แท็ก
ภาวะเศรษฐกิจ
1.1 บทสรุปสำหรับผู้บริหาร
ในช่วงไตรมาสแรกของปีผลิตภัณฑ์ มวลรวมในประเทศขยายตัวชะลอลงเป็นร้อยละ 1.8 เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 5.3 ในระยะเดียวกัน ปีก่อน ปัจจัยที่สนับสนุนการขยายตัวยังคงเป็นการ ใช้จ่ายของภาคเอกชนเป็นหลัก ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐลดความสำคัญลงโดยเฉพาะการใช้จ่ายด้านการ ลงทุนเนื่องจากอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เช่นเดียวกับการส่งออกสุทธิที่เริ่มชะลอตัวตาม การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ เครื่องชี้ทางเศรษฐกิจโดยรวม ในช่วงไตรมาสที่ 2 ยังคงแสดงทิศทางทรงตัวใกล้เคียงกับไตรมาสแรก ส่งผลให้ทิศทางการ ฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปียังคงชะลอตัวเมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปีก่อน ทั้งอุปสงค์ในประเทศและต่างประเทศ ตามการชะลอตัวของประเทศคู่ค้าส่งผลให้การส่งออกลดลง อย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจภาคการผลิตสินค้ายังคงมีแนวโน้มชะลอตัว ด้านบริการ ซึ่งได้แก่ สาขาโรงแรมและภัตตาคาร การศึกษา สาธารณสุข บริการชุมชน และบริการอื่นๆคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 10 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศยังมีศักยภาพที่ดีอยู่ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ดุลบัญชีบริการบริจาคเกินดุลต่อเนื่อง และส่งผลบวกต่อการขยายตัวของจ้างงานและธุรกิจเชื่อมโยง
การผลิตภาคอุตสาหกรรมในช่วง ครึ่งแรกของปีชะลอตัวในเกือบทุกสาขา สอดคล้องกับการลดลงของการใช้กำลังการผลิตตามการชะลอตัวของการใช้จ่ายในประเทศ และการลดลงของการส่งออก อย่างไรก็ตาม การผลิตบางสาขายังคงขยายตัวเร่งขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนซึ่งได้แก่ การผลิตปิโตรเลียมตามการส่งออกไปยังจีน สิงคโปร์ และอินโดจีน ดังนั้น การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เร่งสร้างความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนขยายฐานการส่งออก ควบคู่ไปกับนโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายทางการคลัง ส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศและอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจจริงอย่าง แข็งแกร่ง ในระยะต่อไป
ภาคบริการ ยังแสดงแนวโน้มที่ดี โดยเฉพาะสาขาการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม จำนวนนักท่องเที่ยวขยายตัวชะลอลงจากภาวะการแข่งขันในแถบเอเชีย ทำให้รายรับจากการท่องเที่ยว (ในรูปดอลลาร์ สรอ.) ในดุลบัญชีบริการบริจาคเกินดุล ลดลง ทั้งนี้จากความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของภาคบริการต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน รัฐบาลจึงเร่งดำเนินการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว พัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ขยายกลุ่มลูกค้า และเพิ่มประสิทธิภาพของภาคบริการอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนพัฒนาภาคบริการรายสาขาที่มีศักยภาพ อาทิ ด้าน สุขภาพ
ช่วงครึ่งแรกของภาวะการจ้างงานปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมที่ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ขณะที่การจ้างงานในภาคเกษตรกรรมหดตัวลง ส่วนหนึ่งมาจากการลด พื้นที่การเพาะปลูก ทั้งนี้ อัตราการว่างงานเฉลี่ยอยู่ในระดับใกล้เคียงกับระยะเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 4.2 ของกำลังแรงงานรวม อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของการจ้างงานยังคงมีอยู่เนื่องจากการชะลอตัวของภาคการผลิต และมาตรการจ้างงานระยะสั้นของ รัฐบาล โดยเฉพาะโครงการ มิยาซาวาที่จะสิ้นสุดลงภายในเดือนมิถุนายน ศกนี้ และโครงการจากเงินกู้จากธนาคารพัฒนาเอเชียซึ่งมีการจ้างงานชั่วคราวในปี 2543 อยู่ประมาณ 85,148 คน
