1. วันที่ 1 พฤศจิกายน 2543 ธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานภาวะธุรกรรมในตลาดซื้อคืนที่ธปท. และภาวะอัตราดอกเบี้ยเดือนตุลาคม 2543 ที่ผ่านมาว่าปริมาณธุรกรรมในตลาดซื้อคืนพันธบัตรเฉลี่ยประมาณ 4.0 หมื่นล้านบาทต่อวัน ซึ่งกว่าร้อยละ 80 เป็นการซื้อขายประเภทระยะ 1-14 วัน โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของเดือนมีความต้องการซื้อขายประเภทระยะ 1 วันเพิ่ม สูงขึ้น ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเคลื่อนไหวขึ้นลงรวดเร็วกว่าระยะอื่นโดยอยู่ในช่วง 0.7 | 1.875 ต่อปี ขณะที่ประเภทระยะ 7 วันมีธุรกรรมเบาบางกว่า และอยู่ในช่วง 1.125 | 1.5 ต่อปี ส่วนอัตราดอกเบี้ยประเภท 14 วันที่ใช้ส่งสัญญาณนโยบายการเงินยังคงที่ร้อยละ 1.5 ต่อปี เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ตามมติคณะกรรมการนโยบายการเงินครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2543 ที่ผ่านมา
2. วันที่ 6 พฤศจิกายน 2543 ธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานเรื่องการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ณ สิ้นเดือนกันยายน 2543 ต่อคณะกรรมการ รัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ สรุปได้ดังนี้
- ความคืบหน้าในการปรับปรุงโครงสร้าง หนี้ของสถาบันการเงินทั้งระบบที่เป็น NPL สำเร็จ ไปแล้ว 310,027 ราย คิดเป็นมูลหนี้รวม 1,768,777 ล้านบาท
- ความคืบหน้าในการปรับปรุงโครงสร้าง หนี้ของลูกหนี้กลุ่มเป้าหมายของคณะกรรมการเพื่อการส่งเสริมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (คปน.) ณ 31 ตุลาคม 2543 มีลูกหนี้ที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำเร็จ 5,631 ราย มูลหนี้ 1,129,215 ล้านบาท จากลูกหนี้เป้าหมายที่ให้ความร่วมมือเข้าสู่กระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ทั้งสิ้น 7,078 ราย มูลหนี้ 1,588,828 ล้านบาท
- ปัญหาและอุปสรรคในการปรับปรุง โครงสร้างหนี้ สรุปได้เป็น 3 ประการ คือ
(1) ปัญหาเกี่ยวกับความแตกต่างใน คุณภาพของที่ปรึกษาทางการเงิน และการคิดค่าใช้จ่ายบริการที่ค่อนข้างสูง
(2) ปัญหาเกี่ยวกับมาตรฐานการประเมินราคาสินทรัพย์ที่เป็นหลักประกัน ในกรณีที่ต้องใช้ ผู้ประเมินราคาหลายราย
(3) มีปัญหาเกี่ยวกับบุริมสิทธิของหลักประกันและการแบ่งหลักประกันให้เป็นธรรมในระหว่างเจ้าหนี้ ด้วยกัน
- หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของระบบสถาบันการเงิน (ไม่รวมสำนักงานวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์) ณ สิ้นเดือนกันยายน 2543 มียอดคงค้างทั้งสิ้น 1,115.4 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 22.78 ของ สินเชื่อรวม ส่วน NPL คงค้างหลังหักเงินสำรอง เท่ากับ 721.2 พันล้านบาท หรือเท่ากับร้อยละ 16.02 ของสินเชื่อรวม เนื่องจากระบบสถาบันการเงินได้กันเงินสำรองสำหรับ NPL ส่วนที่ไม่มีหลักประกัน รองรับจำนวน 394.2 พันล้านบาท
