นายพิษณุ เหรียญมหาสาร รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ได้เปิดเผยเกี่ยวกับกรณีข่าวการระบายข้าวในสต๊อกขององค์การคลังสินค้าว่า การดำเนินการเป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าว (กนข.) ที่ได้ให้ความเห็นชอบให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) ดำเนินโครงการรับจำนำข้าวสาร ในฤดูการผลิตปี 2542/43 พร้อมกับได้กำหนดแนวทางการระบายข้าวที่หลุดการจำนำออกสู่ตลาด ใน 3 แนวทาง คือ 1.ขายภายในประเทศให้แก่ผู้ส่งออกเพื่อนำไปส่งออกต่อไป 2.ขายไปตลาดต่างประเทศ โดยกรมการค้าต่างประเทศ หรือ อคส. และ3.เก็บไว้ในสต๊อกต่อไปอีกระยะหนึ่ง แต่ต้องระวังมิให้ข้าวเสื่อมคุณภาพด้วย
“ในการดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว อคส. ได้ดำเนินการรับจำนำข้าวเป็นปริมาณทั้งหมด 700,994 ตัน จนถึงขณะนี้ได้ระบายโดยขายให้แก่ผู้ส่งออกเพื่อนำไปส่งออกแล้ว 141,783 ตัน จึงยังคงเหลือ 559,211 ตัน และเพื่อระบายข้าวจำนวนคงเหลือดังกล่าวไปยังต่างประเทศ กรมการค้าต่างประเทศ และ อคส. ได้ร่วมมือในการหาตลาดต่างประเทศมาโดยตลอด ซึ่งในกรณีขายข้าวแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล กนข. ได้กำหนดให้กรมการค้าต่างประเทศทำหน้าที่เป็นผู้เจรจาขาย ซึ่งหากเจรจาได้ก็จะให้ อคส. เป็นผู้ขายข้าวที่อยู่ในสต๊อกให้แก่รัฐบาลต่างประเทศมาตลอด เช่นการขายข้าวให้รัฐบาลบรูไนและอิหร่าน ส่วนการขายข้าวให้เอกชนต่างประเทศ กรมการค้าต่างประเทศได้สนับสนุนในการประสานและให้คำปรึกษาแก่อคส.ในการเจรจาซื้อกับผู้ซื้อต่างประเทศดังเช่นกรณี มาดากัสการ์ ซึ่ง อคส. กำลังเจรจาอยู่ในขณะนี้” นายพิษณุกล่าว
นายพิษณุกล่าวว่า ในการหาตลาดต่างประเทศในปีที่ผ่านมากรมการค้าต่างประเทศได้จัดคณะผู้แทนการค้าเดินทางไปเจรจาขายข้าวในระดับรัฐบาลต่อรัฐบาลหลายครั้ง อาทิเช่น อินโดนีเซีย 2 ครั้ง ฟิลิปปินส์ 3 ครั้ง จีน เกาหลีเหนือ แอฟริกาใต้ กานา เซเนกัล คิวบา ศรีลังกา และมาดากัสการ์ เป็นต้น นอกจากการเจรจาขายข้าวในรูปแบบรัฐบาลต่อรัฐบาลแล้ว กรมการค้าต่างประเทศยังได้ร่วมกับ อคส. กำหนดกลยุทธ์การขายในลักษณะการค้าต่างตอบแทนกับประเทศต่าง ๆ ด้วย เช่น ฟิลิปปินส์ และบังคลาเทศ แต่เนื่องจากมีข้อจำกัดในตัวสินค้าที่จะซื้อขายไม่ตรงกัน จึงยังมิได้ทำการค้าในลักษณะดังกล่าว
