เมื่อเวลา 08.00 น. ที่ตลาดหมู่บ้านสัมมากร นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์หลังจากการหาเสียงในพื้นที่ กทม.ว่า จากการประเมินในเบื้องต้น ภายหลังการลงพื้นที่หาเสียงพบปะประชาชนในกทม. โดยได้มีการเสนอมุมมองแนวคิดจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ พบว่าประชาชนชาวกทม.ที่ได้รับฟังข่าวสาร เมื่อได้ฟังมุมมองของพรรคแล้ว ก็ดูเหมือนจะเริ่มฉุกคิด และมีแนวโน้มที่จะหันมาสนับสนุนพรรค
ส่วนสถานการณ์การแข่งขันในการเลือกตั้งที่มีทวีความเข้มข้นมากขึ้น อาทิ มีการทำลายป้ายหาเสียงของผู้สมัคร นั้น รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กระบวนการการเลือกตั้งควรจะเป็นสิ่งที่ทำให้ประชาชนทุกคนมีความสบายใจในการได้รับทราบความคิดเห็นที่หลากหลายและตัดสินใจในการเลือกอนาคตที่ดีที่สุดสำหรับประชาชนเองและบ้านเมือง ดังนั้น ตนจึงอยากเรียกร้องให้ทุกพรรคการเมืองแข่งขันกันอย่างสร้างสรรค์ และอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสมตามระบอบประชาธิปไตย โดยทุกฝ่ายตั้งแต่ระดับหัวหน้าหรือผู้ใหญ่ในพรรคการเมืองเป็นต้นมา ควรเป็นตัวอย่างในการไม่ส่งเสริมการใช้ความรุนแรง แต่ควรรักษามารยาทในการรณรงค์หาเสียง แต่หากสิ่งเหล่านี้ไม่อยู่ในใจของผู้แข่งขัน ก็ถือเป็นเรื่องลำบาก เพราะจะไปหวังให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องติดตามดูแลทุกเรื่องคงไม่ได้ จึงต้องขอความกรุณาจากประชาชนด้วยในการเป็นหูเป็นตา เป็นปากเสียงให้กับความถูกต้องและเป็นธรรม อีกทั้งขอให้เจ้าหน้าที่ทุกคนยึดความถูกต้องที่เป็นมีความยั่งยืนกว่าจะไปจำนนต่ออำนาจที่ไม่ถูกต้องที่อยู่ได้เพียงชั่วคราว และตนไม่เชื่อว่าความไม่ถูกต้องนี้จะครองอำนาจได้ตลอดไป
ผู้สื่อข่าวถามว่ามองอย่างไรต่อการหาเสียงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ที่ดูเหมือนจะไม่สามารถแยกแยะ 2 ตำแหน่งดังกล่าวออกจากกันได้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนเรียกร้องมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ไม่ได้คาดหวังสิ่งใด เพราะนิสัยพื้นฐานของคนที่เคยทำธุรกิจมาอย่างไร ก็ย่อมทำการเมืองอย่างนั้น ดังนั้น ตนจึงมองว่าเป็นเรื่องยากที่จะคาดหวังในจุดนั้น แต่อยู่ที่ประชาชนที่จะพิจารณาว่าเราจะยอมรับการทำงานการเมืองในลักษณะนี้ที่มีการใช้ทรัพย์สินของราชการและอำนาจอย่างไม่ถูกต้องหรือไม่ สำหรับเรื่องการใช้ทรัพย์สินของหน่วยราชการนั้น จากกรณีที่คนของพรรคไทยรักไทยซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่ได้มีสถานะอะไรในรัฐบาล ใช้เฮลิคอปเตอร์ของราชการไปประชุมหัวหน้าส่วนราชการทุกกระทรวงนั้น ตนอยากเรียกร้องว่าต้องมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนหน่วยงานราชการดังกล่าวว่าปล่อยให้ผู้ที่ไม่มีสิทธิ์ใช้ทรัพย์สินของหน่วยงานนั้นได้อย่างไร เพื่อเป็นการพิสูจน์ความจริงใจ แม้จะไม่ถือว่าผิดกฎหมายการเลือกตั้งก็ตาม เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องที่ว่าเป็นคนของพรรคการเมืองใด แต่ถือเป็นเรื่องของความไม่ถูกต้องที่ต้องจัดการ ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลโดยตรงในการปราบปรามและป้องกันไม่ให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น
