ตลาดเอเชียใต้ เป็นตลาดใหม่ในเอเชียที่มีศักยภาพและมีลู่ทางที่จะสามารถขยายบทบาททางการค้าระหว่างประเทศไทยกับประเทศเป้าหมายในภูมิภาคนี้ อันได้แก่ อินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ ศรีลังกา และเนปาล ซึ่งตลาดทั้ง 5 แห่งมีประชากรถึงประมาณ 1,200 ล้านคน
ปัจจุบันรัฐบาลและนักธุรกิจไทยได้เล็งเห็นช่องทางของโอกาสในการขยายตลาดการค้าไปยังภูมิภาคนี้ โดย- เฉพาะสินค้าที่เป็นวัตถุดิบ กึ่งวัตถุดิบ และสินค้าที่อำนวยความสะดวกแก่การดำรงชีวิตประจำวัน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า วัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์/ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ ยานพาหนะ เป็นต้น
ถ้ามองในด้านศักยภาพและโอกาสของสินค้าไทยนับว่าประเทศไทยยังมีความเป็นไปได้อย่างสูงที่จะขยายตลาดนี้ในอนาคต โดยมีเหตุผลสนับสนุนดังนี้.-
- ประชากรรวมประมาณ 1,200 ล้านคน ซึ่งมีความต้องการสินค้าอุปโภคและบริโภคเป็นจำนวนมาก ถ้าไทยสามารถเปิดตลาดนี้ได้
- ประเทศในกลุ่มนี้หลายประเทศกำลังเข้าสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมและการค้าระหว่างประเทศอย่างจริงจังเช่น อินเดีย ปากีสถาน และบังกลาเทศ ทำให้เป็นตลาดเปิดสำหรับวัตถุดิบและสินค้ากึ่งสำเร็จรูป
- อำนาจการซื้อของประชาชนเพิ่มขึ้นจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งน่าจะนำไปสู่การขยายตัวในการจับจ่ายใช้สอยและความต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกต่อชีวิตเพิ่มขึ้น
- กลุ่มประเทศดังกล่าวยังเป็นตลาด Conservative ที่หากประเทศไทยสามารถเข้าตลาดนี้ได้เร็วกว่าประเทศอื่นก็จะได้เปรียบในเชิงการครอบครองส่วนแบ่งการตลาด
เนื่องจากตลาดในเอเชียใต้ยังมีข้อกีดกันทั้งในด้านภาษี (Tariff Barriers) และไม่ใช่ภาษี (Non Tariff Barriers) ดังนั้นการคัดเลือกสินค้าเพื่อการเจาะตลาดจึงจำเป็นที่จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ จากการศึกษาถึงโอกาสของสินค้าที่ประเทศไทยส่งออกไปยังประเทศเอเชียใต้ที่มีศักยภาพการแข่งขันในตลาดประกอบด้วย 3 กลุ่มสินค้า ได้แก่
- กลุ่มวัตถุดิบและกึ่งวัตถุดิบ
- สินค้าสำเร็จรูป
- สินค้าเกษตร
อนึ่ง สินค้าที่น่าจะมีศักยภาพสำคัญในการเจาะตลาดเอเชียใต้น่าจะได้แก่สินค้าที่เน้นการขยายตัวของเศรษฐกิจ เช่น ปูนซิเมนต์ ไม้และเฟอร์นิเจอร์ เหล็กและเหล็กกล้า ฯลฯ สินค้าที่อำนวยความสะดวกแก่การดำรงชีวิต ได้แก่ สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์และส่วนประกอบ นาฬิกา คอมพิวเตอร์ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ ฯลฯ สินค้าวัตถุดิบ ได้แก่ ยางพารา เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ ฯลฯ ซึ่งสินค้าเหล่านี้จะมีโอกาสแข่งขันได้สูงในตลาดเอเชียใต้ปัญหาและอุปสรรคในการเจาะตลาด
- ผู้ผลิตและผู้ส่งออกของไทยยังมีความรู้ความเข้าใจในตลาดเอเชียใต้น้อย
- ขาดกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกอย่างต่อเนื่อง