นายพิษณุกล่าวว่า จากภาวะการค้าข้าวในตลาดโลกที่ชะลอตัวลง ในปี 2543 และชะลอตัวลงต่อเนื่องในปี 2544 ประกอบกับประเทศผู้ซื้อแถบเอเซียส่วนใหญ่มีผลผลิตเพิ่มขึ้นทำให้มีการนำเข้าข้าวลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บังคลาเทศ และศรีลังกา ได้ประกาศขึ้นอัตราภาษีนำเข้าข้าวเพื่อกีดกันทางการค้า และไทยยังต้องประสบภาวะการแข่งขันด้านราคาข้าวจากเวียดนามและจีน ซึ่งมีการตัดราคาขายกันอย่างรุนแรง ทำให้การหาตลาดต่างประเทศของภาครัฐดำเนินด้วยความยากลำบาก การขายข้าวจึงขายได้เพียงตลาดประจำ คือ อิหร่าน จำนวน 300,000 ตัน และบรูไน จำนวน 26,000 ตันเท่านั้น
นายพิษณุ กล่าวว่า เพื่อเป็นการเร่งระบายข้าวส่งออกก่อนข้าวนาปรังจะเข้าสู่ตลาด กรมการค้าต่างประเทศได้ขอความร่วมมือสำนักงานพาณิชย์และสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศเร่งติดต่อหาตลาดเพื่อเร่งระบายข้าวในสต๊อก อคส. ดังกล่าว โดยเร็ว อีกทางหนึ่งแล้ว และได้หารือกับ อคส. ในการเตรียมความพร้อมเพื่อระบายข้าวในสต๊อกด้วย สำหรับกรณีตลาดประจำที่สำคัญ คือ อิหร่านและอินโดนีเซีย กรมการค้าต่างประเทศอยู่ระหว่างรอคำตอบกำหนดเวลาที่จะเจรจาซื้อขายต่อไป
“ขณะนี้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อขายข้าวให้กับรัฐบาลฟิลิปปินส์จำนวนประมาณ 1.5 แสนตัน ซึ่งจะทราบผลการเจรจาในวันที่ 9 มีนาคมนี้ หากเจรจาสำเร็จจะระบายข้าวออกไปได้ และจะเหลือข้าวในสต๊อกประมาณ 4 แสนตัน และเมื่อรวมกับการเจรจาขายข้าวให้ฟิลิปปินส์ในส่วนของเอกชนที่คาดว่าจะขายได้อีก 5 หมื่นตัน อคส.จะเหลือข้าวในสต๊อกเพียง 3.5 แสนตัน และนอกจากนี้ทางสำนักงานพาณิชย์ ประจำนิวยอร์ค สหรัฐ แจ้งมาว่ามีโบรคเกอร์จากรัฐคอนเนคติกัต สหรัฐ ต้องการซื้อข้าวที่อคส.มีอยู่ทั้งหมดหากทางอคส.เสนอราคาที่น่าพอใจ ซึ่งหากขายได้จะทำให้เราระบายข้าวในสต๊อกได้ทั้งหมด” นายพิษณุกล่าว
--กรมการค้าต่างประเทศ มีนาคม 2544--
-อน-
“ในการดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว อคส. ได้ดำเนินการรับจำนำข้าวเป็นปริมาณทั้งหมด 700,994 ตัน จนถึงขณะนี้ได้ระบายโดยขายให้แก่ผู้ส่งออกเพื่อนำไปส่งออกแล้ว 141,783 ตัน จึงยังคงเหลือ 559,211 ตัน และเพื่อระบายข้าวจำนวนคงเหลือดังกล่าวไปยังต่างประเทศ กรมการค้าต่างประเทศ และ อคส. ได้ร่วมมือในการหาตลาดต่างประเทศมาโดยตลอด ซึ่งในกรณีขายข้าวแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล กนข. ได้กำหนดให้กรมการค้าต่างประเทศทำหน้าที่เป็นผู้เจรจาขาย ซึ่งหากเจรจาได้ก็จะให้ อคส. เป็นผู้ขายข้าวที่อยู่ในสต๊อกให้แก่รัฐบาลต่างประเทศมาตลอด เช่นการขายข้าวให้รัฐบาลบรูไนและอิหร่าน ส่วนการขายข้าวให้เอกชนต่างประเทศ กรมการค้าต่างประเทศได้สนับสนุนในการประสานและให้คำปรึกษาแก่อคส.ในการเจรจาซื้อกับผู้ซื้อต่างประเทศดังเช่นกรณี มาดากัสการ์ ซึ่ง อคส. กำลังเจรจาอยู่ในขณะนี้” นายพิษณุกล่าว