‘ความจริง ผมอยากบอกท่านว่า ท่านได้เปรียบอยู่แล้ว ทำไมจะต้องใช้วิธีนี้ ถ้ามั่นใจว่าแนวทางของท่านถูกต้อง และเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการ ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมาเอารัดเอาเปรียบกัน โดยการใช้กลไกราชการและกลไกสื่อผ่านการใช้อำนาจรัฐ’รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
ต่อกรณีที่ผลสำรวจเอแบคโพลล์ระบุว่าหลายจังหวัดมีการใช้เงินซื้อเสียงในการเลือกตั้งส.ส.ที่รุนแรงมากขึ้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นสิ่งที่พรรคห่วง และได้พยายามรณรงค์ต่อต้านการกระทำดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพราะหากเรายอมรับระบบนี้ กระบวนการประชาธิปไตยจะถูกบิดเบือน ซึ่งเราไม่อยากให้พฤติกรรมดังกล่าวลุกลามขยายตัวมากไปกว่านี้ ซึ่งขณะนี้ ระบบธุรกิจการเมืองได้ก้าวไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว จากเดิมที่เป็นการซื้อเสียงกันในระดับท้องถิ่น แต่วันนี้กลายเป็นแบบบูรณาการ ไปจนถึงมีการสร้างระบบธุรกิจการเมืองที่เป็นแบบเส้นสายและมีการผูกขาดกระจุกตัวอยู่ที่กลุ่มคนไม่กี่คน ซึ่งตรงนี้นับว่าอันตรายสำหรับเศรษฐกิจและสังคม มีผลทำให้ประเทศชาติอ่อนแอ นอกจากนี้ ยังเป็นสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับโครงสร้างของเศรษฐกิจสังคมสมัยใหม่ที่จะต้องเป็นโครงสร้างของการแข่งขันบนความเข้มแข็งและความเสมอภาค
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 15 ม.ค.2548--จบ--
-ดท-
ส่วนสถานการณ์การแข่งขันในการเลือกตั้งที่มีทวีความเข้มข้นมากขึ้น อาทิ มีการทำลายป้ายหาเสียงของผู้สมัคร นั้น รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กระบวนการการเลือกตั้งควรจะเป็นสิ่งที่ทำให้ประชาชนทุกคนมีความสบายใจในการได้รับทราบความคิดเห็นที่หลากหลายและตัดสินใจในการเลือกอนาคตที่ดีที่สุดสำหรับประชาชนเองและบ้านเมือง ดังนั้น ตนจึงอยากเรียกร้องให้ทุกพรรคการเมืองแข่งขันกันอย่างสร้างสรรค์ และอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสมตามระบอบประชาธิปไตย โดยทุกฝ่ายตั้งแต่ระดับหัวหน้าหรือผู้ใหญ่ในพรรคการเมืองเป็นต้นมา ควรเป็นตัวอย่างในการไม่ส่งเสริมการใช้ความรุนแรง แต่ควรรักษามารยาทในการรณรงค์หาเสียง แต่หากสิ่งเหล่านี้ไม่อยู่ในใจของผู้แข่งขัน ก็ถือเป็นเรื่องลำบาก เพราะจะไปหวังให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องติดตามดูแลทุกเรื่องคงไม่ได้ จึงต้องขอความกรุณาจากประชาชนด้วยในการเป็นหูเป็นตา เป็นปากเสียงให้กับความถูกต้องและเป็นธรรม อีกทั้งขอให้เจ้าหน้าที่ทุกคนยึดความถูกต้องที่เป็นมีความยั่งยืนกว่าจะไปจำนนต่ออำนาจที่ไม่ถูกต้องที่อยู่ได้เพียงชั่วคราว และตนไม่เชื่อว่าความไม่ถูกต้องนี้จะครองอำนาจได้ตลอดไป