เครื่องชี้การอุปโภคบริโภค ภาค เอกชนโดยรวมในช่วงครึ่งแรกของปีนี้มีแนวโน้มทรงตัว มีเพียงการอุปโภคบริโภคสินค้านำเข้าที่ ชะลอลงค่อนข้างมาก มูลค่าการค้าปลีกค่อนข้าง ทรงตัวสำหรับการอุปโภคสินค้าคงทนมีทิศทางดีขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 ตามยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์ในประเทศมีการปรับตัวดีขึ้นใน ไตรมาสที่ 2 ส่วนหนึ่งเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยต่ำ อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของรายได้จากการขายพืชผลอย่างต่อเนื่องจาก ต้นปีและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของการคลังที่จะเริ่มมีผลในช่วงครึ่งหลังของปี จะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการฟื้นตัวของการบริโภค ขณะที่ค่าจ้างเฉลี่ยรายเดือนจากการสำรวจของ สำนักงานสถิติแห่งชาติมีแนวโน้มลดลง และปัญหาการว่างงานที่ยังคงมีอยู่ จะเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของการอุปโภคบริโภค
ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนในช่วงครึ่งแรกของปีมีแนวโน้มชะลอลง โดยการลงทุนด้านเครื่องจักรและอุปกรณ์ชะลอตัวลงดังเห็นได้จากการหดตัวของการนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ ตามการชะลอตัวของภาคการผลิตที่มีกำลังการผลิตส่วนเกินสูงในเกือบทุกสาขาการผลิต โดยเฉพาะการผลิตเพื่อการส่งออก อย่างไรก็ตาม การผลิตในบางสาขามีแนวโน้มที่สามารถขยายการลงทุนได้อีก เนื่องจากมีการใช้กำลังการผลิตในอัตราสูง อาทิ เยื่อกระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมต้นน้ำที่เกี่ยวเนื่องกับปิโตรเลียม ขณะที่การก่อสร้างภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นในบางกลุ่ม อาทิ ที่อยู่อาศัย และการต่อเติม/ซ่อมแซมอาคารและที่พัก ซึ่งเป็นผลจากนโยบายสนับสนุนสินเชื่อที่อยู่อาศัยของทางการ
การเร่งใช้จ่ายภาครัฐมีความจำเป็น ต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และคาดว่าจะสามารถ ส่งผลเชื่อมโยงต่อการฟื้นตัวของการใช้จ่ายภาค เอกชนได้อย่างกว้างขวางในช่วงครึ่งหลังของปี ในช่วงครึ่งแรกของปี การใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวเร่งขึ้นเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน ทั้งการใช้จ่าย ด้านอุปโภคบริโภคของรัฐบาลกลาง และการลงทุนภาครัฐ โดยการใช้จ่ายมีทิศทางเร่งขึ้นในไตรมาสที่ 2 ของปี โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐซึ่งขยายตัวสูงในไตรมาสที่ 2 จากที่หดตัวในไตรมาสแรกเนื่องจากเป็นช่วงผลัดเปลี่ยนของรัฐบาลชุดใหม่ ทั้งนี้ เพื่อให้การใช้จ่ายเป็นไปตามเป้าหมาย และเร่งการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในช่วงครึ่งหลังของปี รัฐบาลจึงเสนอมาตรการเร่งการใช้จ่าย ได้แก่ (1) หน่วยงานและ รัฐวิสาหกิจที่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ตามเป้าหมายจะต้องยกเลิกโครงการนั้นไป โครงการใดที่ยังไม่ได้ จัดซื้อจัดจ้าง และเปิดประมูลจะไม่อนุญาตให้กันเงินไว้จ่ายสำหรับโครงการที่ได้ทำสัญญาแล้วสามารถกันเงินไว้จ่ายได้ แต่จะต้องถูกลดงบประมาณลงในปี ต่อมา (2) หน่วยงานใดที่สามารถเบิกจ่ายได้ตาม เป้าหมายจะได้รับเงินโบนัส 1 เดือนในช่วงการประเมินผลงานประจำปี และ (3) รัฐวิสาหกิจใดที่เบิกจ่ายได้ตามเป้าหมายและมีประสิทธิภาพจะได้รับเพิ่มงบลงทุน หนี้สาธารณะอยู่ในระดับที่จัดการได้ หนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2544 อยู่ที่ระดับ 2,870.9 พันล้านบาท คิดเป็นประมาณร้อยละ 55.4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
การส่งออก (ในรูปดอลลาร์ สรอ.) ในช่วงครึ่งแรกของปีหดตัวร้อยละ 0.9 จากระยะเดียวกันปีก่อน เนื่องจากการกระจุกตัวของตลาดการส่งออกส่งผลให้ภาคส่งออกรับผลกระทบอย่างมากจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และญี่ปุ่นและเป็นความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้การส่งออก (ในรูปดอลลาร์ สรอ.) ลดลงในเกือบทุกสาขา ยกเว้น สินค้า อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานสูง และที่ใช้ปัจจัยการผลิตในประเทศ การหดตัวของการส่งออกสินค้าเกษตรและประมงเป็นผลมาจากการหดตัวของราคาเป็นหลัก ขณะที่การหดตัวของการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมมาจากการหดตัวของปริมาณเป็นสำคัญ โดยที่ราคา สินค้าส่งออกอุตสาหกรรมมีการขยายตัว อย่างไร ก็ตามสินค้าส่งออกที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี ได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้าและชิ้นส่วน ชิ้นส่วนรถยนต์ อัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม อาหารทะเลกระป๋อง และผลิตภัณฑ์ยาง ทั้งนี้ ขณะที่การส่งออกไปยังสหรัฐฯ หดตัวและตลาดญี่ปุ่น และอาเซียนชะลอตัว การส่งออก ไปยังกลุ่มสหภาพยุโรปขยายตัวดี และเพิ่มสัดส่วนเป็นประมาณร้อยละ 17 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ซึ่งเกือบเท่ากับสัดส่วนการส่งออกในกลุ่มอาเซียน