- ตลาดเอเชียใต้เป็นตลาด Conservative ยังมีระบบและรูปแบบการตลาดแบบดั้งเดิม เช่น การกีดกันสินค้าต่างประเทศ เพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศ การค้ายังเป็นรูปแบบของการขายแบบ Door to Door การค้าภายในประเทศยังจำเป็นต้องอาศัยนักธุรกิจที่เป็นคนของประเทศนั้น ยังมีระบบการผูกขาดทางธุรกิจการค้า ภาครัฐฯ ยังมีบทบาทในการสร้างความไม่เป็นธรรมทางการค้ากับนักธุรกิจต่างชาติ การคมนาคมขนส่งไม่สะดวก และสื่อประชา-สัมพันธ์ยังมีข้อจำกัดในบางประเทศ เป็นต้น
- แม้ว่าประเทศเหล่านี้จะมีจำนวนประชากรหนาแน่น แต่อำนาจการซื้อยังต่ำ อย่างไรก็ตามเป็นที่คาดหมายได้ว่าในอนาคตที่ไม่ไกลนัก ประเทศเหล่านี้ซึ่งมีการพัฒนาในด้านอุตสาหกรรมและการค้าระหว่างประเทศที่รวดเร็วจะส่งผลต่อการเติบโตของรายได้ประชาชาติ รายได้ของประชากรต่อหัวและเพิ่มอำนาจซื้อของประชาชนมากขึ้น
- ประเทศเหล่านี้ยังให้ความเข้มงวดในด้านการกีดกันทางการค้าทั้งในรูปของมาตรการทางภาษี และมาตรการที่มิใช่ภาษี มีการปกป้องการนำเข้าสินค้าอาหารและสินค้าบริโภคอุปโภคที่จำเป็น บางสินค้ามีการกำหนดให้ผู้ผลิตต้องใช้วัตถุดิบภายในประเทศ เช่น อินเดียกำหนดให้บริษัทโค้กต้องใช้วัตถุดิบที่ผลิตในอินเดีย เป็นต้น ทำให้การส่งออกอาหารไปยังประเทศเหล่านี้ทำได้ยาก
- ประเทศเหล่านี้ยังมีอุปสรรคในด้านการเมืองระหว่างประเทศและความมั่นคงภายในเช่นอินเดียกับปากีสถานความไม่สงบในศรีลังกา เป็นต้น ดังนั้น การเจาะตลาดจึงไม่สามารถทำในลักษณะกลุ่มภูมิภาค แต่จะต้องดำเนินการในลักษณะทวิภาคี คือ การเจรจาเปิดตลาดเป็นรายประเทศ และต้องให้ความระมัดระวังไม่ให้เกิดข้อขัดแย้งกับประเทศที่มีปัญหาระหว่างกันแนวทางการเจาะตลาดเอเชียใต้
ในปัจจุบันหน่วยงานราชการโดยกระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกแก่ภาคเอกชน การเจรจาเปิดตลาด และการสนับสนุนมาตรการเจาะตลาดในเอเชียใต้ ดังนี้.-
- การสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกันเป็นรายประเทศ โดยจัดคณะผู้แทนการค้าระดับสูงไปเปิดตลาดการค้าในประเทศเหล่านี้ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเข้าใจและเพิ่มพลังความร่วมมือซึ่งกันและกันให้มากยิ่งขึ้น (ทั้งนี้ประเทศที่มีการปกครองรูปแบบสังคมนิยมรัฐบาลจะให้ความสำคัญของการเจรจาระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาลเป็นสำคัญ)
- กรณีที่บางประเทศมี Joint Trade Committee (JTC) อาจจะจัดให้มีการประชุม JTC ขึ้นที่กรุงเทพฯ โดยเชิญคณะกรรมการฯ มาประชุมเพื่อกำหนดแนวทางความร่วมมือทางการค้า แต่การประชุมจะต้องจัดประชุมเป็นประเทศ ๆ ไป เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจัดแย้งในกลุ่มประเทศเอเชียใต้
- จัดให้มีการสัมมนาด้านการตลาดเอเชียใต้แก่นักธุรกิจผู้ผลิตและผู้ส่งออกของไทย
- จัดคณะผู้แทนการค้าของสินค้ากลุ่มเป้าหมายไปเจาะตลาดและสรรหาตัวแทนจำหน่ายในประเทศเอเชียใต้การเจาะตลาดประเทศเหล่านี้จำเป็นต้องสรรหาตัวแทนที่มีประสิทธิภาพในการทำตลาด
