ลิ้นจี่ : คาดว่าราคาจะตกต่ำ
จากการสัมมนาการตลาดลิ้นจี่ ปี 2000 ระหว่างภาคราชการและเอกชนที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 5 เมษายน ที่ผ่านมา ที่ประชุมมีความเห็นว่าผลผลิตลิ้นจี่ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ และพะเยา ซึ่งเป็นแหล่งผลิตที่สำคัญจะมีประมาณ 47,000 ตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 10 และผลผลิตในปีนี้จะออกสู่ตลาดล่ากว่าปกติ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ ร้อยละ 55 ของผลผลิตจะออกสู่ตลาดในช่วงต้นเดือนมิถุนายน ตรงกับลำไยต้นฤดูและทุเรียนภาคตะวันออกกำลังออกสู่ตลาดเช่นกัน นอกจากนี้ตลาดส่งออกหลักของผลไม้ทั้ง 3 ชนิดดังกล่าวยังเป็นตลาดเดียวกัน คือ สาธารณรัฐประชาชนจีนและฮ่องกง รวมทั้งรัฐบาลจีนมีนโยบายควบคุมการใช้จ่ายของประชาชนอย่างเข้มงวด
จากสถานการณ์ดังกล่าว อาจส่งผลให้ราคาลิ้นจี่ที่เกษตรกรได้รับตกต่ำได้ โดยเฉพาะในช่วงผลผลิตออกมาก อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นการเตรียมการแก้ไขปัญหาราคาลิ้นจี่ตกต่ำ ที่ประชุมจึงได้กำหนดแนวทางการส่งเสริมการตลาด โดยให้มีการเชื่อมโยงตกลงซื้อขายผลผลิตลิ้นจี่โดยตรง ระหว่างกลุ่มเกษตรกรกับโรงงานผลไม้กระป๋อง เพื่อให้เกษตรกรได้รับราคาที่สูงขึ้นและส่งเสริมให้มีการกระจายผลผลิตออกสู่ตลาดผู้บริโภคภายในประเทศ เพื่อกระตุ้นให้มีการรับซื้อผลผลิตให้มากยิ่งขึ้น สำหรับแนวทางการดำเนินการดังกล่าว ขณะนี้อยู่ระหว่างนำเสนอคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) เพื่อขอใช้เงินจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (กชก.) ต่อไป ทั้งนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และรายงานให้ทราบเป็นระยะ ๆ ต่อไป
สับปะรดโรงงาน : คาดว่าราคาจะตกต่ำในเดือนพฤษภาคม- มิถุนายน
ศูนย์สารสนเทศการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดคะเนผลผลิตสับปะรดโรงงาน ปี 2543 ว่าจะมีประมาณ 2.304 ล้านตัน ลดลงจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 2.07 แม้ว่าผลผลิตจะลดลงจากปีที่ผ่านมาก็ตาม แต่จะมีการกระจุกตัวในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณ 500,000 ตัน หรือร้อยละ 22 ของผลผลิตทั้งหมด เนื่องจากสภาพภูมิอากาศในช่วงเดือนธันวาคม-มกราคมที่ผ่านมามีอากาศหนาวเย็น นอกจากนี้ผลสับปะรดที่ได้ส่วนใหญ่มีขนาดหัวเล็กและคุณภาพไม่ได้มาตรฐานตามที่โรงงานกำหนด ประกอบกับระยะดังกล่าวจะมีผลไม้ชนิดอื่น ได้แก่ ทุเรียน เงาะ ลิ้นจี่ และลำไย ออกสู่ตลาดเช่นกัน รวมทั้งขณะนี้โรงงานมีสต็อกอยู่จำนวนมาก ซึ่งอาจจะส่งผลให้ราคาในช่วงดังกล่าวตกต่ำ ทำให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อน สำหรับราคาที่เกษตรกรขายได้ขณะนี้กิโลกรัมละ 2.08 บาท เทียบกับต้นทุนการผลิตกิโลกรัมละ 1.80 บาท
ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น เห็นควรเตรียมการแทรกแซงตลาดสับปะรดในช่วงเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนดังเช่นปีที่ผ่านมา โดยให้องค์การคลังสินค้ารับจำนำสับปะรดกระป๋องและน้ำสับปะรดเข้มข้นจากโรงงานแปรรูปที่เข้าร่วมโครงการจากการเข้ารับซื้อสับปะรดจากเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในราคา
กาแฟ : การแทรกแซงตลาดเมล็ดกาแฟ ปี 2542/43 บรรลุเป้าหมาย