ผู้สื่อข่าวถามว่ามองอย่างไรต่อการหาเสียงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ที่ดูเหมือนจะไม่สามารถแยกแยะ 2 ตำแหน่งดังกล่าวออกจากกันได้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนเรียกร้องมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ไม่ได้คาดหวังสิ่งใด เพราะนิสัยพื้นฐานของคนที่เคยทำธุรกิจมาอย่างไร ก็ย่อมทำการเมืองอย่างนั้น ดังนั้น ตนจึงมองว่าเป็นเรื่องยากที่จะคาดหวังในจุดนั้น แต่อยู่ที่ประชาชนที่จะพิจารณาว่าเราจะยอมรับการทำงานการเมืองในลักษณะนี้ที่มีการใช้ทรัพย์สินของราชการและอำนาจอย่างไม่ถูกต้องหรือไม่ สำหรับเรื่องการใช้ทรัพย์สินของหน่วยราชการนั้น จากกรณีที่คนของพรรคไทยรักไทยซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่ได้มีสถานะอะไรในรัฐบาล ใช้เฮลิคอปเตอร์ของราชการไปประชุมหัวหน้าส่วนราชการทุกกระทรวงนั้น ตนอยากเรียกร้องว่าต้องมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนหน่วยงานราชการดังกล่าวว่าปล่อยให้ผู้ที่ไม่มีสิทธิ์ใช้ทรัพย์สินของหน่วยงานนั้นได้อย่างไร เพื่อเป็นการพิสูจน์ความจริงใจ แม้จะไม่ถือว่าผิดกฎหมายการเลือกตั้งก็ตาม เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เรื่องที่ว่าเป็นคนของพรรคการเมืองใด แต่ถือเป็นเรื่องของความไม่ถูกต้องที่ต้องจัดการ ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลโดยตรงในการปราบปรามและป้องกันไม่ให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น
‘ความจริง ผมอยากบอกท่านว่า ท่านได้เปรียบอยู่แล้ว ทำไมจะต้องใช้วิธีนี้ ถ้ามั่นใจว่าแนวทางของท่านถูกต้อง และเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการ ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมาเอารัดเอาเปรียบกัน โดยการใช้กลไกราชการและกลไกสื่อผ่านการใช้อำนาจรัฐ’รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว
ต่อกรณีที่ผลสำรวจเอแบคโพลล์ระบุว่าหลายจังหวัดมีการใช้เงินซื้อเสียงในการเลือกตั้งส.ส.ที่รุนแรงมากขึ้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นสิ่งที่พรรคห่วง และได้พยายามรณรงค์ต่อต้านการกระทำดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพราะหากเรายอมรับระบบนี้ กระบวนการประชาธิปไตยจะถูกบิดเบือน ซึ่งเราไม่อยากให้พฤติกรรมดังกล่าวลุกลามขยายตัวมากไปกว่านี้ ซึ่งขณะนี้ ระบบธุรกิจการเมืองได้ก้าวไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว จากเดิมที่เป็นการซื้อเสียงกันในระดับท้องถิ่น แต่วันนี้กลายเป็นแบบบูรณาการ ไปจนถึงมีการสร้างระบบธุรกิจการเมืองที่เป็นแบบเส้นสายและมีการผูกขาดกระจุกตัวอยู่ที่กลุ่มคนไม่กี่คน ซึ่งตรงนี้นับว่าอันตรายสำหรับเศรษฐกิจและสังคม มีผลทำให้ประเทศชาติอ่อนแอ นอกจากนี้ ยังเป็นสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับโครงสร้างของเศรษฐกิจสังคมสมัยใหม่ที่จะต้องเป็นโครงสร้างของการแข่งขันบนความเข้มแข็งและความเสมอภาค
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 15 ม.ค.2548--จบ--
-ดท-