กรุงเทพฯ--1 พ.ย.--กระทรวงการต่างประเทศ
นายรัฐกิจ มานะทัต อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า H.H. Shaikh Khalifa Bin Salman Al-Khalifa นายก- รัฐมนตรีบาห์เรนจะเสด็จฯเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายก- รัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 1-3 พฤศจิกายน 2544 ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีบาห์เรนและคณะ ซึ่งประกอบด้วยรัฐมนตรีที่สำคัญ 4 คน ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีกิจการคณะรัฐมนตรี รัฐมนตรีน้ำมัน และรัฐมนตรีคลังและเศรษฐกิจ และคณะทางการและคณะผู้ติดตาม ตลอดจนคณะ สื่อมวลชน รวมทั้งสิ้น 58 คน จะเดินทางถึงกรุงเทพฯ ที่ท่าอากาศยานกองทัพอากาศ ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2544 เวลา 17.00 น. โดยจะมี ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้แทนรัฐบาลไทยในการถวายการต้อนรับ
ในการเสด็จเยือนครั้งนี้ H.H. Shaikh Khalifa จะเข้าพบหารือข้อราชการกับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2544 ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรี ทั้งสองจะได้หารือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทวิภาคี การขยายการค้า การลงทุน และแรงงานไทยซึ่ง บาห์เรนเป็นประเทศหนึ่งในภูมิภาคตะวันออกกลางที่มีกฎระเบียบที่อำนวยความสะดวกให้แก่ นักลงทุนต่างชาติ และมีระบบสาธารณูปโภคที่ทันสมัย และขณะนี้บาห์เรนมีโครงการก่อสร้างต่าง ๆ หลายโครงการ โดยเฉพาะโครงการพัฒนาเมือง อุตสาหกรรม และท่าเรือน้ำลึก Hidd ตลอดจนการ ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและสนามบินและสะพานเชื่อมบาห์เรนและกาตาร์ และเมื่อสร้างเสร็จสมบูรณ์จะทำให้บาห์เรนเป็นศูนย์ท่าเรือและขนส่งสินค้าที่สำคัญในภูมิภาคอ่าว จึงน่าจะเป็นโอกาสดีสำหรับภาคเอกชนไทยด้านการก่อสร้างที่จะเข้าไปร่วมลงทุนในโครงการเหล่านี้ สำหรับในด้านการค้า คาดว่า มูลค่าการค้าระหว่างไทย-บาห์เรน ในปี 2544 จะอยู่ในระดับเดียวกับปีที่ผ่านมา คือประมาณ 85 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยสินค้าออกที่สำคัญของไทยไปบาห์เรน ได้แก่ เครื่องปรับอากาศและ ส่วนประกอบ เสื้อผ้าสำเร็จรูป ผ้าผืน ยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ตู้เย็น ตู้แช่แข็งและ ส่วนประกอบ สินค้าเข้าจากบาห์เรนที่สำคัญ ได้แก่ สินแร่โลหะ เศษโลหะ น้ำมันหล่อลื่นและน้ำมัน เบรค เคมีภัณฑ์ ปุ๋ย และกระดาษ
นอกจากนั้น นายกรัฐมนตรีของทั้งสองประเทศจะได้หารือเกี่ยวกับความสัมพันธ์และสถานการณ์ระหว่างประเทศที่กระทบต่อภูมิภาคทั้งสอง นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีบาห์เรนจะร่วมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทยเป็นประธานในพิธีลงนามความตกลงระหว่างไทย-บาห์เรน 2 ฉบับ อันได้แก่ ความตกลง ว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าและวิชาการ (Agreement on Economic Trade and Technical Cooperation) และความตกลงเพื่อการยกเว้นการเก็บภาษีซ้อน (Agreement on Avoidance of Double Taxation and the Prevention of Fiscal Evasion with Respect to Taxes on Income) ซึ่งพิธีกำหนดจะมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2544 ที่ทำเนียบรัฐบาล
ในระหว่างการเยือนครั้งนี้ H.H. Shaikh Mohammed bin Mubarak Al-Khalifa รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศบาห์เรนจะได้เข้าเยี่ยมคารวะ ดร. สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในวันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2544 เวลา 9.30 น. ที่กระทรวงการต่างประเทศ โดยจะหารือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทวิภาคี การส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างกัน และโอกาสแรงงานไทยในบาห์เรน ประเทศไทยกับบาห์เรนได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2520 โดยรัฐบาลไทยให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงริยาดมีเขตอาณาคลุมถึงบาห์เรนด้วย แต่ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2532 ให้บาห์เรนอยู่ใต้เขตอาณาของสถานเอกอัครราชทูต ณ คูเวต
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7E-mail : div0704@mfa.go.th-- จบ--