การนำเข้า (ในรูปดอลลาร์ สรอ.) ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ขยายตัวชะลอลงเป็นร้อยละ 7.2 จากระยะเดียวกันปีก่อน ตามการชะลอตัวของการผลิต และอุปสงค์ในประเทศ โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ การนำเข้าขยายตัวชะลอลงมากใน ทุกหมวดสินค้า โดยเฉพาะสินค้าวัตถุดิบ และสินค้าอุปโภคบริโภค ทั้งนี้ เป็นการหดตัวด้านปริมาณ ร้อยละ 5.6 ขณะที่ราคาขยายตัวค่อนข้างสูงที่ร้อยละ 17.2 จากระยะเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้ จากภาวะการค้า ต่างประเทศที่ชะลอลง ส่งผลให้ดุลการค้าในช่วงครึ่งแรกของปีนี้เกินดุลลดลงมาก
ดุลบัญชีบริการบริจาคเกินดุลลดลงเล็กน้อย ตามแนวโน้มการชะลอลงของรายรับ จากการท่องเที่ยว และรายได้ส่งกลับของแรงงานในต่างประเทศ รายได้จากการท่องเที่ยวยังเป็นปัจจัยหลักของการเกินดุลบัญชีบริการบริจาค และยังคงมีแนวโน้มที่มีศักยภาพอยู่ ซึ่งถือเป็นสาขาสำคัญต่อการส่งผลทางเศรษฐกิจ ขณะที่ภาวะการค้า ต่างประเทศชะลอตัว ด้วยเหตุนี้ดุลบัญชีเดินสะพัดในช่วงครึ่งแรกของปีเกินดุลลดลงเป็น 2.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. จาก 5.0 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในระยะเดียวกันปีก่อน
ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ดุลบัญชี เงินทุนเคลื่อนย้ายขาดดุลตามการชำระคืนหนี้ต่างประเทศของทั้งภาครัฐและเอกชนแต่มีขนาดลดลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน อย่างไร ก็ตามการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศขยายตัว เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยเป็นการลงทุนใน อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า การค้าและบริการเป็นหลัก การชะลอตัวของการขาดดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้าย ส่งผลให้ดุลการชำระเงินขาดดุลลดลงเป็น 0.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. จาก 2.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในช่วงเดียวกันปีก่อน ทำให้เงินสำรองทางการอยู่ ณ ระดับ 31.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นไตรมาสที่ 2
หนี้ต่างประเทศปรับตัวลดลง ต่อเนื่อง ตามการชำระคืนหนี้ของทั้งภาครัฐและ เอกชน โดยเฉพาะหนี้ระยะสั้น ทำให้โครงสร้างของหนี้ระยะยาวต่อหนี้ระยะสั้นเพิ่มขึ้นโดยมีสัดส่วนเป็นร้อยละ 81.1 และ 18.9 ของหนี้ต่างประเทศทั้งหมด ตามลำดับ และสำรองทางการต่อหนี้ระยะสั้นเพิ่มขึ้นเป็น 225.7 เท่าดีขึ้นจาก 222.3 เท่า ณ สิ้นปีก่อน
ภาวะเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ดัชนีราคาสินค้าผู้บริโภคขยายตัวร้อยละ 2.0 ในช่วง ครึ่งแรกของปี 2544 ตามการเพิ่มขึ้นของทั้งราคาอาหารและมิใช่อาหาร ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานขยายตัวเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้มการปรับตัวของราคาน้ำมัน คาดว่าจะไม่ส่งแรงกดดันต่อภาวะเงินเฟ้อในช่วงครึ่งหลังของปี ดังนั้นอัตรา เงินเฟ้อในปีนี้จึงอยู่ภายใต้เป้าหมายที่กำหนด
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืน 14 วัน จากร้อยละ 1.5 เป็นร้อยละ 2.5 ก็เพื่อปรับโครงสร้างของอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นให้เกิดความเหมาะสม ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืน 1 วัน และอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างธนาคารปรับตัวสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากซึ่งเป็นไปตามกลไกลตลาด อย่างไรก็ตาม จากภาวะสภาพคล่องสูงในระบบ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก-เงินกู้คงอยู่ที่ระดับเดิมที่ ร้อยละ 2.5 และ 7.375 ต่อปีตามลำดับ