ตามที่ได้เกิดปัญหาราคากาแฟตกต่ำ ในช่วงต้นฤดูโดยราคาที่เกษตรกรขายได้เดือนพฤศจิกายน 2542 เฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.82 บาท ลดลงเป็น 28.91 บาท ในเดือนมกราคม2543 ขณะที่ต้นทุนการผลิตเฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.94 บาท ส่งผลให้เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟได้รับความเดือดร้อน จากปัญหาดังกล่าว คณะกรรมการนโยบายและช่วยเหลือเกษตรกร ได้มีมติเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2543 ให้ดำเนินโครงการแทรกแซงเมล็ดกาแฟฤดูการผลิตปี 2542/43 โดยกำหนดราคาเป้าหมายนำกิโลกรัมละ 34.00 บาท จำนวน 20,000 ตัน ให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) ดำเนินการรับจำนำในราคา 32.30 บาท (ร้อยละ 95 ของราคาเป้าหมายนำ) โดยดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม - 31 มีนาคม 2543
ผลการดำเนินการโครงการแทรกแซงราคาเมล็ดกาแฟ ฤดูการผลิตปี 2542/43 ของ อคส. ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคมถึงวันที่ 10 เมษายน 2543 ปรากฏว่า อคส. ได้รับจำนำกาแฟจากเกษตรกรได้จำนวน 16,985 ตัน หรือร้อยละ 85 ของจำนวนเป้าหมาย มูลค่า 548.62 ล้านบาท ส่วนการช่วยเหลือเกษตรกรที่มีกาแฟไม่ได้มาตรฐาน คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและติดตามการดำเนินการแทรกแซงตลาดเมล็ดกาแฟฤดูการผลิต 2542/43 ได้มีมติให้ อคส. ประสานงานกับสถาบันเกษตรกร และผู้ส่งออกกาแฟรับซื้อกาแฟจากเกษตรกรในราคากิโลกรัมละ 25.00 บาท จำนวน 5,000 ตัน ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ 23 มีนาคม ถึง 18 เมษายน 2543 ซึ่งผลการดำเนินการรับซื้อเมล็ดกาแฟตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม - 18 เมษายน 2543 ได้จำนวน 1,293 ตัน มูลค่า 32.32 ล้านบาท
--รายงานสถานการณ์สินค้าเกษตรประจำวันที่ 17 - 23 เม.ย. 2543--
-สส-
จากการสัมมนาการตลาดลิ้นจี่ ปี 2000 ระหว่างภาคราชการและเอกชนที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 5 เมษายน ที่ผ่านมา ที่ประชุมมีความเห็นว่าผลผลิตลิ้นจี่ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ และพะเยา ซึ่งเป็นแหล่งผลิตที่สำคัญจะมีประมาณ 47,000 ตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 10 และผลผลิตในปีนี้จะออกสู่ตลาดล่ากว่าปกติ โดยเฉพาะในจังหวัดเชียงใหม่ ร้อยละ 55 ของผลผลิตจะออกสู่ตลาดในช่วงต้นเดือนมิถุนายน ตรงกับลำไยต้นฤดูและทุเรียนภาคตะวันออกกำลังออกสู่ตลาดเช่นกัน นอกจากนี้ตลาดส่งออกหลักของผลไม้ทั้ง 3 ชนิดดังกล่าวยังเป็นตลาดเดียวกัน คือ สาธารณรัฐประชาชนจีนและฮ่องกง รวมทั้งรัฐบาลจีนมีนโยบายควบคุมการใช้จ่ายของประชาชนอย่างเข้มงวด
จากสถานการณ์ดังกล่าว อาจส่งผลให้ราคาลิ้นจี่ที่เกษตรกรได้รับตกต่ำได้ โดยเฉพาะในช่วงผลผลิตออกมาก อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นการเตรียมการแก้ไขปัญหาราคาลิ้นจี่ตกต่ำ ที่ประชุมจึงได้กำหนดแนวทางการส่งเสริมการตลาด โดยให้มีการเชื่อมโยงตกลงซื้อขายผลผลิตลิ้นจี่โดยตรง ระหว่างกลุ่มเกษตรกรกับโรงงานผลไม้กระป๋อง เพื่อให้เกษตรกรได้รับราคาที่สูงขึ้นและส่งเสริมให้มีการกระจายผลผลิตออกสู่ตลาดผู้บริโภคภายในประเทศ เพื่อกระตุ้นให้มีการรับซื้อผลผลิตให้มากยิ่งขึ้น สำหรับแนวทางการดำเนินการดังกล่าว ขณะนี้อยู่ระหว่างนำเสนอคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) เพื่อขอใช้เงินจากกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (กชก.) ต่อไป ทั้งนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และรายงานให้ทราบเป็นระยะ ๆ ต่อไป
