เมื่อเวลา 12.00 น. วันนี้ (2 ก.พ. 48) พรรคประชาธิปัตย์ ได้จัดงานเสวนาในหัวข้อ ‘ ชำแหละเศรษฐกิจไทยปี 48 จากอดีตสู่อนาคต ...นโยบายเศรษฐกิจกับธุรกิจการเมือง’ โดย ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี นายเกียรติ์ สิทธีอมร นายอัมรินทร์ คอน์มันห์ นายประชัย เลี่ยวไพรรัตน์ นายประสงค์ สุ่นศิริ
ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในการเสวนาว่า นโยบายด้านเศรฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์แตกต่างจากพรรคไทยรักไทย เพราพรรคไทยรักไทยมีนโยบายหลักด้านเศรษฐกิจ คือเพื่อการเติบโตของเลขเศรษฐกิจ เพื่อเป้าหมายประชาชนิยม โดยไม่คำนึงถึงพื้นฐานความเป็นจริง ทำให้ประชาชนมีหนี้สินเพิ่มขึ้น ทำให้สังคมอ่อนแอ ส่วนพรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายพัฒนาทรพยากรที่มีอยู่ให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้น ขณะนี้ไม่มีความจำเป็นต้องขายรรัฐวิสาหกิจ โดยพรรคมีนโยบายไม่แปรรูปรัฐวิสาหกิจ และเน้นการพัฒนาทรัพยากรที่มีอยู่เป็นหลัก เพราะหากแปรรูปรัฐวิสหกิจแล้ว นายทุนก็อาจจะเข้าซื้อรัฐวิสหกิจดังกล่าวไป
‘สิ่งที่รัฐบาลไทยรักไทยทำนโยบายเอื้ออาทร จนประชาชนต้องเป็นหนี้ แต่ประชาชนจะมีความสามารถในการชำระหนี้คืนได้น้อย เกิดภาวะ NPL สูงมาก’
นายเกียรติ์ สิทธีอมร คณะทำงานด้านเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเสวนาว่า 3-4 ปีที่ผ่านมามีหลายโครงการข องภาครัฐ เช่น กรุงเทพเมืองแฟร์ชั่น ซึ่งมีที่มาจากข้อเสนอของภาคธุรกิจสิ่งทอเสนอให้มีการปรับโครงสร้างโดยใช้งบ 2,000 กว่า แต่คนในรัฐบาลมีแนวความคิดลงทุนเพียง 800 ล้านบาท แต่เป็นคนละวิธี เป็นเพียงแนวทางการจัดงานแล้วไม่คุ้มค่ากับเงินที่ลงไป
ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องทบทวนและแก้ไข ซึ่งนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ วางไว้ชัดเจนว่าต้องมีการวิจัยพัฒนาให้มีรายได้ให้ถึง 6 หมื่นล้านต่อปี และหากพรรคประชาธิปัตย์ได้จัดตั้งรัฐบาลงานด้านเศรษฐกิจเรื่องแรกคือการทบทวนการเปิดการค้าเสรีทุกรายการ โดยเฉพาะในส่วนที่ทำให้เกษตรไทยได้รับผลกระทบ ส่วนอีกเรื่องหนึ่งคือดูแลการค้าปลีก เพื่อดูแลผู้ค้ารายย่อย และเพื่อให้รายย่อยและรายใหญ่อยู่ด้วยกันอย่างเป็นธรรม
นาย ประมวล มณีโชติ กล่าวเสวนาว่าเรื่องของโทรศัพท์ตามบ้านต้องมีค่าดูแลสายเดือนละ 300 บาท และโทรศัพท์มือถือซึ่งไม่มีสายแต่กลับต้องรับภาระเดือนละ 500บาท ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องกำหนดกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนซึ่งอย่างน้อยน่าจะปรับลงเท่าต้นทุนได้ เพราะกำไรแต่ละปีมีกำไรมโหราฬ โดยต้องมีกลไกการแข่งขันที่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการ
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริอดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีกล่าว ว่าเท่าที่เคยทำงานเป็นข้าราชการประจำและข้าราชการเมืองมาพบว่า 4 ปีที่ผ่านมาประเทศชาติมีความบอบช้ำและเสียหายมากที่สุดเกิดความเสื่อมทุกวงการโดยเฉพาะเศรษฐกิจมีการเอาเงินหลวงไปแจกเพื่อหาเสียงและเท่าที่ได้คลุกคลีกับวงการความมั่นคงมาพบว่าปัญหาเรื่องภาคใต้หากผู้บริหารชุดนี้ยังบริหารต่อไปนายกฯยังใช้พละกำลังในการแก้ปัญหาภาคใต้และละเลยเรื่องความยุติธรรม ขอให้เตรียมใจไว้ได้เลย
อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการลอยตัวค่าเงินบาทในปี 2540ด้วยว่า ในหนังสือ ‘บันทึกลับ 2540’ของพล.อ.ชวลิตยงใจยุทธรองนายกรัฐมนตรีไม่ได้เขียนว่ามีใครได้ผลประโยชน์มหาศาลจากการลอยตัวค่าบาทหรือที่เรียกว่า อินไซเดอร์ แต่ในหนังสือเรียกว่า ‘พวกรู้ไส้” รู้ว่าจะลอยตัวเมื่อใดแต่ตนเองมีชื่อหมดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นใครรวมถึงรัฐมนตรีบางคนที่เป็นกรรมการในบริษัทธุรกิจสื่อสารได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีเมื่อวันที่21มิ.ย. 2540 จากนั้น วันที่26มิ.ย.เรียกประชุมเรื่องเงินบาท วันที่ 29 มิ.ย.แจ้งให้พล.อ.ชวลิตในฐานะนายกรัฐมนตรีรับทราบซึ่งควรจะลอยตัวค่าเงินบาทในวันที่30 มิ.ย.แต่กลับประกาศในวันที่ 2 ก.ค.