- การจัด Solo Show ในเมืองสำคัญ ๆ ในประเทศต่าง ๆ
- จัดตั้งศูนย์ข้อมูลให้คำแนะนำด้านการตลาดแก่ผู้ผลิตและผู้ส่งออก
- ให้สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศจัดทำข้อมูลสินค้า (Products Profile) และข้อมูลตลาด (MarketProfile) ที่สมบูรณ์ของประเทศในเอเชียใต้อย่างละเอียด ข้อมูลดังกล่าวจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่นักธุรกิจไทย
- จัดให้มีการประชาสัมพันธ์สินค้าไทยในประเทศเอเชียใต้เนื่องจากผู้บริโภคในประเทศเหล่านี้ยังไม่มีความรู้และความเข้าใจต่อสินค้าไทย ดังนั้น วิธีการที่ได้ผลมากที่สุดในการสร้างความเข้าใจในสินค้าไทย ก็คือ การประชา-สัมพันธ์สินค้าผ่านสื่อประเภทต่าง ๆ เช่น โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ ที่เป็นจุดรวมของการบริโภค ซึ่งการประชาสัมพันธ์นี้จะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่สุด และสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้มากที่สุด นอกจากการขายตรงแบบ Door to Door ทั้งค่าใช้จ่ายก็ไม่สูงมากนักอีกด้วย
- การปฏิบัติการในพื้นที่ประเทศต่าง ๆ โดย
- ส่งเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางเข้าไปปฏิบัติงานในประเทศต่าง ๆ ในเอเชียใต้เป็นระยะ ๆ
- จัดจ้างคนท้องถิ่นของประเทศนั้น ๆ ดำเนินการ โดยทำสัญญาระยะสั่น 3, 6 เดือน และติดตามประเมินผลทุกระยะ เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจก็เลิกสัญญาว่าจ้าง
(ที่มา : กรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์)
--วารสาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 16/2543 วันที่ 31 สิงหาคม 2543--
-อน-
ปัจจุบันรัฐบาลและนักธุรกิจไทยได้เล็งเห็นช่องทางของโอกาสในการขยายตลาดการค้าไปยังภูมิภาคนี้ โดย- เฉพาะสินค้าที่เป็นวัตถุดิบ กึ่งวัตถุดิบ และสินค้าที่อำนวยความสะดวกแก่การดำรงชีวิตประจำวัน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า วัสดุก่อสร้าง อุปกรณ์/ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ ยานพาหนะ เป็นต้น
ถ้ามองในด้านศักยภาพและโอกาสของสินค้าไทยนับว่าประเทศไทยยังมีความเป็นไปได้อย่างสูงที่จะขยายตลาดนี้ในอนาคต โดยมีเหตุผลสนับสนุนดังนี้.-
- ประชากรรวมประมาณ 1,200 ล้านคน ซึ่งมีความต้องการสินค้าอุปโภคและบริโภคเป็นจำนวนมาก ถ้าไทยสามารถเปิดตลาดนี้ได้
- ประเทศในกลุ่มนี้หลายประเทศกำลังเข้าสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมและการค้าระหว่างประเทศอย่างจริงจังเช่น อินเดีย ปากีสถาน และบังกลาเทศ ทำให้เป็นตลาดเปิดสำหรับวัตถุดิบและสินค้ากึ่งสำเร็จรูป
- อำนาจการซื้อของประชาชนเพิ่มขึ้นจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งน่าจะนำไปสู่การขยายตัวในการจับจ่ายใช้สอยและความต้องการสิ่งอำนวยความสะดวกต่อชีวิตเพิ่มขึ้น
- กลุ่มประเทศดังกล่าวยังเป็นตลาด Conservative ที่หากประเทศไทยสามารถเข้าตลาดนี้ได้เร็วกว่าประเทศอื่นก็จะได้เปรียบในเชิงการครอบครองส่วนแบ่งการตลาด