สับปะรดโรงงาน : คาดว่าราคาจะตกต่ำในเดือนพฤษภาคม- มิถุนายน
ศูนย์สารสนเทศการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดคะเนผลผลิตสับปะรดโรงงาน ปี 2543 ว่าจะมีประมาณ 2.304 ล้านตัน ลดลงจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 2.07 แม้ว่าผลผลิตจะลดลงจากปีที่ผ่านมาก็ตาม แต่จะมีการกระจุกตัวในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณ 500,000 ตัน หรือร้อยละ 22 ของผลผลิตทั้งหมด เนื่องจากสภาพภูมิอากาศในช่วงเดือนธันวาคม-มกราคมที่ผ่านมามีอากาศหนาวเย็น นอกจากนี้ผลสับปะรดที่ได้ส่วนใหญ่มีขนาดหัวเล็กและคุณภาพไม่ได้มาตรฐานตามที่โรงงานกำหนด ประกอบกับระยะดังกล่าวจะมีผลไม้ชนิดอื่น ได้แก่ ทุเรียน เงาะ ลิ้นจี่ และลำไย ออกสู่ตลาดเช่นกัน รวมทั้งขณะนี้โรงงานมีสต็อกอยู่จำนวนมาก ซึ่งอาจจะส่งผลให้ราคาในช่วงดังกล่าวตกต่ำ ทำให้เกษตรกรได้รับความเดือดร้อน สำหรับราคาที่เกษตรกรขายได้ขณะนี้กิโลกรัมละ 2.08 บาท เทียบกับต้นทุนการผลิตกิโลกรัมละ 1.80 บาท
ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น เห็นควรเตรียมการแทรกแซงตลาดสับปะรดในช่วงเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนดังเช่นปีที่ผ่านมา โดยให้องค์การคลังสินค้ารับจำนำสับปะรดกระป๋องและน้ำสับปะรดเข้มข้นจากโรงงานแปรรูปที่เข้าร่วมโครงการจากการเข้ารับซื้อสับปะรดจากเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรในราคา
กาแฟ : การแทรกแซงตลาดเมล็ดกาแฟ ปี 2542/43 บรรลุเป้าหมาย
ตามที่ได้เกิดปัญหาราคากาแฟตกต่ำ ในช่วงต้นฤดูโดยราคาที่เกษตรกรขายได้เดือนพฤศจิกายน 2542 เฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.82 บาท ลดลงเป็น 28.91 บาท ในเดือนมกราคม2543 ขณะที่ต้นทุนการผลิตเฉลี่ยกิโลกรัมละ 32.94 บาท ส่งผลให้เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟได้รับความเดือดร้อน จากปัญหาดังกล่าว คณะกรรมการนโยบายและช่วยเหลือเกษตรกร ได้มีมติเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2543 ให้ดำเนินโครงการแทรกแซงเมล็ดกาแฟฤดูการผลิตปี 2542/43 โดยกำหนดราคาเป้าหมายนำกิโลกรัมละ 34.00 บาท จำนวน 20,000 ตัน ให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) ดำเนินการรับจำนำในราคา 32.30 บาท (ร้อยละ 95 ของราคาเป้าหมายนำ) โดยดำเนินการตั้งแต่เดือนมกราคม - 31 มีนาคม 2543
ผลการดำเนินการโครงการแทรกแซงราคาเมล็ดกาแฟ ฤดูการผลิตปี 2542/43 ของ อคส. ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคมถึงวันที่ 10 เมษายน 2543 ปรากฏว่า อคส. ได้รับจำนำกาแฟจากเกษตรกรได้จำนวน 16,985 ตัน หรือร้อยละ 85 ของจำนวนเป้าหมาย มูลค่า 548.62 ล้านบาท ส่วนการช่วยเหลือเกษตรกรที่มีกาแฟไม่ได้มาตรฐาน คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและติดตามการดำเนินการแทรกแซงตลาดเมล็ดกาแฟฤดูการผลิต 2542/43 ได้มีมติให้ อคส. ประสานงานกับสถาบันเกษตรกร และผู้ส่งออกกาแฟรับซื้อกาแฟจากเกษตรกรในราคากิโลกรัมละ 25.00 บาท จำนวน 5,000 ตัน ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ 23 มีนาคม ถึง 18 เมษายน 2543 ซึ่งผลการดำเนินการรับซื้อเมล็ดกาแฟตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม - 18 เมษายน 2543 ได้จำนวน 1,293 ตัน มูลค่า 32.32 ล้านบาท
--รายงานสถานการณ์สินค้าเกษตรประจำวันที่ 17 - 23 เม.ย. 2543--
-สส-