ปริมาณเงินขยายตัวต่อเนื่องจากครึ่งหลังของปีก่อน ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ขยายตัวชะลอลงในช่วงสิ้นไตรมาสที่ 2 ตามการชะลอตัวของปริมาณเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ ขณะที่ฐานเงินมียอดคงค้างลดลงในช่วงครึ่งแรกของปี เมื่อเทียบกับยอดคงค้าง ณ สิ้นปีก่อน ตามการลดลงของสินเชื่อสุทธิที่ให้กับสถาบันการเงิน โดยส่วนใหญ่จากการที่ ธปท. ลดการให้กู้ยืมผ่านตลาดซื้อคืนพันธบัตร เนื่องจากสถาพคล่องในระบบมีอยู่ค่อนข้างมาก ยอดเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ โดยรวมขยายตัวต่อเนื่องจากครึ่งหลังของปีก่อน ขณะที่สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ที่รวมการตัดหนี้สูญและที่โอนไปยังบริษัทบริหารสินทรัพย์ แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์หดตัวลงเล็กน้อยจากครึ่งหลังของปีก่อน เนื่องจากมีการระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ การตัดหนี้สูญ และการเรียกคืนสินเชื่อในรอบครึ่งปี สำหรับแหล่งเงินทุนจากการออกตราสารหนี้ มีการชะลอตัวในช่วงปลายไตรมาสที่ 2 จากแนวโน้มต้นทุนกู้ยืมที่สูงขึ้น
อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยระหว่างบาทและดอลลาร์ สรอ. ในช่วงครึ่งแรกของปีอ่อนตัวลงร้อยละ 2.8 เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคมของปีก่อน โดยมีการอ่อนตัวลงมากในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี ตามภาวะการอ่อนตัวของค่าเงินในภูมิภาค แต่ได้ปรับตัวมีเสถียรภาพดีขึ้นในช่วงสิ้นไตรมาสที่ 2 ตามแนวทางนโยบายการเงินที่มุ่งให้เกิดเสถียรภาพของค่าเงินที่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคธุรกิจจากแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ชะลอลง ทางการจำเป็นต้องประสานการดำเนินนโยบายการเงินและการคลังให้สอดคล้องกันเพื่อสร้างเสถียรภาพในระบบเศรษฐกิจและกระจายความเจริญอย่างทั่วถึง ควบคู่ไปกับเร่งปรับโครงสร้างการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขัน ทั้งด้านเทคโนโลยี และทรัพยากรมนุษย์ เพื่อรองรับการขยายตัวอย่างยั่งยืน
นโยบายการเงินยังคงมุ่งรักษา เสถียรภาพของราคาตามกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ ควบคู่ไปกับการรักษาเสถียรภาพด้านต่างประเทศตามระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบมีการจัดการ เพื่อสนับสนุนให้ภาคเศรษฐกิจจริงจัดการได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พร้อมทั้งเร่งให้เกิดความคืบหน้าของการปรับโครงสร้างภาคการเงิน และพัฒนาตลาดทุน
นโยบายการคลังมุ่งเน้นความยั่งยืนทางการคลัง โดยในระยะสั้นยังคงเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการใช้จ่าย และเมื่อเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่งจะดำเนินนโยบายการคลังให้กลับเข้าสู่สมดุล ซึ่งในระหว่างนั้นจะจำกัดหนี้ภาครัฐไม่ให้เกินร้อยละ 60 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และดูแลภาระการชำระหนี้ในงบประมาณไม่ให้สูงกว่าร้อยละ 16 ของงบประมาณ
สำหรับในปี 2545 ได้จัดตั้งงบประมาณจำนวน 1,023 พันล้านบาท คิดเป็นงบประมาณขาดดุล 200 พันล้านบาทหรือประมาณร้อยละ 3.8 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ มีเป้าหมายสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ สร้างความสามารถในการแข่งขัน ควบคู่ไปกับการลดการพึ่งพาเศรษฐกิจต่างประเทศ ซึ่งจำเป็นจะต้องปรับโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ โดยเน้นการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจต่างประเทศอย่างรู้เท่าทัน และพัฒนาเศรษฐกิจที่ใช้ความรู้ความสามารถในประเทศมากขึ้น ซึ่งหมายถึงการพัฒนาความแข็งแกร่งของระดับรากหญ้าและธุรกิจขนาดกลางและย่อม พัฒนาและเพิ่มมูลค่าของผลผลิต ปรับปรุงประสิทธิภาพด้านเทคโนโลยีและแรงงาน ตลอดจนพัฒนาการศึกษาพื้นฐาน
ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนให้ภาคการเงินและระบบเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่งและดำเนินกิจกรรมได้อย่างปกติ รัฐบาลจึงเร่งให้เกิดความคืบหน้า ในการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ไทย รวมทั้งเน้นการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและปฏิบัติได้จริง ตลอดจนเร่งขบวนการด้านกฎหมาย และการร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างองค์กร อาทิ ขบวนการบังคับตามพระราชบัญญัติล้มละลาย และการเร่งจัดทำกฎหมายหลักประกันและการบังคับหลักประกัน ควบคู่ไปกับการพัฒนาตลาดทุน นอกจากนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการคลังที่มุ่งพัฒนาความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ จึงได้กำหนดนโยบายการเงินที่สนับสนุนการขยายตัวของธุรกิจขนาดกลางและย่อม ธุรกิจชุมชน