-สส-
นายรัฐกิจ มานะทัต อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า H.H. Shaikh Khalifa Bin Salman Al-Khalifa นายก- รัฐมนตรีบาห์เรนจะเสด็จฯเยือนไทยอย่างเป็นทางการ ตามคำเชิญของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายก- รัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 1-3 พฤศจิกายน 2544 ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีบาห์เรนและคณะ ซึ่งประกอบด้วยรัฐมนตรีที่สำคัญ 4 คน ได้แก่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีกิจการคณะรัฐมนตรี รัฐมนตรีน้ำมัน และรัฐมนตรีคลังและเศรษฐกิจ และคณะทางการและคณะผู้ติดตาม ตลอดจนคณะ สื่อมวลชน รวมทั้งสิ้น 58 คน จะเดินทางถึงกรุงเทพฯ ที่ท่าอากาศยานกองทัพอากาศ ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2544 เวลา 17.00 น. โดยจะมี ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้แทนรัฐบาลไทยในการถวายการต้อนรับ
ในการเสด็จเยือนครั้งนี้ H.H. Shaikh Khalifa จะเข้าพบหารือข้อราชการกับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2544 ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรี ทั้งสองจะได้หารือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทวิภาคี การขยายการค้า การลงทุน และแรงงานไทยซึ่ง บาห์เรนเป็นประเทศหนึ่งในภูมิภาคตะวันออกกลางที่มีกฎระเบียบที่อำนวยความสะดวกให้แก่ นักลงทุนต่างชาติ และมีระบบสาธารณูปโภคที่ทันสมัย และขณะนี้บาห์เรนมีโครงการก่อสร้างต่าง ๆ หลายโครงการ โดยเฉพาะโครงการพัฒนาเมือง อุตสาหกรรม และท่าเรือน้ำลึก Hidd ตลอดจนการ ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและสนามบินและสะพานเชื่อมบาห์เรนและกาตาร์ และเมื่อสร้างเสร็จสมบูรณ์จะทำให้บาห์เรนเป็นศูนย์ท่าเรือและขนส่งสินค้าที่สำคัญในภูมิภาคอ่าว จึงน่าจะเป็นโอกาสดีสำหรับภาคเอกชนไทยด้านการก่อสร้างที่จะเข้าไปร่วมลงทุนในโครงการเหล่านี้ สำหรับในด้านการค้า คาดว่า มูลค่าการค้าระหว่างไทย-บาห์เรน ในปี 2544 จะอยู่ในระดับเดียวกับปีที่ผ่านมา คือประมาณ 85 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยสินค้าออกที่สำคัญของไทยไปบาห์เรน ได้แก่ เครื่องปรับอากาศและ ส่วนประกอบ เสื้อผ้าสำเร็จรูป ผ้าผืน ยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ตู้เย็น ตู้แช่แข็งและ ส่วนประกอบ สินค้าเข้าจากบาห์เรนที่สำคัญ ได้แก่ สินแร่โลหะ เศษโลหะ น้ำมันหล่อลื่นและน้ำมัน เบรค เคมีภัณฑ์ ปุ๋ย และกระดาษ
นอกจากนั้น นายกรัฐมนตรีของทั้งสองประเทศจะได้หารือเกี่ยวกับความสัมพันธ์และสถานการณ์ระหว่างประเทศที่กระทบต่อภูมิภาคทั้งสอง นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีบาห์เรนจะร่วมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทยเป็นประธานในพิธีลงนามความตกลงระหว่างไทย-บาห์เรน 2 ฉบับ อันได้แก่ ความตกลง ว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าและวิชาการ (Agreement on Economic Trade and Technical Cooperation) และความตกลงเพื่อการยกเว้นการเก็บภาษีซ้อน (Agreement on Avoidance of Double Taxation and the Prevention of Fiscal Evasion with Respect to Taxes on Income) ซึ่งพิธีกำหนดจะมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2544 ที่ทำเนียบรัฐบาล
ในระหว่างการเยือนครั้งนี้ H.H. Shaikh Mohammed bin Mubarak Al-Khalifa รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศบาห์เรนจะได้เข้าเยี่ยมคารวะ ดร. สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในวันเสาร์ที่ 3 พฤศจิกายน 2544 เวลา 9.30 น. ที่กระทรวงการต่างประเทศ โดยจะหารือเกี่ยวกับความสัมพันธ์ทวิภาคี การส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างกัน และโอกาสแรงงานไทยในบาห์เรน ประเทศไทยกับบาห์เรนได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2520 โดยรัฐบาลไทยให้สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงริยาดมีเขตอาณาคลุมถึงบาห์เรนด้วย แต่ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2532 ให้บาห์เรนอยู่ใต้เขตอาณาของสถานเอกอัครราชทูต ณ คูเวต
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7E-mail : div0704@mfa.go.th-- จบ--
-สส-