได้ต่ำ ประกอบกับมีรัฐวิสาหกิจบางแห่งเลื่อนการนำส่งรายได้ไปในปีงบประมาณหน้า รายจ่ายเมื่อสิ้นปีงบประมาณใกล้เคียงกับเป้าหมาย จากการเร่งตัวของการเบิกจ่ายจากงบประมาณปีปัจจุบัน โดยมีอัตราเบิกจ่ายรวมร้อยละ 88 ในไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ 2543 (กรกฎาคม — กันยายน 2543) รัฐบาลขาดดุลเงินสดรวม 18.2 พันล้านบาท แบ่งเป็นการขาดดุลในงบประมาณ 24.4 พันล้านบาท ส่วนเงินนอก งบประมาณเกินดุล 6.2 พันล้านบาท ในจำนวนนี้ มีรายจ่ายตามโครงการกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐ (โครงการเงินกู้มิยาซาวา) ที่เบิกจ่ายได้ 2.3 พัน
ล้านบาทตลอดปีงบประมาณ 2543 (ตุลาคม 2542 — กันยายน 2543) รัฐบาลขาดดุลเงินสดทั้งสิ้น 110.3 พันล้านบาท รวมรายจ่ายโครงการเงินกู้ มิยาซาวา ที่เบิกจ่ายได้ 16.9 พันล้านบาท ทำให้เมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2543 แรงกระตุ้นจากขาดดุลเงินสดของรัฐบาลเป็นไปตามเป้าหมาย
รายได้
ในไตรมาสที่ 4 (ก.ค.-ก.ย.) ของปีงบประมาณ 2543 รายได้นำส่งคลังมีจำนวน 192.2 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 7.7 จากระยะเดียวกันปีก่อน เนื่องจากภาษีเงินได้นิติบุคคลปรับสูงขึ้นมาก ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเลื่อนนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับงวดครึ่งปีประจำปี 2542 มานำส่งในเดือนกุมภาพันธ์ ส่งผลให้มีฐานภาษีต่ำ กอปรกับภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีจากการนำเข้ายังมีการขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ 12.9 และ 12.3 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ภาษีสรรพสามิตลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 7.3 ที่สำคัญคือภาษีสุรา จัดเก็บได้ลดลง ทั้งนี้ เนื่องจากได้มีการสต็อกไว้จำนวนมากก่อนที่จะถูกจัดเก็บ โดยระบบใหม่ที่จะเสียเป็นรายขวด
ตลอดปีงบประมาณ 2543 รายได้ นำส่งคลังมีจำนวน 748.1 พันล้านบาท ขยายตัว ร้อยละ 5.4 จากระยะเดียวกันปีก่อน เนื่องจาก มีการขยายตัวของภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีจาก การนำเข้าสินค้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม (แม้ว่ามีการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 7 ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2542) อย่างไรก็ดี ภาษีที่ปรับลดลงได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีสรรพสามิต สำหรับรายละเอียดของรายได้ภาษีแต่ละประเภทที่สำคัญมีดังนี้
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลดลงถึงร้อยละ 14.1 เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลดลงต่ำมาก และมาตรการที่ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคล
ธรรมดาสำหรับเงินได้สุทธิในช่วง 50,000 บาทแรก ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2542
ภาษีเงินได้นิติบุคคลปรับตัวสูงขึ้นถึงร้อยละ 34.2 ทั้งนี้ เนื่องจากมีการเลื่อนการชำระภาษีกลางปี สำหรับปี 2542 มานำส่งในเดือนกุมภาพันธ์ จำนวน 17.8 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม หลังจากหักส่วนเลื่อนการนำส่งดังกล่าวแล้ว ภาษีเงินได้นิติบุคคลยังปรับสูงขึ้นจากปีก่อน ร้อยละ 14.4 โดยจัดเก็บได้จากบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์เป็นสำคัญ