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
ในช่วงไตรมาสแรกของปีผลิตภัณฑ์ มวลรวมในประเทศขยายตัวชะลอลงเป็นร้อยละ 1.8 เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 5.3 ในระยะเดียวกัน ปีก่อน ปัจจัยที่สนับสนุนการขยายตัวยังคงเป็นการ ใช้จ่ายของภาคเอกชนเป็นหลัก ขณะที่การใช้จ่ายภาครัฐลดความสำคัญลงโดยเฉพาะการใช้จ่ายด้านการ ลงทุนเนื่องจากอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เช่นเดียวกับการส่งออกสุทธิที่เริ่มชะลอตัวตาม การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ เครื่องชี้ทางเศรษฐกิจโดยรวม ในช่วงไตรมาสที่ 2 ยังคงแสดงทิศทางทรงตัวใกล้เคียงกับไตรมาสแรก ส่งผลให้ทิศทางการ ฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปียังคงชะลอตัวเมื่อเทียบกับครึ่งแรกของปีก่อน ทั้งอุปสงค์ในประเทศและต่างประเทศ ตามการชะลอตัวของประเทศคู่ค้าส่งผลให้การส่งออกลดลง อย่างไรก็ตาม แม้เศรษฐกิจภาคการผลิตสินค้ายังคงมีแนวโน้มชะลอตัว ด้านบริการ ซึ่งได้แก่ สาขาโรงแรมและภัตตาคาร การศึกษา สาธารณสุข บริการชุมชน และบริการอื่นๆคิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 10 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศยังมีศักยภาพที่ดีอยู่ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ดุลบัญชีบริการบริจาคเกินดุลต่อเนื่อง และส่งผลบวกต่อการขยายตัวของจ้างงานและธุรกิจเชื่อมโยง
การผลิตภาคอุตสาหกรรมในช่วง ครึ่งแรกของปีชะลอตัวในเกือบทุกสาขา สอดคล้องกับการลดลงของการใช้กำลังการผลิตตามการชะลอตัวของการใช้จ่ายในประเทศ และการลดลงของการส่งออก อย่างไรก็ตาม การผลิตบางสาขายังคงขยายตัวเร่งขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนซึ่งได้แก่ การผลิตปิโตรเลียมตามการส่งออกไปยังจีน สิงคโปร์ และอินโดจีน ดังนั้น การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เร่งสร้างความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนขยายฐานการส่งออก ควบคู่ไปกับนโยบายกระตุ้นการใช้จ่ายทางการคลัง ส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศและอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจจริงอย่าง แข็งแกร่ง ในระยะต่อไป
ภาคบริการ ยังแสดงแนวโน้มที่ดี โดยเฉพาะสาขาการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม จำนวนนักท่องเที่ยวขยายตัวชะลอลงจากภาวะการแข่งขันในแถบเอเชีย ทำให้รายรับจากการท่องเที่ยว (ในรูปดอลลาร์ สรอ.) ในดุลบัญชีบริการบริจาคเกินดุล ลดลง ทั้งนี้จากความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของภาคบริการต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน รัฐบาลจึงเร่งดำเนินการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว พัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ขยายกลุ่มลูกค้า และเพิ่มประสิทธิภาพของภาคบริการอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนพัฒนาภาคบริการรายสาขาที่มีศักยภาพ อาทิ ด้าน สุขภาพ
ช่วงครึ่งแรกของภาวะการจ้างงานปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมที่ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ขณะที่การจ้างงานในภาคเกษตรกรรมหดตัวลง ส่วนหนึ่งมาจากการลด พื้นที่การเพาะปลูก ทั้งนี้ อัตราการว่างงานเฉลี่ยอยู่ในระดับใกล้เคียงกับระยะเดียวกันปีก่อนที่ร้อยละ 4.2 ของกำลังแรงงานรวม อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงของการจ้างงานยังคงมีอยู่เนื่องจากการชะลอตัวของภาคการผลิต และมาตรการจ้างงานระยะสั้นของ รัฐบาล โดยเฉพาะโครงการ มิยาซาวาที่จะสิ้นสุดลงภายในเดือนมิถุนายน ศกนี้ และโครงการจากเงินกู้จากธนาคารพัฒนาเอเชียซึ่งมีการจ้างงานชั่วคราวในปี 2543 อยู่ประมาณ 85,148 คน