เนื่องจากตลาดในเอเชียใต้ยังมีข้อกีดกันทั้งในด้านภาษี (Tariff Barriers) และไม่ใช่ภาษี (Non Tariff Barriers) ดังนั้นการคัดเลือกสินค้าเพื่อการเจาะตลาดจึงจำเป็นที่จะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ จากการศึกษาถึงโอกาสของสินค้าที่ประเทศไทยส่งออกไปยังประเทศเอเชียใต้ที่มีศักยภาพการแข่งขันในตลาดประกอบด้วย 3 กลุ่มสินค้า ได้แก่
- กลุ่มวัตถุดิบและกึ่งวัตถุดิบ
- สินค้าสำเร็จรูป
- สินค้าเกษตร
อนึ่ง สินค้าที่น่าจะมีศักยภาพสำคัญในการเจาะตลาดเอเชียใต้น่าจะได้แก่สินค้าที่เน้นการขยายตัวของเศรษฐกิจ เช่น ปูนซิเมนต์ ไม้และเฟอร์นิเจอร์ เหล็กและเหล็กกล้า ฯลฯ สินค้าที่อำนวยความสะดวกแก่การดำรงชีวิต ได้แก่ สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า ยานยนต์และส่วนประกอบ นาฬิกา คอมพิวเตอร์ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ ฯลฯ สินค้าวัตถุดิบ ได้แก่ ยางพารา เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ ฯลฯ ซึ่งสินค้าเหล่านี้จะมีโอกาสแข่งขันได้สูงในตลาดเอเชียใต้ปัญหาและอุปสรรคในการเจาะตลาด
- ผู้ผลิตและผู้ส่งออกของไทยยังมีความรู้ความเข้าใจในตลาดเอเชียใต้น้อย
- ขาดกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกอย่างต่อเนื่อง
- ตลาดเอเชียใต้เป็นตลาด Conservative ยังมีระบบและรูปแบบการตลาดแบบดั้งเดิม เช่น การกีดกันสินค้าต่างประเทศ เพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศ การค้ายังเป็นรูปแบบของการขายแบบ Door to Door การค้าภายในประเทศยังจำเป็นต้องอาศัยนักธุรกิจที่เป็นคนของประเทศนั้น ยังมีระบบการผูกขาดทางธุรกิจการค้า ภาครัฐฯ ยังมีบทบาทในการสร้างความไม่เป็นธรรมทางการค้ากับนักธุรกิจต่างชาติ การคมนาคมขนส่งไม่สะดวก และสื่อประชา-สัมพันธ์ยังมีข้อจำกัดในบางประเทศ เป็นต้น
- แม้ว่าประเทศเหล่านี้จะมีจำนวนประชากรหนาแน่น แต่อำนาจการซื้อยังต่ำ อย่างไรก็ตามเป็นที่คาดหมายได้ว่าในอนาคตที่ไม่ไกลนัก ประเทศเหล่านี้ซึ่งมีการพัฒนาในด้านอุตสาหกรรมและการค้าระหว่างประเทศที่รวดเร็วจะส่งผลต่อการเติบโตของรายได้ประชาชาติ รายได้ของประชากรต่อหัวและเพิ่มอำนาจซื้อของประชาชนมากขึ้น
- ประเทศเหล่านี้ยังให้ความเข้มงวดในด้านการกีดกันทางการค้าทั้งในรูปของมาตรการทางภาษี และมาตรการที่มิใช่ภาษี มีการปกป้องการนำเข้าสินค้าอาหารและสินค้าบริโภคอุปโภคที่จำเป็น บางสินค้ามีการกำหนดให้ผู้ผลิตต้องใช้วัตถุดิบภายในประเทศ เช่น อินเดียกำหนดให้บริษัทโค้กต้องใช้วัตถุดิบที่ผลิตในอินเดีย เป็นต้น ทำให้การส่งออกอาหารไปยังประเทศเหล่านี้ทำได้ยาก
- ประเทศเหล่านี้ยังมีอุปสรรคในด้านการเมืองระหว่างประเทศและความมั่นคงภายในเช่นอินเดียกับปากีสถานความไม่สงบในศรีลังกา เป็นต้น ดังนั้น การเจาะตลาดจึงไม่สามารถทำในลักษณะกลุ่มภูมิภาค แต่จะต้องดำเนินการในลักษณะทวิภาคี คือ การเจรจาเปิดตลาดเป็นรายประเทศ และต้องให้ความระมัดระวังไม่ให้เกิดข้อขัดแย้งกับประเทศที่มีปัญหาระหว่างกันแนวทางการเจาะตลาดเอเชียใต้