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (แม้ว่าจะมีการปรับลดอัตราการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากร้อยละ 10 เป็น ร้อยละ 7 นับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2542) และอากรขาเข้าปรับตัวสูงขึ้นตามการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการนำเข้าสินค้า โดยปรับสูงขึ้นร้อยละ 5.9 และ 25.9 ตามลำดับ
ภาษีสรรพสามิตปรับลดลงเล็กน้อย ร้อยละ 0.5 โดยการจัดเก็บภาษีจากสุราลดลงมาก เนื่องจากมีการสต็อกสุราไว้จำนวนมากก่อนที่จะถูก จัดเก็บโดยระบบใหม่ที่จะเสียเป็นรายขวด อย่างไร ก็ตาม ภาษีจากเบียร์เพิ่มขึ้นซึ่งมาชดเชยภาษีเหล้า ที่ลดลงมากดังกล่าว
รายได้ที่มิใช่ภาษีอากรลดลงร้อยละ 3.8 เนื่องจากรายได้นำส่งของรัฐวิสาหกิจลดลง เพราะมี รัฐวิสาหกิจบางแห่ง ได้แก่ การประปานครหลวง และการสื่อสารแห่งประเทศไทยขอเลื่อนไปนำส่งไปในปี งบประมาณหน้า
รายจ่าย
รายจ่ายของรัฐบาลในไตรมาสที่ 4 ของปีงบประมาณมีทั้งสิ้น 216.6 พันล้านบาท จำแนกเป็นรายจ่ายจากปีงบประมาณปีปัจจุบันและ ปีก่อนๆ 205.6 และ 11.0 พันล้านบาท ตามลำดับ ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ ก่อนแล้ว รายจ่ายรวมเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.5
สำหรับรายจ่ายจากมาตรการเพิ่ม ค่าใช้จ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (โครงการเงินกู้มิยาซาวา) เริ่มทยอยเบิกจ่ายลดลงเนื่องจากเป็น
ช่วงท้ายของโครงการ ทั้งนี้ ในไตรมาสที่ 4 มี การเบิกจ่ายได้ 2.3 พันล้านบาท ทำให้ตลอดปี งบประมาณเบิกจ่ายได้ทั้งสิ้น 16.9 พันล้านบาท อนึ่ง ตั้งแต่เริ่มโครงการเบิกจ่ายได้ ทั้งสิ้น 50.2 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 92.3 ของวงเงิน ส่วนวงเงิน ที่เหลือได้อนุมัติให้ขยายการเบิกจ่ายจนถึงเดือนมีนาคม 2544
การเบิกจ่ายทั้งปีงบประมาณมีทั้งสิ้น 850.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 3.5
เป็นผลจากการเร่งตัวของการเบิกจ่ายจากงบประมาณปีปัจจุบันที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 โดยมีอัตราเบิกจ่าย ร้อยละ 88.0 ขณะที่รายจ่ายจากงบประมาณปีก่อน ลดลงร้อยละ 22.2 จากการที่วงเงินงบประมาณปีก่อนๆ เหลือจ่ายน้อยลง
สำหรับรายจ่ายจำแนกตามลักษณะเศรษฐกิจในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2543ปรากฏว่ารายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 9.5 เทียบกับ ระยะเดียวกันปีก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.7 โดยเฉพาะรายจ่ายเงินเดือนและค่าจ้าง และการซื้อสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 2.1 และ 5.2 ตามลำดับ แสดงถึงการควบคุมรายจ่ายประจำที่มีประสิทธิภาพของรัฐบาล ส่วนรายจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.5 ขณะที่รายจ่ายลงทุนลดลงร้อยละ 9.3 เนื่องจากการ
เบิกจ่ายจากงบประมาณปีก่อนๆ ลดลงตามขนาด ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายที่ถูกควบคุมในช่วงปี 2541 และ 2542 ทำให้เหลือวงเงินรายจ่ายลงทุนจาก ปีก่อนลดลง
รายจ่ายจำแนกตามลักษณะงาน มีลักษณะใกล้เคียงกับปีงบประมาณก่อน ทั้งนี้ พบว่ารายจ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ ยังคงขยายตัวร้อยละ 16.6 ต่อเนื่องจากงบประมาณก่อนเนื่องจากมีรายจ่ายดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลที่ออกเพื่อแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน 32.3 พันล้านบาท ในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ นอกจากนี้ มีข้อน่าสังเกตว่าการใช้จ่ายของรัฐบาลด้านสังคมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยรายจ่ายการสังคมสงเคราะห์และการศึกษาเพิ่มขึ้น ร้อยละ 33.3 และ 1.7 ต่อเนื่องจากปีก่อน