เครื่องชี้การอุปโภคบริโภค ภาค เอกชนโดยรวมในช่วงครึ่งแรกของปีนี้มีแนวโน้มทรงตัว มีเพียงการอุปโภคบริโภคสินค้านำเข้าที่ ชะลอลงค่อนข้างมาก มูลค่าการค้าปลีกค่อนข้าง ทรงตัวสำหรับการอุปโภคสินค้าคงทนมีทิศทางดีขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 ตามยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์ในประเทศมีการปรับตัวดีขึ้นใน ไตรมาสที่ 2 ส่วนหนึ่งเนื่องจากอัตราดอกเบี้ยต่ำ อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของรายได้จากการขายพืชผลอย่างต่อเนื่องจาก ต้นปีและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของการคลังที่จะเริ่มมีผลในช่วงครึ่งหลังของปี จะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการฟื้นตัวของการบริโภค ขณะที่ค่าจ้างเฉลี่ยรายเดือนจากการสำรวจของ สำนักงานสถิติแห่งชาติมีแนวโน้มลดลง และปัญหาการว่างงานที่ยังคงมีอยู่ จะเป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของการอุปโภคบริโภค
ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนในช่วงครึ่งแรกของปีมีแนวโน้มชะลอลง โดยการลงทุนด้านเครื่องจักรและอุปกรณ์ชะลอตัวลงดังเห็นได้จากการหดตัวของการนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ ตามการชะลอตัวของภาคการผลิตที่มีกำลังการผลิตส่วนเกินสูงในเกือบทุกสาขาการผลิต โดยเฉพาะการผลิตเพื่อการส่งออก อย่างไรก็ตาม การผลิตในบางสาขามีแนวโน้มที่สามารถขยายการลงทุนได้อีก เนื่องจากมีการใช้กำลังการผลิตในอัตราสูง อาทิ เยื่อกระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมต้นน้ำที่เกี่ยวเนื่องกับปิโตรเลียม ขณะที่การก่อสร้างภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้นในบางกลุ่ม อาทิ ที่อยู่อาศัย และการต่อเติม/ซ่อมแซมอาคารและที่พัก ซึ่งเป็นผลจากนโยบายสนับสนุนสินเชื่อที่อยู่อาศัยของทางการ
การเร่งใช้จ่ายภาครัฐมีความจำเป็น ต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ และคาดว่าจะสามารถ ส่งผลเชื่อมโยงต่อการฟื้นตัวของการใช้จ่ายภาค เอกชนได้อย่างกว้างขวางในช่วงครึ่งหลังของปี ในช่วงครึ่งแรกของปี การใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวเร่งขึ้นเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน ทั้งการใช้จ่าย ด้านอุปโภคบริโภคของรัฐบาลกลาง และการลงทุนภาครัฐ โดยการใช้จ่ายมีทิศทางเร่งขึ้นในไตรมาสที่ 2 ของปี โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐซึ่งขยายตัวสูงในไตรมาสที่ 2 จากที่หดตัวในไตรมาสแรกเนื่องจากเป็นช่วงผลัดเปลี่ยนของรัฐบาลชุดใหม่ ทั้งนี้ เพื่อให้การใช้จ่ายเป็นไปตามเป้าหมาย และเร่งการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในช่วงครึ่งหลังของปี รัฐบาลจึงเสนอมาตรการเร่งการใช้จ่าย ได้แก่ (1) หน่วยงานและ รัฐวิสาหกิจที่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ตามเป้าหมายจะต้องยกเลิกโครงการนั้นไป โครงการใดที่ยังไม่ได้ จัดซื้อจัดจ้าง และเปิดประมูลจะไม่อนุญาตให้กันเงินไว้จ่ายสำหรับโครงการที่ได้ทำสัญญาแล้วสามารถกันเงินไว้จ่ายได้ แต่จะต้องถูกลดงบประมาณลงในปี ต่อมา (2) หน่วยงานใดที่สามารถเบิกจ่ายได้ตาม เป้าหมายจะได้รับเงินโบนัส 1 เดือนในช่วงการประเมินผลงานประจำปี และ (3) รัฐวิสาหกิจใดที่เบิกจ่ายได้ตามเป้าหมายและมีประสิทธิภาพจะได้รับเพิ่มงบลงทุน หนี้สาธารณะอยู่ในระดับที่จัดการได้ หนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2544 อยู่ที่ระดับ 2,870.9 พันล้านบาท คิดเป็นประมาณร้อยละ 55.4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
การส่งออก (ในรูปดอลลาร์ สรอ.) ในช่วงครึ่งแรกของปีหดตัวร้อยละ 0.9 จากระยะเดียวกันปีก่อน เนื่องจากการกระจุกตัวของตลาดการส่งออกส่งผลให้ภาคส่งออกรับผลกระทบอย่างมากจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และญี่ปุ่นและเป็นความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้การส่งออก (ในรูปดอลลาร์ สรอ.) ลดลงในเกือบทุกสาขา ยกเว้น สินค้า อุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานสูง และที่ใช้ปัจจัยการผลิตในประเทศ การหดตัวของการส่งออกสินค้าเกษตรและประมงเป็นผลมาจากการหดตัวของราคาเป็นหลัก ขณะที่การหดตัวของการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมมาจากการหดตัวของปริมาณเป็นสำคัญ โดยที่ราคา สินค้าส่งออกอุตสาหกรรมมีการขยายตัว อย่างไร ก็ตามสินค้าส่งออกที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี ได้แก่ แผงวงจรไฟฟ้าและชิ้นส่วน ชิ้นส่วนรถยนต์ อัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม อาหารทะเลกระป๋อง และผลิตภัณฑ์ยาง ทั้งนี้ ขณะที่การส่งออกไปยังสหรัฐฯ หดตัวและตลาดญี่ปุ่น และอาเซียนชะลอตัว การส่งออก ไปยังกลุ่มสหภาพยุโรปขยายตัวดี และเพิ่มสัดส่วนเป็นประมาณร้อยละ 17 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ซึ่งเกือบเท่ากับสัดส่วนการส่งออกในกลุ่มอาเซียน