ในปัจจุบันหน่วยงานราชการโดยกระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกแก่ภาคเอกชน การเจรจาเปิดตลาด และการสนับสนุนมาตรการเจาะตลาดในเอเชียใต้ ดังนี้.-
- การสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกันเป็นรายประเทศ โดยจัดคณะผู้แทนการค้าระดับสูงไปเปิดตลาดการค้าในประเทศเหล่านี้ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเข้าใจและเพิ่มพลังความร่วมมือซึ่งกันและกันให้มากยิ่งขึ้น (ทั้งนี้ประเทศที่มีการปกครองรูปแบบสังคมนิยมรัฐบาลจะให้ความสำคัญของการเจรจาระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาลเป็นสำคัญ)
- กรณีที่บางประเทศมี Joint Trade Committee (JTC) อาจจะจัดให้มีการประชุม JTC ขึ้นที่กรุงเทพฯ โดยเชิญคณะกรรมการฯ มาประชุมเพื่อกำหนดแนวทางความร่วมมือทางการค้า แต่การประชุมจะต้องจัดประชุมเป็นประเทศ ๆ ไป เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจัดแย้งในกลุ่มประเทศเอเชียใต้
- จัดให้มีการสัมมนาด้านการตลาดเอเชียใต้แก่นักธุรกิจผู้ผลิตและผู้ส่งออกของไทย
- จัดคณะผู้แทนการค้าของสินค้ากลุ่มเป้าหมายไปเจาะตลาดและสรรหาตัวแทนจำหน่ายในประเทศเอเชียใต้การเจาะตลาดประเทศเหล่านี้จำเป็นต้องสรรหาตัวแทนที่มีประสิทธิภาพในการทำตลาด
- การจัด Solo Show ในเมืองสำคัญ ๆ ในประเทศต่าง ๆ
- จัดตั้งศูนย์ข้อมูลให้คำแนะนำด้านการตลาดแก่ผู้ผลิตและผู้ส่งออก
- ให้สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศจัดทำข้อมูลสินค้า (Products Profile) และข้อมูลตลาด (MarketProfile) ที่สมบูรณ์ของประเทศในเอเชียใต้อย่างละเอียด ข้อมูลดังกล่าวจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่นักธุรกิจไทย
- จัดให้มีการประชาสัมพันธ์สินค้าไทยในประเทศเอเชียใต้เนื่องจากผู้บริโภคในประเทศเหล่านี้ยังไม่มีความรู้และความเข้าใจต่อสินค้าไทย ดังนั้น วิธีการที่ได้ผลมากที่สุดในการสร้างความเข้าใจในสินค้าไทย ก็คือ การประชา-สัมพันธ์สินค้าผ่านสื่อประเภทต่าง ๆ เช่น โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ ที่เป็นจุดรวมของการบริโภค ซึ่งการประชาสัมพันธ์นี้จะเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่สุด และสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้มากที่สุด นอกจากการขายตรงแบบ Door to Door ทั้งค่าใช้จ่ายก็ไม่สูงมากนักอีกด้วย
- การปฏิบัติการในพื้นที่ประเทศต่าง ๆ โดย
- ส่งเจ้าหน้าที่จากส่วนกลางเข้าไปปฏิบัติงานในประเทศต่าง ๆ ในเอเชียใต้เป็นระยะ ๆ
- จัดจ้างคนท้องถิ่นของประเทศนั้น ๆ ดำเนินการ โดยทำสัญญาระยะสั่น 3, 6 เดือน และติดตามประเมินผลทุกระยะ เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจก็เลิกสัญญาว่าจ้าง
(ที่มา : กรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์)
--วารสาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 16/2543 วันที่ 31 สิงหาคม 2543--
-อน-