การรับจ่ายเงินกู้
ในไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ 2543 รัฐบาลมีการกู้ยืมในประเทศสุทธิ 47.6 พันล้านบาท ในจำนวนนี้ ตั๋วเงินคลังเพิ่มขึ้นสุทธิ 42.9 พันล้านบาท มีการออกพันธบัตรออมทรัพย์ 20 พันล้านบาท และไถ่ถอนตั๋วสัญญาใช้เงิน 15.0 พันล้านบาท มีการเบิกเงินกู้ต่างประเทศ 8.4 พันล้านบาท และชำระคืนเงินกู้ต่างประเทศ 2.6 พันล้านบาท ส่วน เงินคงคลังเพิ่มขึ้น 35.2 พันล้านบาท อนึ่ง รัฐบาล มีการ Refinance พันธบัตรเพื่อกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ 19.8 พันล้านบาท และออกพันธบัตรเพิ่มทุนสถาบันการเงิน (Tier 2) สำหรับบริษัทเงินทุนธนชาติและบริษัทเงินทุนเอกชาติ เป็นจำนวนรวม 0.1 พันล้านบาท
เมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2543 รัฐบาลมี การกู้ยืมในประเทศสุทธิ 82 พันล้านบาท โดยมีการออก พันธบัตรออมทรัพย์และตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อชดเชย การขาดดุลเงินสดจำนวน 40 และ 20 พันล้านบาทตามลำดับ ส่วนตั๋วเงินคลังเพิ่มขึ้นสุทธิ 47.9 พันล้านบาท สำหรับการกู้ยืมจากต่างประเทศมีจำนวนสุทธิ 26.3 พันล้านบาท เป็นการเบิกเงินกู้ต่างประเทศ 33.1 พันล้านบาท และชำระคืนต้นเงินกู้ 6.8 พันล้านบาท อนึ่ง ในปีงบประมาณนี้มีการออกพันธบัตร Tier 1 และ Tier 2 จำนวน 25.8 และ 5.6 พันล้านบาท ตามลำดับ โดยมีการไถ่ถอนพันธบัตร Tier 1 จำนวน 0.5 พันล้านบาท
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-สส-
ฐานะการคลังในไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณขาดดุลเงินสด 18.2 พันล้านบาท ทำให้เมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2543 ขาดดุลเงินสดทั้งสิ้น 110.3 พันล้านบาท รายได้นำส่งคลังทั้งปีขยายตัวขึ้น เนื่องจากการขยายตัวของภาษีจากการนำเข้า ภาษี มูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้นิติบุคคล แต่ต่ำกว่าเป้าหมายเล็กน้อย เนื่องจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจัดเก็บได้ต่ำ ประกอบกับมีรัฐวิสาหกิจบางแห่งเลื่อนการนำส่งรายได้ไปในปีงบประมาณหน้า รายจ่ายเมื่อสิ้นปีงบประมาณใกล้เคียงกับเป้าหมาย จากการเร่งตัวของการเบิกจ่ายจากงบประมาณปีปัจจุบัน โดยมีอัตราเบิกจ่ายรวมร้อยละ 88 ในไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ 2543 (กรกฎาคม — กันยายน 2543) รัฐบาลขาดดุลเงินสดรวม 18.2 พันล้านบาท แบ่งเป็นการขาดดุลในงบประมาณ 24.4 พันล้านบาท ส่วนเงินนอก งบประมาณเกินดุล 6.2 พันล้านบาท ในจำนวนนี้ มีรายจ่ายตามโครงการกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐ (โครงการเงินกู้มิยาซาวา) ที่เบิกจ่ายได้ 2.3 พัน
ล้านบาทตลอดปีงบประมาณ 2543 (ตุลาคม 2542 — กันยายน 2543) รัฐบาลขาดดุลเงินสดทั้งสิ้น 110.3 พันล้านบาท รวมรายจ่ายโครงการเงินกู้ มิยาซาวา ที่เบิกจ่ายได้ 16.9 พันล้านบาท ทำให้เมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2543 แรงกระตุ้นจากขาดดุลเงินสดของรัฐบาลเป็นไปตามเป้าหมาย
รายได้
ในไตรมาสที่ 4 (ก.ค.-ก.ย.) ของปีงบประมาณ 2543 รายได้นำส่งคลังมีจำนวน 192.2 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 7.7 จากระยะเดียวกันปีก่อน เนื่องจากภาษีเงินได้นิติบุคคลปรับสูงขึ้นมาก ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเลื่อนนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับงวดครึ่งปีประจำปี 2542 มานำส่งในเดือนกุมภาพันธ์ ส่งผลให้มีฐานภาษีต่ำ กอปรกับภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีจากการนำเข้ายังมีการขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ 12.9 และ 12.3 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ภาษีสรรพสามิตลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 7.3 ที่สำคัญคือภาษีสุรา จัดเก็บได้ลดลง ทั้งนี้ เนื่องจากได้มีการสต็อกไว้จำนวนมากก่อนที่จะถูกจัดเก็บ โดยระบบใหม่ที่จะเสียเป็นรายขวด