การนำเข้า (ในรูปดอลลาร์ สรอ.) ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ขยายตัวชะลอลงเป็นร้อยละ 7.2 จากระยะเดียวกันปีก่อน ตามการชะลอตัวของการผลิต และอุปสงค์ในประเทศ โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ การนำเข้าขยายตัวชะลอลงมากใน ทุกหมวดสินค้า โดยเฉพาะสินค้าวัตถุดิบ และสินค้าอุปโภคบริโภค ทั้งนี้ เป็นการหดตัวด้านปริมาณ ร้อยละ 5.6 ขณะที่ราคาขยายตัวค่อนข้างสูงที่ร้อยละ 17.2 จากระยะเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้ จากภาวะการค้า ต่างประเทศที่ชะลอลง ส่งผลให้ดุลการค้าในช่วงครึ่งแรกของปีนี้เกินดุลลดลงมาก
ดุลบัญชีบริการบริจาคเกินดุลลดลงเล็กน้อย ตามแนวโน้มการชะลอลงของรายรับ จากการท่องเที่ยว และรายได้ส่งกลับของแรงงานในต่างประเทศ รายได้จากการท่องเที่ยวยังเป็นปัจจัยหลักของการเกินดุลบัญชีบริการบริจาค และยังคงมีแนวโน้มที่มีศักยภาพอยู่ ซึ่งถือเป็นสาขาสำคัญต่อการส่งผลทางเศรษฐกิจ ขณะที่ภาวะการค้า ต่างประเทศชะลอตัว ด้วยเหตุนี้ดุลบัญชีเดินสะพัดในช่วงครึ่งแรกของปีเกินดุลลดลงเป็น 2.5 พันล้านดอลลาร์ สรอ. จาก 5.0 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในระยะเดียวกันปีก่อน
ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ดุลบัญชี เงินทุนเคลื่อนย้ายขาดดุลตามการชำระคืนหนี้ต่างประเทศของทั้งภาครัฐและเอกชนแต่มีขนาดลดลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน อย่างไร ก็ตามการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศขยายตัว เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยเป็นการลงทุนใน อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า การค้าและบริการเป็นหลัก การชะลอตัวของการขาดดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้าย ส่งผลให้ดุลการชำระเงินขาดดุลลดลงเป็น 0.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. จาก 2.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในช่วงเดียวกันปีก่อน ทำให้เงินสำรองทางการอยู่ ณ ระดับ 31.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นไตรมาสที่ 2
หนี้ต่างประเทศปรับตัวลดลง ต่อเนื่อง ตามการชำระคืนหนี้ของทั้งภาครัฐและ เอกชน โดยเฉพาะหนี้ระยะสั้น ทำให้โครงสร้างของหนี้ระยะยาวต่อหนี้ระยะสั้นเพิ่มขึ้นโดยมีสัดส่วนเป็นร้อยละ 81.1 และ 18.9 ของหนี้ต่างประเทศทั้งหมด ตามลำดับ และสำรองทางการต่อหนี้ระยะสั้นเพิ่มขึ้นเป็น 225.7 เท่าดีขึ้นจาก 222.3 เท่า ณ สิ้นปีก่อน
ภาวะเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ดัชนีราคาสินค้าผู้บริโภคขยายตัวร้อยละ 2.0 ในช่วง ครึ่งแรกของปี 2544 ตามการเพิ่มขึ้นของทั้งราคาอาหารและมิใช่อาหาร ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานขยายตัวเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้มการปรับตัวของราคาน้ำมัน คาดว่าจะไม่ส่งแรงกดดันต่อภาวะเงินเฟ้อในช่วงครึ่งหลังของปี ดังนั้นอัตรา เงินเฟ้อในปีนี้จึงอยู่ภายใต้เป้าหมายที่กำหนด
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืน 14 วัน จากร้อยละ 1.5 เป็นร้อยละ 2.5 ก็เพื่อปรับโครงสร้างของอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นให้เกิดความเหมาะสม ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืน 1 วัน และอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างธนาคารปรับตัวสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากซึ่งเป็นไปตามกลไกลตลาด อย่างไรก็ตาม จากภาวะสภาพคล่องสูงในระบบ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินฝาก-เงินกู้คงอยู่ที่ระดับเดิมที่ ร้อยละ 2.5 และ 7.375 ต่อปีตามลำดับ