น.ต.ประสงค์กล่าวว่าไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนต้องการให้ตรวจสอบว่าใครได้ประโยชน์ขอให้ตรวจสอบที่ประเทศสิงคโปร์ว่ามีใครเปิดบัญชีที่นั่นทั้งก่อนหน้าและตอนปลายเดือนมิถุนายน2540โดยเฉพาะระหว่างธนาคารระหว่างประเทศซึ่งทุกอย่างมีหลักฐานอยู่เขารู้การลอยตัวค่าเงินบาทล่วงหน้าซึ่งคำว่าโอกาสเป็นคำที่ดีแต่การฉวยโอกาสจากวิกฤตของประเทศเป็นเรื่องน่าเศร้า
น.ต.ประสงค์ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมกรณีที่ระบุว่าพร้อมจะออกค่าตั๋วเครื่องบินให้ไปตรวจหลักฐานผู้ที่ได้ประโยชน์จากวิกฤติเศรษฐกิจในปี2540ว่าในเรื่องการฉกฉวยผลประโยชน์ในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540และมีบุคคลบางกลุ่มบางพวกได้ประโยชน์จากการลอยตัวค่าเงินบาทนั้นได้พูดไว้แล้วว่า หากรัฐบาลจะตรวจสอบเรื่องนี้ขอให้ตรวจสอบที่ประเทศสิงคโปร์ว่ามีใครเปิดบัญชีที่นั่นทั้งก่อนหน้าและตอนปลายเดือนมิถุนายน 2540และขอให้ตรวจสอบทุกคนที่เกี่ยวข้อง
‘ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนผมอยากขอให้ตรวจสอบ ถ้ารัฐบาลชุดนี้จะเข้ามาบริหารก็ต้องตรวจสอบถ้าหากว่ารัฐบาลชุดใหม่เข้ามาก็ต้องตรวจสอบรัฐบาลไหนอยากจะตรวจสอบข้อมูลอย่างไรผมคิดว่าอยู่ในวิสัยที่รัฐบาลซึ่งมีอำนาจทางการเมืองและมีความสัมพันธ์กับประเทศที่เกี่ยวข้องก็คงจะสามารถตรวจสอบได้โดยเฉพาะระหว่างธนาคารระหว่างประเทศซึ่งทุกอย่างมีหลักฐานอยู่ เขารู้การลอยตัวค่าเงินบาทล่วงหน้าเลยเอาเงินไปซื้อดอลล่าร์ซึ่งแค่เอาความลับมาเปิดเผยก็ผิดอยู่แล้วผมถือว่าการฉวยโอกาสหาผลประโยชน์เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมผิดจริยธรรมและคุณธรรมและต้องตรวจสอบดูว่าหลังจากวันนี้ใครคือผู้ได้ประโยชน์ใครเสียประโยชน์ แค่นี้ก็รู้ตัวแล้ว’ น.ต.ประสงค์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนจะหวังได้อย่างไรว่ารัฐบาลที่เข้ามาใหม่จะตรวจสอบนั้นน.ต.ประสงค์ กล่าวว่า ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมารู้สึกหมดหวังเรื่องกระบวนการตรวจสอบแต่หากวันข้างหน้าแก้ไขใหม่ ก็คงให้อภัยได้แต่ยังคิดว่าไม่น่าจะมีการแก้ไขนอกจากผู้เข้าบริหารประเทศเป็นอำนาจชุดใหม่เข้ามาจึงจะแก้ไขได้
น.ต.ประสงค์ กล่าวด้วยว่าอีกประมาณ 1-2วันจะเปิดตัวหนังสือ “รู้ทันกังฉิน”มีความหนาประมาณ280 หน้าโดยเนื้อหาจะเป็นการเปิดเผยถึงพฤติกรรมของคนโกงว่าทำกันอย่างไรและจุดจบของคนโกงเป็นอย่างไร
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 2 ก.พ. 2548--จบ--
-ดท-
ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในการเสวนาว่า นโยบายด้านเศรฐกิจของพรรคประชาธิปัตย์แตกต่างจากพรรคไทยรักไทย เพราพรรคไทยรักไทยมีนโยบายหลักด้านเศรษฐกิจ คือเพื่อการเติบโตของเลขเศรษฐกิจ เพื่อเป้าหมายประชาชนิยม โดยไม่คำนึงถึงพื้นฐานความเป็นจริง ทำให้ประชาชนมีหนี้สินเพิ่มขึ้น ทำให้สังคมอ่อนแอ ส่วนพรรคประชาธิปัตย์มีนโยบายพัฒนาทรพยากรที่มีอยู่ให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้น ขณะนี้ไม่มีความจำเป็นต้องขายรรัฐวิสาหกิจ โดยพรรคมีนโยบายไม่แปรรูปรัฐวิสาหกิจ และเน้นการพัฒนาทรัพยากรที่มีอยู่เป็นหลัก เพราะหากแปรรูปรัฐวิสหกิจแล้ว นายทุนก็อาจจะเข้าซื้อรัฐวิสหกิจดังกล่าวไป