ตลอดปีงบประมาณ 2543 รายได้ นำส่งคลังมีจำนวน 748.1 พันล้านบาท ขยายตัว ร้อยละ 5.4 จากระยะเดียวกันปีก่อน เนื่องจาก มีการขยายตัวของภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีจาก การนำเข้าสินค้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม (แม้ว่ามีการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 7 ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2542) อย่างไรก็ดี ภาษีที่ปรับลดลงได้แก่ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีสรรพสามิต สำหรับรายละเอียดของรายได้ภาษีแต่ละประเภทที่สำคัญมีดังนี้
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาลดลงถึงร้อยละ 14.1 เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากลดลงต่ำมาก และมาตรการที่ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคล
ธรรมดาสำหรับเงินได้สุทธิในช่วง 50,000 บาทแรก ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2542
ภาษีเงินได้นิติบุคคลปรับตัวสูงขึ้นถึงร้อยละ 34.2 ทั้งนี้ เนื่องจากมีการเลื่อนการชำระภาษีกลางปี สำหรับปี 2542 มานำส่งในเดือนกุมภาพันธ์ จำนวน 17.8 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม หลังจากหักส่วนเลื่อนการนำส่งดังกล่าวแล้ว ภาษีเงินได้นิติบุคคลยังปรับสูงขึ้นจากปีก่อน ร้อยละ 14.4 โดยจัดเก็บได้จากบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์เป็นสำคัญ
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (แม้ว่าจะมีการปรับลดอัตราการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากร้อยละ 10 เป็น ร้อยละ 7 นับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2542) และอากรขาเข้าปรับตัวสูงขึ้นตามการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการนำเข้าสินค้า โดยปรับสูงขึ้นร้อยละ 5.9 และ 25.9 ตามลำดับ
ภาษีสรรพสามิตปรับลดลงเล็กน้อย ร้อยละ 0.5 โดยการจัดเก็บภาษีจากสุราลดลงมาก เนื่องจากมีการสต็อกสุราไว้จำนวนมากก่อนที่จะถูก จัดเก็บโดยระบบใหม่ที่จะเสียเป็นรายขวด อย่างไร ก็ตาม ภาษีจากเบียร์เพิ่มขึ้นซึ่งมาชดเชยภาษีเหล้า ที่ลดลงมากดังกล่าว
รายได้ที่มิใช่ภาษีอากรลดลงร้อยละ 3.8 เนื่องจากรายได้นำส่งของรัฐวิสาหกิจลดลง เพราะมี รัฐวิสาหกิจบางแห่ง ได้แก่ การประปานครหลวง และการสื่อสารแห่งประเทศไทยขอเลื่อนไปนำส่งไปในปี งบประมาณหน้า
รายจ่าย
รายจ่ายของรัฐบาลในไตรมาสที่ 4 ของปีงบประมาณมีทั้งสิ้น 216.6 พันล้านบาท จำแนกเป็นรายจ่ายจากปีงบประมาณปีปัจจุบันและ ปีก่อนๆ 205.6 และ 11.0 พันล้านบาท ตามลำดับ ทั้งนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ ก่อนแล้ว รายจ่ายรวมเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.5
สำหรับรายจ่ายจากมาตรการเพิ่ม ค่าใช้จ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (โครงการเงินกู้มิยาซาวา) เริ่มทยอยเบิกจ่ายลดลงเนื่องจากเป็น