- สำหรับแนวโน้มและสถานการณ์ NPL ในอนาคต ธนาคารพาณิชย์ไทยเอกชนและของรัฐมีวิธี แก้ไขปัญหา NPL แตกต่างกัน โดยธนาคารเอกชน ดูแลแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง ผ่านกระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ การโอนหนี้เสียไป AMC และการตัดหนี้จัดชั้นสงสัยจะสูญที่กันสำรองครบร้อยละ 100 แล้วออกจากบัญชี โดยขณะนี้ NPL คงค้างลดลงเหลืออยู่ในระดับเพียงร้อยละ 20.11 ของสินเชื่อรวม ส่วนธนาคารรัฐ ทางการเป็นผู้ดูแลโดยตรงในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยในเดือนกันยายน 2543 นี้ ธนาคารกรุงไทยได้โอนหนี้ไป AMC เรียบร้อยแล้ว ทำให้ NPL ของธนาคารรัฐลดลงเหลืออยู่ในระดับร้อยละ 33.09 ของ สินเชื่อรวม ส่วนธนาคารไทยธนาคาร และธนาคาร ศรีนคร ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติแนวทางการชดเชย สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (Yield Maintenance and Gain/Loss Sharing) นั้น เมื่อทำสัญญาเสร็จแล้ว NPL จะทยอยลดลงต่อไป
3. วันที่ 6 พฤศจิกายน 2543 คณะกรรมการ รัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจรับทราบรายงานการฟื้นฟูกิจการตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 ในช่วง 2541 ตุลาคม 2543 ว่ามีกิจการที่เข้าสู่การฟื้นฟูกิจการประมาณ 80,000 ล้านบาท ในปี 2541 และเพิ่มขึ้นเป็น 480,110 และ 1.1 ล้านล้านบาท ในปี 2542 และเดือนตุลาคม 2543 ตามลำดับ โดยมีข้อน่าสังเกตว่ากิจการเกี่ยวกับธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ เข้าใช้กระบวนการฟื้นฟูกิจการมีอัตราส่วนเพิ่มขึ้นในปี 2543 อย่างชัดเจน สำหรับแนวโน้มการใช้กระบวนการฟื้นฟูกิจการตลอดปี 2543 นั้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากด้วยสาเหตุ 3 ประการ คือ (1) การปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้กรอบของสำนักงานส่งเสริม การปรับโครงสร้างหนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย จะ สิ้นสุดกระบวนการตาม เงื่อนเวลาที่ตั้งไว้ในช่วงต้นปี 2543 และจะมีคดีจำนวนหนึ่งที่จะใช้มาตรการฟื้นฟู กิจการนี้สานต่องานปรับโครงสร้างหนี้ (2) จากความสำเร็จในการปรับโครงสร้างหนี้ในช่วงที่ผ่านมา น่าจะ ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายอื่นหันมาใช้มาตรการนี้ มากขึ้น (3) แนวโน้มการฟื้นตัวของสภาพเศรษฐกิจ ทำให้เจ้าหนี้มีความสามารถในการรองรับส่วนสูญเสียมากขึ้น ขณะที่กิจการหลายประเภทเห็นความจำเป็น ในการเร่งรัดการประนอมหนี้เพื่อให้กิจการกลับมา แข่งขันได้
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
2. วันที่ 6 พฤศจิกายน 2543 ธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานเรื่องการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ณ สิ้นเดือนกันยายน 2543 ต่อคณะกรรมการ รัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจ สรุปได้ดังนี้
- ความคืบหน้าในการปรับปรุงโครงสร้าง หนี้ของสถาบันการเงินทั้งระบบที่เป็น NPL สำเร็จ ไปแล้ว 310,027 ราย คิดเป็นมูลหนี้รวม 1,768,777 ล้านบาท
- ความคืบหน้าในการปรับปรุงโครงสร้าง หนี้ของลูกหนี้กลุ่มเป้าหมายของคณะกรรมการเพื่อการส่งเสริมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (คปน.) ณ 31 ตุลาคม 2543 มีลูกหนี้ที่ปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำเร็จ 5,631 ราย มูลหนี้ 1,129,215 ล้านบาท จากลูกหนี้เป้าหมายที่ให้ความร่วมมือเข้าสู่กระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ทั้งสิ้น 7,078 ราย มูลหนี้ 1,588,828 ล้านบาท
- ปัญหาและอุปสรรคในการปรับปรุง โครงสร้างหนี้ สรุปได้เป็น 3 ประการ คือ
(1) ปัญหาเกี่ยวกับความแตกต่างใน คุณภาพของที่ปรึกษาทางการเงิน และการคิดค่าใช้จ่ายบริการที่ค่อนข้างสูง
(2) ปัญหาเกี่ยวกับมาตรฐานการประเมินราคาสินทรัพย์ที่เป็นหลักประกัน ในกรณีที่ต้องใช้ ผู้ประเมินราคาหลายราย