‘สิ่งที่รัฐบาลไทยรักไทยทำนโยบายเอื้ออาทร จนประชาชนต้องเป็นหนี้ แต่ประชาชนจะมีความสามารถในการชำระหนี้คืนได้น้อย เกิดภาวะ NPL สูงมาก’
นายเกียรติ์ สิทธีอมร คณะทำงานด้านเศรษฐกิจพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเสวนาว่า 3-4 ปีที่ผ่านมามีหลายโครงการข องภาครัฐ เช่น กรุงเทพเมืองแฟร์ชั่น ซึ่งมีที่มาจากข้อเสนอของภาคธุรกิจสิ่งทอเสนอให้มีการปรับโครงสร้างโดยใช้งบ 2,000 กว่า แต่คนในรัฐบาลมีแนวความคิดลงทุนเพียง 800 ล้านบาท แต่เป็นคนละวิธี เป็นเพียงแนวทางการจัดงานแล้วไม่คุ้มค่ากับเงินที่ลงไป
ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องทบทวนและแก้ไข ซึ่งนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ วางไว้ชัดเจนว่าต้องมีการวิจัยพัฒนาให้มีรายได้ให้ถึง 6 หมื่นล้านต่อปี และหากพรรคประชาธิปัตย์ได้จัดตั้งรัฐบาลงานด้านเศรษฐกิจเรื่องแรกคือการทบทวนการเปิดการค้าเสรีทุกรายการ โดยเฉพาะในส่วนที่ทำให้เกษตรไทยได้รับผลกระทบ ส่วนอีกเรื่องหนึ่งคือดูแลการค้าปลีก เพื่อดูแลผู้ค้ารายย่อย และเพื่อให้รายย่อยและรายใหญ่อยู่ด้วยกันอย่างเป็นธรรม
นาย ประมวล มณีโชติ กล่าวเสวนาว่าเรื่องของโทรศัพท์ตามบ้านต้องมีค่าดูแลสายเดือนละ 300 บาท และโทรศัพท์มือถือซึ่งไม่มีสายแต่กลับต้องรับภาระเดือนละ 500บาท ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องกำหนดกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนซึ่งอย่างน้อยน่าจะปรับลงเท่าต้นทุนได้ เพราะกำไรแต่ละปีมีกำไรมโหราฬ โดยต้องมีกลไกการแข่งขันที่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการ
น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริอดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีกล่าว ว่าเท่าที่เคยทำงานเป็นข้าราชการประจำและข้าราชการเมืองมาพบว่า 4 ปีที่ผ่านมาประเทศชาติมีความบอบช้ำและเสียหายมากที่สุดเกิดความเสื่อมทุกวงการโดยเฉพาะเศรษฐกิจมีการเอาเงินหลวงไปแจกเพื่อหาเสียงและเท่าที่ได้คลุกคลีกับวงการความมั่นคงมาพบว่าปัญหาเรื่องภาคใต้หากผู้บริหารชุดนี้ยังบริหารต่อไปนายกฯยังใช้พละกำลังในการแก้ปัญหาภาคใต้และละเลยเรื่องความยุติธรรม ขอให้เตรียมใจไว้ได้เลย
อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการลอยตัวค่าเงินบาทในปี 2540ด้วยว่า ในหนังสือ ‘บันทึกลับ 2540’ของพล.อ.ชวลิตยงใจยุทธรองนายกรัฐมนตรีไม่ได้เขียนว่ามีใครได้ผลประโยชน์มหาศาลจากการลอยตัวค่าบาทหรือที่เรียกว่า อินไซเดอร์ แต่ในหนังสือเรียกว่า ‘พวกรู้ไส้” รู้ว่าจะลอยตัวเมื่อใดแต่ตนเองมีชื่อหมดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นใครรวมถึงรัฐมนตรีบางคนที่เป็นกรรมการในบริษัทธุรกิจสื่อสารได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีเมื่อวันที่21มิ.ย. 2540 จากนั้น วันที่26มิ.ย.เรียกประชุมเรื่องเงินบาท วันที่ 29 มิ.ย.แจ้งให้พล.อ.ชวลิตในฐานะนายกรัฐมนตรีรับทราบซึ่งควรจะลอยตัวค่าเงินบาทในวันที่30 มิ.ย.แต่กลับประกาศในวันที่ 2 ก.ค.