ช่วงท้ายของโครงการ ทั้งนี้ ในไตรมาสที่ 4 มี การเบิกจ่ายได้ 2.3 พันล้านบาท ทำให้ตลอดปี งบประมาณเบิกจ่ายได้ทั้งสิ้น 16.9 พันล้านบาท อนึ่ง ตั้งแต่เริ่มโครงการเบิกจ่ายได้ ทั้งสิ้น 50.2 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 92.3 ของวงเงิน ส่วนวงเงิน ที่เหลือได้อนุมัติให้ขยายการเบิกจ่ายจนถึงเดือนมีนาคม 2544
การเบิกจ่ายทั้งปีงบประมาณมีทั้งสิ้น 850.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 3.5
เป็นผลจากการเร่งตัวของการเบิกจ่ายจากงบประมาณปีปัจจุบันที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 โดยมีอัตราเบิกจ่าย ร้อยละ 88.0 ขณะที่รายจ่ายจากงบประมาณปีก่อน ลดลงร้อยละ 22.2 จากการที่วงเงินงบประมาณปีก่อนๆ เหลือจ่ายน้อยลง
สำหรับรายจ่ายจำแนกตามลักษณะเศรษฐกิจในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2543ปรากฏว่ารายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 9.5 เทียบกับ ระยะเดียวกันปีก่อนที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.7 โดยเฉพาะรายจ่ายเงินเดือนและค่าจ้าง และการซื้อสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 2.1 และ 5.2 ตามลำดับ แสดงถึงการควบคุมรายจ่ายประจำที่มีประสิทธิภาพของรัฐบาล ส่วนรายจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.5 ขณะที่รายจ่ายลงทุนลดลงร้อยละ 9.3 เนื่องจากการ
เบิกจ่ายจากงบประมาณปีก่อนๆ ลดลงตามขนาด ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายที่ถูกควบคุมในช่วงปี 2541 และ 2542 ทำให้เหลือวงเงินรายจ่ายลงทุนจาก ปีก่อนลดลง
รายจ่ายจำแนกตามลักษณะงาน มีลักษณะใกล้เคียงกับปีงบประมาณก่อน ทั้งนี้ พบว่ารายจ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ ยังคงขยายตัวร้อยละ 16.6 ต่อเนื่องจากงบประมาณก่อนเนื่องจากมีรายจ่ายดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลที่ออกเพื่อแก้ไขปัญหาสถาบันการเงิน 32.3 พันล้านบาท ในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณ นอกจากนี้ มีข้อน่าสังเกตว่าการใช้จ่ายของรัฐบาลด้านสังคมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยรายจ่ายการสังคมสงเคราะห์และการศึกษาเพิ่มขึ้น ร้อยละ 33.3 และ 1.7 ต่อเนื่องจากปีก่อน
การรับจ่ายเงินกู้
ในไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ 2543 รัฐบาลมีการกู้ยืมในประเทศสุทธิ 47.6 พันล้านบาท ในจำนวนนี้ ตั๋วเงินคลังเพิ่มขึ้นสุทธิ 42.9 พันล้านบาท มีการออกพันธบัตรออมทรัพย์ 20 พันล้านบาท และไถ่ถอนตั๋วสัญญาใช้เงิน 15.0 พันล้านบาท มีการเบิกเงินกู้ต่างประเทศ 8.4 พันล้านบาท และชำระคืนเงินกู้ต่างประเทศ 2.6 พันล้านบาท ส่วน เงินคงคลังเพิ่มขึ้น 35.2 พันล้านบาท อนึ่ง รัฐบาล มีการ Refinance พันธบัตรเพื่อกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ 19.8 พันล้านบาท และออกพันธบัตรเพิ่มทุนสถาบันการเงิน (Tier 2) สำหรับบริษัทเงินทุนธนชาติและบริษัทเงินทุนเอกชาติ เป็นจำนวนรวม 0.1 พันล้านบาท
เมื่อสิ้นปีงบประมาณ 2543 รัฐบาลมี การกู้ยืมในประเทศสุทธิ 82 พันล้านบาท โดยมีการออก พันธบัตรออมทรัพย์และตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อชดเชย การขาดดุลเงินสดจำนวน 40 และ 20 พันล้านบาทตามลำดับ ส่วนตั๋วเงินคลังเพิ่มขึ้นสุทธิ 47.9 พันล้านบาท สำหรับการกู้ยืมจากต่างประเทศมีจำนวนสุทธิ 26.3 พันล้านบาท เป็นการเบิกเงินกู้ต่างประเทศ 33.1 พันล้านบาท และชำระคืนต้นเงินกู้ 6.8 พันล้านบาท อนึ่ง ในปีงบประมาณนี้มีการออกพันธบัตร Tier 1 และ Tier 2 จำนวน 25.8 และ 5.6 พันล้านบาท ตามลำดับ โดยมีการไถ่ถอนพันธบัตร Tier 1 จำนวน 0.5 พันล้านบาท
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-สส-