นายพิษณุกล่าวว่า ในการหาตลาดต่างประเทศในปีที่ผ่านมากรมการค้าต่างประเทศได้จัดคณะผู้แทนการค้าเดินทางไปเจรจาขายข้าวในระดับรัฐบาลต่อรัฐบาลหลายครั้ง อาทิเช่น อินโดนีเซีย 2 ครั้ง ฟิลิปปินส์ 3 ครั้ง จีน เกาหลีเหนือ แอฟริกาใต้ กานา เซเนกัล คิวบา ศรีลังกา และมาดากัสการ์ เป็นต้น นอกจากการเจรจาขายข้าวในรูปแบบรัฐบาลต่อรัฐบาลแล้ว กรมการค้าต่างประเทศยังได้ร่วมกับ อคส. กำหนดกลยุทธ์การขายในลักษณะการค้าต่างตอบแทนกับประเทศต่าง ๆ ด้วย เช่น ฟิลิปปินส์ และบังคลาเทศ แต่เนื่องจากมีข้อจำกัดในตัวสินค้าที่จะซื้อขายไม่ตรงกัน จึงยังมิได้ทำการค้าในลักษณะดังกล่าว
นายพิษณุกล่าวว่า จากภาวะการค้าข้าวในตลาดโลกที่ชะลอตัวลง ในปี 2543 และชะลอตัวลงต่อเนื่องในปี 2544 ประกอบกับประเทศผู้ซื้อแถบเอเซียส่วนใหญ่มีผลผลิตเพิ่มขึ้นทำให้มีการนำเข้าข้าวลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ บังคลาเทศ และศรีลังกา ได้ประกาศขึ้นอัตราภาษีนำเข้าข้าวเพื่อกีดกันทางการค้า และไทยยังต้องประสบภาวะการแข่งขันด้านราคาข้าวจากเวียดนามและจีน ซึ่งมีการตัดราคาขายกันอย่างรุนแรง ทำให้การหาตลาดต่างประเทศของภาครัฐดำเนินด้วยความยากลำบาก การขายข้าวจึงขายได้เพียงตลาดประจำ คือ อิหร่าน จำนวน 300,000 ตัน และบรูไน จำนวน 26,000 ตันเท่านั้น
นายพิษณุ กล่าวว่า เพื่อเป็นการเร่งระบายข้าวส่งออกก่อนข้าวนาปรังจะเข้าสู่ตลาด กรมการค้าต่างประเทศได้ขอความร่วมมือสำนักงานพาณิชย์และสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศเร่งติดต่อหาตลาดเพื่อเร่งระบายข้าวในสต๊อก อคส. ดังกล่าว โดยเร็ว อีกทางหนึ่งแล้ว และได้หารือกับ อคส. ในการเตรียมความพร้อมเพื่อระบายข้าวในสต๊อกด้วย สำหรับกรณีตลาดประจำที่สำคัญ คือ อิหร่านและอินโดนีเซีย กรมการค้าต่างประเทศอยู่ระหว่างรอคำตอบกำหนดเวลาที่จะเจรจาซื้อขายต่อไป
“ขณะนี้อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อขายข้าวให้กับรัฐบาลฟิลิปปินส์จำนวนประมาณ 1.5 แสนตัน ซึ่งจะทราบผลการเจรจาในวันที่ 9 มีนาคมนี้ หากเจรจาสำเร็จจะระบายข้าวออกไปได้ และจะเหลือข้าวในสต๊อกประมาณ 4 แสนตัน และเมื่อรวมกับการเจรจาขายข้าวให้ฟิลิปปินส์ในส่วนของเอกชนที่คาดว่าจะขายได้อีก 5 หมื่นตัน อคส.จะเหลือข้าวในสต๊อกเพียง 3.5 แสนตัน และนอกจากนี้ทางสำนักงานพาณิชย์ ประจำนิวยอร์ค สหรัฐ แจ้งมาว่ามีโบรคเกอร์จากรัฐคอนเนคติกัต สหรัฐ ต้องการซื้อข้าวที่อคส.มีอยู่ทั้งหมดหากทางอคส.เสนอราคาที่น่าพอใจ ซึ่งหากขายได้จะทำให้เราระบายข้าวในสต๊อกได้ทั้งหมด” นายพิษณุกล่าว
--กรมการค้าต่างประเทศ มีนาคม 2544--
-อน-