น.ต.ประสงค์กล่าวว่าไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนต้องการให้ตรวจสอบว่าใครได้ประโยชน์ขอให้ตรวจสอบที่ประเทศสิงคโปร์ว่ามีใครเปิดบัญชีที่นั่นทั้งก่อนหน้าและตอนปลายเดือนมิถุนายน2540โดยเฉพาะระหว่างธนาคารระหว่างประเทศซึ่งทุกอย่างมีหลักฐานอยู่เขารู้การลอยตัวค่าเงินบาทล่วงหน้าซึ่งคำว่าโอกาสเป็นคำที่ดีแต่การฉวยโอกาสจากวิกฤตของประเทศเป็นเรื่องน่าเศร้า
น.ต.ประสงค์ ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมกรณีที่ระบุว่าพร้อมจะออกค่าตั๋วเครื่องบินให้ไปตรวจหลักฐานผู้ที่ได้ประโยชน์จากวิกฤติเศรษฐกิจในปี2540ว่าในเรื่องการฉกฉวยผลประโยชน์ในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540และมีบุคคลบางกลุ่มบางพวกได้ประโยชน์จากการลอยตัวค่าเงินบาทนั้นได้พูดไว้แล้วว่า หากรัฐบาลจะตรวจสอบเรื่องนี้ขอให้ตรวจสอบที่ประเทศสิงคโปร์ว่ามีใครเปิดบัญชีที่นั่นทั้งก่อนหน้าและตอนปลายเดือนมิถุนายน 2540และขอให้ตรวจสอบทุกคนที่เกี่ยวข้อง
‘ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหนผมอยากขอให้ตรวจสอบ ถ้ารัฐบาลชุดนี้จะเข้ามาบริหารก็ต้องตรวจสอบถ้าหากว่ารัฐบาลชุดใหม่เข้ามาก็ต้องตรวจสอบรัฐบาลไหนอยากจะตรวจสอบข้อมูลอย่างไรผมคิดว่าอยู่ในวิสัยที่รัฐบาลซึ่งมีอำนาจทางการเมืองและมีความสัมพันธ์กับประเทศที่เกี่ยวข้องก็คงจะสามารถตรวจสอบได้โดยเฉพาะระหว่างธนาคารระหว่างประเทศซึ่งทุกอย่างมีหลักฐานอยู่ เขารู้การลอยตัวค่าเงินบาทล่วงหน้าเลยเอาเงินไปซื้อดอลล่าร์ซึ่งแค่เอาความลับมาเปิดเผยก็ผิดอยู่แล้วผมถือว่าการฉวยโอกาสหาผลประโยชน์เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมผิดจริยธรรมและคุณธรรมและต้องตรวจสอบดูว่าหลังจากวันนี้ใครคือผู้ได้ประโยชน์ใครเสียประโยชน์ แค่นี้ก็รู้ตัวแล้ว’ น.ต.ประสงค์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อนจะหวังได้อย่างไรว่ารัฐบาลที่เข้ามาใหม่จะตรวจสอบนั้นน.ต.ประสงค์ กล่าวว่า ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมารู้สึกหมดหวังเรื่องกระบวนการตรวจสอบแต่หากวันข้างหน้าแก้ไขใหม่ ก็คงให้อภัยได้แต่ยังคิดว่าไม่น่าจะมีการแก้ไขนอกจากผู้เข้าบริหารประเทศเป็นอำนาจชุดใหม่เข้ามาจึงจะแก้ไขได้
น.ต.ประสงค์ กล่าวด้วยว่าอีกประมาณ 1-2วันจะเปิดตัวหนังสือ “รู้ทันกังฉิน”มีความหนาประมาณ280 หน้าโดยเนื้อหาจะเป็นการเปิดเผยถึงพฤติกรรมของคนโกงว่าทำกันอย่างไรและจุดจบของคนโกงเป็นอย่างไร
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 2 ก.พ. 2548--จบ--
-ดท-