นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน เปิดเผยว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยมีหนังสือเวียนไปยังธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ผ่อนคลายหลักเกณฑ์การประเมินมูลค่าหลักประกัน
ในการกำหนดหลักเกณฑ์การประเมินมูลค่าหลักประกันของสถาบันการเงินเพื่อใช้ในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และในการคำนวณกันเงินสำรองในปี 2541 นั้น สำหรับลูกหนี้ขนาดใหญ่กำหนดให้สถาบันการเงินจะต้องใช้ผู้ประเมินราคาอิสระภายนอกทันที ส่วนลูกหนี้ขนาดเล็กให้เริ่มใช้ตั้งแต่ ปี 2545 เป็นต้นไป
ลูกหนี้ขนาดใหญ่ หมายถึง ลูกหนี้ที่มีราคาตามบัญชีสูงกว่า 25 ล้านบาท กรณีสถาบัน การเงินที่มีเงินกองทุนน้อยกว่า 8,000 ล้านบาท และลูกหนี้ที่มีราคาตามบัญชีสูงกว่า 50 ล้านบาท กรณีสถาบันการเงินที่มีเงินกองทุนตั้งแต่ 8,000 ล้านบาทขึ้นไป และลูกหนี้ขนาดเล็กข้างต้น หมายถึง ลูกหนี้ที่มีราคาตามบัญชีสูงกว่า 10 ล้านบาท หรือ 20 ล้านบาท กรณีสถาบันการเงินที่มีเงินกองทุนน้อยกว่า 8,000 ล้านบาท หรือตั้งแต่ 8,000 ล้านบาทขึ้นไป ตามลำดับ
อย่างไรก็ดี ขณะนี้สถาบันการเงินส่วนใหญ่ได้ปรับปรุงความสามารถของผู้ประเมินราคาภายในดีขึ้น ประกอบกับหลักเกณฑ์ดังกล่าวบังคับให้สถาบันการเงินทุกแห่ง ต้องจัดให้มีคณะกรรมการอย่างน้อย 3 คน เพื่อพิจารณาและรับผิดชอบเรื่องนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงเห็นว่า สามารถเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินใช้ผู้ประเมินราคา ภายในมากขึ้น เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย
ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์โดยยกเลิกข้อบังคับให้สถาบันการเงินต้องใช้ผู้ประเมินราคาอิสระภายนอกแหล่งเดียวสำหรับลูกหนี้ขนาดเล็ก
นอกจากนี้ มีปัญหาว่ากรณีที่คณะกรรมการอนุมัติประเมินราคามีความเห็นไม่สอดคล้องกับผู้ประเมินราคาอิสระภายนอก จะมีวิธีปฏิบัติอย่างไร ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงให้เพิ่มเติมหลักเกณฑ์เพื่อความชัดเจนว่า กรณีหลักประกันดังกล่าวเข้าข่ายที่จะต้องใช้ผู้ประเมินราคาอิสระภายนอก คณะกรรมการจะแก้ไขราคาเองไม่ได้ แต่สามารถว่าจ้างผู้ประเมินราคาอิสระภายนอกรายใหม่ที่มีคุณสมบัติ และจะเลือกใช้ราคาใดที่อยู่ระหว่างราคาของทั้งสองรายก็ได้ แต่ต้องแสดงเหตุผลเป็นลายลักษณ์อักษรประกอบไว้
การผ่อนคลายหลักเกณฑ์ดังกล่าว จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของสถาบันการเงิน ทำให้ การปรับโครงสร้างหนี้มีความยืดหยุ่น และเปิดให้คณะกรรมการอนุมัติ ประเมินราคาของสถาบันการเงินสามารถใช้ดุลยพินิจได้ภายในขอบเขตที่รับผิดชอบ โดยไม่เสียหลักการในการกำกับดูแล เพื่อความมั่นคงตามมาตรฐานสากล
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
ในการกำหนดหลักเกณฑ์การประเมินมูลค่าหลักประกันของสถาบันการเงินเพื่อใช้ในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้และในการคำนวณกันเงินสำรองในปี 2541 นั้น สำหรับลูกหนี้ขนาดใหญ่กำหนดให้สถาบันการเงินจะต้องใช้ผู้ประเมินราคาอิสระภายนอกทันที ส่วนลูกหนี้ขนาดเล็กให้เริ่มใช้ตั้งแต่ ปี 2545 เป็นต้นไป
ลูกหนี้ขนาดใหญ่ หมายถึง ลูกหนี้ที่มีราคาตามบัญชีสูงกว่า 25 ล้านบาท กรณีสถาบัน การเงินที่มีเงินกองทุนน้อยกว่า 8,000 ล้านบาท และลูกหนี้ที่มีราคาตามบัญชีสูงกว่า 50 ล้านบาท กรณีสถาบันการเงินที่มีเงินกองทุนตั้งแต่ 8,000 ล้านบาทขึ้นไป และลูกหนี้ขนาดเล็กข้างต้น หมายถึง ลูกหนี้ที่มีราคาตามบัญชีสูงกว่า 10 ล้านบาท หรือ 20 ล้านบาท กรณีสถาบันการเงินที่มีเงินกองทุนน้อยกว่า 8,000 ล้านบาท หรือตั้งแต่ 8,000 ล้านบาทขึ้นไป ตามลำดับ
อย่างไรก็ดี ขณะนี้สถาบันการเงินส่วนใหญ่ได้ปรับปรุงความสามารถของผู้ประเมินราคาภายในดีขึ้น ประกอบกับหลักเกณฑ์ดังกล่าวบังคับให้สถาบันการเงินทุกแห่ง ต้องจัดให้มีคณะกรรมการอย่างน้อย 3 คน เพื่อพิจารณาและรับผิดชอบเรื่องนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงเห็นว่า สามารถเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินใช้ผู้ประเมินราคา ภายในมากขึ้น เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย
ดังนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์โดยยกเลิกข้อบังคับให้สถาบันการเงินต้องใช้ผู้ประเมินราคาอิสระภายนอกแหล่งเดียวสำหรับลูกหนี้ขนาดเล็ก
นอกจากนี้ มีปัญหาว่ากรณีที่คณะกรรมการอนุมัติประเมินราคามีความเห็นไม่สอดคล้องกับผู้ประเมินราคาอิสระภายนอก จะมีวิธีปฏิบัติอย่างไร ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงให้เพิ่มเติมหลักเกณฑ์เพื่อความชัดเจนว่า กรณีหลักประกันดังกล่าวเข้าข่ายที่จะต้องใช้ผู้ประเมินราคาอิสระภายนอก คณะกรรมการจะแก้ไขราคาเองไม่ได้ แต่สามารถว่าจ้างผู้ประเมินราคาอิสระภายนอกรายใหม่ที่มีคุณสมบัติ และจะเลือกใช้ราคาใดที่อยู่ระหว่างราคาของทั้งสองรายก็ได้ แต่ต้องแสดงเหตุผลเป็นลายลักษณ์อักษรประกอบไว้
การผ่อนคลายหลักเกณฑ์ดังกล่าว จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของสถาบันการเงิน ทำให้ การปรับโครงสร้างหนี้มีความยืดหยุ่น และเปิดให้คณะกรรมการอนุมัติ ประเมินราคาของสถาบันการเงินสามารถใช้ดุลยพินิจได้ภายในขอบเขตที่รับผิดชอบ โดยไม่เสียหลักการในการกำกับดูแล เพื่อความมั่นคงตามมาตรฐานสากล
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-