ปริมาณเงินขยายตัวต่อเนื่องจากครึ่งหลังของปีก่อน ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ขยายตัวชะลอลงในช่วงสิ้นไตรมาสที่ 2 ตามการชะลอตัวของปริมาณเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ ขณะที่ฐานเงินมียอดคงค้างลดลงในช่วงครึ่งแรกของปี เมื่อเทียบกับยอดคงค้าง ณ สิ้นปีก่อน ตามการลดลงของสินเชื่อสุทธิที่ให้กับสถาบันการเงิน โดยส่วนใหญ่จากการที่ ธปท. ลดการให้กู้ยืมผ่านตลาดซื้อคืนพันธบัตร เนื่องจากสถาพคล่องในระบบมีอยู่ค่อนข้างมาก ยอดเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ โดยรวมขยายตัวต่อเนื่องจากครึ่งหลังของปีก่อน ขณะที่สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ที่รวมการตัดหนี้สูญและที่โอนไปยังบริษัทบริหารสินทรัพย์ แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ให้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์หดตัวลงเล็กน้อยจากครึ่งหลังของปีก่อน เนื่องจากมีการระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ การตัดหนี้สูญ และการเรียกคืนสินเชื่อในรอบครึ่งปี สำหรับแหล่งเงินทุนจากการออกตราสารหนี้ มีการชะลอตัวในช่วงปลายไตรมาสที่ 2 จากแนวโน้มต้นทุนกู้ยืมที่สูงขึ้น
อัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยระหว่างบาทและดอลลาร์ สรอ. ในช่วงครึ่งแรกของปีอ่อนตัวลงร้อยละ 2.8 เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคมของปีก่อน โดยมีการอ่อนตัวลงมากในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี ตามภาวะการอ่อนตัวของค่าเงินในภูมิภาค แต่ได้ปรับตัวมีเสถียรภาพดีขึ้นในช่วงสิ้นไตรมาสที่ 2 ตามแนวทางนโยบายการเงินที่มุ่งให้เกิดเสถียรภาพของค่าเงินที่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของภาคธุรกิจจากแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ชะลอลง ทางการจำเป็นต้องประสานการดำเนินนโยบายการเงินและการคลังให้สอดคล้องกันเพื่อสร้างเสถียรภาพในระบบเศรษฐกิจและกระจายความเจริญอย่างทั่วถึง ควบคู่ไปกับเร่งปรับโครงสร้างการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพการแข่งขัน ทั้งด้านเทคโนโลยี และทรัพยากรมนุษย์ เพื่อรองรับการขยายตัวอย่างยั่งยืน
นโยบายการเงินยังคงมุ่งรักษา เสถียรภาพของราคาตามกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ ควบคู่ไปกับการรักษาเสถียรภาพด้านต่างประเทศตามระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบมีการจัดการ เพื่อสนับสนุนให้ภาคเศรษฐกิจจริงจัดการได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พร้อมทั้งเร่งให้เกิดความคืบหน้าของการปรับโครงสร้างภาคการเงิน และพัฒนาตลาดทุน
นโยบายการคลังมุ่งเน้นความยั่งยืนทางการคลัง โดยในระยะสั้นยังคงเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจจากการใช้จ่าย และเมื่อเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่งจะดำเนินนโยบายการคลังให้กลับเข้าสู่สมดุล ซึ่งในระหว่างนั้นจะจำกัดหนี้ภาครัฐไม่ให้เกินร้อยละ 60 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และดูแลภาระการชำระหนี้ในงบประมาณไม่ให้สูงกว่าร้อยละ 16 ของงบประมาณ
สำหรับในปี 2545 ได้จัดตั้งงบประมาณจำนวน 1,023 พันล้านบาท คิดเป็นงบประมาณขาดดุล 200 พันล้านบาทหรือประมาณร้อยละ 3.8 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ มีเป้าหมายสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ สร้างความสามารถในการแข่งขัน ควบคู่ไปกับการลดการพึ่งพาเศรษฐกิจต่างประเทศ ซึ่งจำเป็นจะต้องปรับโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ โดยเน้นการเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจต่างประเทศอย่างรู้เท่าทัน และพัฒนาเศรษฐกิจที่ใช้ความรู้ความสามารถในประเทศมากขึ้น ซึ่งหมายถึงการพัฒนาความแข็งแกร่งของระดับรากหญ้าและธุรกิจขนาดกลางและย่อม พัฒนาและเพิ่มมูลค่าของผลผลิต ปรับปรุงประสิทธิภาพด้านเทคโนโลยีและแรงงาน ตลอดจนพัฒนาการศึกษาพื้นฐาน
ทั้งนี้ เพื่อสนับสนุนให้ภาคการเงินและระบบเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่งและดำเนินกิจกรรมได้อย่างปกติ รัฐบาลจึงเร่งให้เกิดความคืบหน้า ในการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ไทย รวมทั้งเน้นการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพและปฏิบัติได้จริง ตลอดจนเร่งขบวนการด้านกฎหมาย และการร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างองค์กร อาทิ ขบวนการบังคับตามพระราชบัญญัติล้มละลาย และการเร่งจัดทำกฎหมายหลักประกันและการบังคับหลักประกัน ควบคู่ไปกับการพัฒนาตลาดทุน นอกจากนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายการคลังที่มุ่งพัฒนาความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ จึงได้กำหนดนโยบายการเงินที่สนับสนุนการขยายตัวของธุรกิจขนาดกลางและย่อม ธุรกิจชุมชน
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-