(3) มีปัญหาเกี่ยวกับบุริมสิทธิของหลักประกันและการแบ่งหลักประกันให้เป็นธรรมในระหว่างเจ้าหนี้ ด้วยกัน
- หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของระบบสถาบันการเงิน (ไม่รวมสำนักงานวิเทศธนกิจของธนาคารต่างประเทศและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์) ณ สิ้นเดือนกันยายน 2543 มียอดคงค้างทั้งสิ้น 1,115.4 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 22.78 ของ สินเชื่อรวม ส่วน NPL คงค้างหลังหักเงินสำรอง เท่ากับ 721.2 พันล้านบาท หรือเท่ากับร้อยละ 16.02 ของสินเชื่อรวม เนื่องจากระบบสถาบันการเงินได้กันเงินสำรองสำหรับ NPL ส่วนที่ไม่มีหลักประกัน รองรับจำนวน 394.2 พันล้านบาท
- สำหรับแนวโน้มและสถานการณ์ NPL ในอนาคต ธนาคารพาณิชย์ไทยเอกชนและของรัฐมีวิธี แก้ไขปัญหา NPL แตกต่างกัน โดยธนาคารเอกชน ดูแลแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง ผ่านกระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ การโอนหนี้เสียไป AMC และการตัดหนี้จัดชั้นสงสัยจะสูญที่กันสำรองครบร้อยละ 100 แล้วออกจากบัญชี โดยขณะนี้ NPL คงค้างลดลงเหลืออยู่ในระดับเพียงร้อยละ 20.11 ของสินเชื่อรวม ส่วนธนาคารรัฐ ทางการเป็นผู้ดูแลโดยตรงในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ โดยในเดือนกันยายน 2543 นี้ ธนาคารกรุงไทยได้โอนหนี้ไป AMC เรียบร้อยแล้ว ทำให้ NPL ของธนาคารรัฐลดลงเหลืออยู่ในระดับร้อยละ 33.09 ของ สินเชื่อรวม ส่วนธนาคารไทยธนาคาร และธนาคาร ศรีนคร ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติแนวทางการชดเชย สินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (Yield Maintenance and Gain/Loss Sharing) นั้น เมื่อทำสัญญาเสร็จแล้ว NPL จะทยอยลดลงต่อไป
3. วันที่ 6 พฤศจิกายน 2543 คณะกรรมการ รัฐมนตรีว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจรับทราบรายงานการฟื้นฟูกิจการตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 ในช่วง 2541 ตุลาคม 2543 ว่ามีกิจการที่เข้าสู่การฟื้นฟูกิจการประมาณ 80,000 ล้านบาท ในปี 2541 และเพิ่มขึ้นเป็น 480,110 และ 1.1 ล้านล้านบาท ในปี 2542 และเดือนตุลาคม 2543 ตามลำดับ โดยมีข้อน่าสังเกตว่ากิจการเกี่ยวกับธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ เข้าใช้กระบวนการฟื้นฟูกิจการมีอัตราส่วนเพิ่มขึ้นในปี 2543 อย่างชัดเจน สำหรับแนวโน้มการใช้กระบวนการฟื้นฟูกิจการตลอดปี 2543 นั้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากด้วยสาเหตุ 3 ประการ คือ (1) การปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้กรอบของสำนักงานส่งเสริม การปรับโครงสร้างหนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย จะ สิ้นสุดกระบวนการตาม เงื่อนเวลาที่ตั้งไว้ในช่วงต้นปี 2543 และจะมีคดีจำนวนหนึ่งที่จะใช้มาตรการฟื้นฟู กิจการนี้สานต่องานปรับโครงสร้างหนี้ (2) จากความสำเร็จในการปรับโครงสร้างหนี้ในช่วงที่ผ่านมา น่าจะ ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายอื่นหันมาใช้มาตรการนี้ มากขึ้น (3) แนวโน้มการฟื้นตัวของสภาพเศรษฐกิจ ทำให้เจ้าหนี้มีความสามารถในการรองรับส่วนสูญเสียมากขึ้น ขณะที่กิจการหลายประเภทเห็นความจำเป็น ในการเร่งรัดการประนอมหนี้เพื่อให้กิจการกลับมา แข่งขันได้
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-