ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ 18 กันยายน 2544 ได้มีมติเห็นชอบกับมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (SMEs) โดยมีรายละเอียดดังนี้
ก.มาตรการด้านภาษีอากร
1.การปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล
ปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับผู้ประกอบการขนาดย่อม เฉพาะกรณีที่ผู้ประกอบการมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่เกิน 5 ล้านบาท ดังนี้
กำไรสุทธิ อัตราภาษี
1 - 1,000,000 บาท 20%
1,000,001 - 3,000,000 บาท 25%
3,000,001 บาทขึ้นไป 30%
สำหรับกรณีมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเกิน 5 ล้านบาทขึ้นไป ยังคงต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 30 ตามปกติ
มาตรการนี้จะช่วยลดภาระภาษีเงินได้ให้กับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกว่าร้อยละ 85 ของรายที่ยื่นแบบเสียภาษีในปัจจุบัน โดยกำหนดให้ใช้บังคับ สำหรับกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีรอบระยะเวลาบัญชีเริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2545 เป็นต้นไป
2.การให้ผู้ประกอบการ SMEs หักค่าเสื่อมราคาเบื้องต้นในอัตราพิเศษ สำหรับทรัพย์สินบางประเภท
เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ SMEs มีการลงทุนในทรัพย์สินบางประเภท โดยสามารถหักค่าใช้จ่ายในรูปค่าเสื่อมราคาได้เร็วขึ้น จึงเห็นควรให้มีการหักค่าเสื่อมราคาเบื้องต้นในปีแรกเป็นกรณีพิเศษ ดังนี้
(1) ทรัพย์สินประเภทคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ซึ่งปัจจุบันกำหนดให้หักค่าเสื่อมราคา ได้ภายในระยะเวลา 5 ปี แต่เพื่อเป็นการสนับสนุนให้มีการใช้ทรัพย์สินประเภทนี้มากขึ้น และมีการกำหนดค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินประเภทดังกล่าวให้สอดคล้องกับอายุการใช้งาน จึงเห็นควรปรับปรุงการหักค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินประเภทนี้ให้หักได้ภายในระยะเวลา 3 ปี สำหรับกรณีทั่วไป และเพื่อเป็นการส่งเสริมกิจการ SMEs จึงกำหนดให้หักค่าเสื่อมราคาเบื้องต้นในปีแรกได้ร้อยละ 40 ส่วนที่เหลือให้ทยอยหักภายในระยะเวลา 3 ปี ฉะนั้นในกรณีที่ SMEs หักค่าเสื่อมราคาด้วยวิธีเส้นตรง จะหักในปีแรกได้เท่ากับร้อยละ 60 ของมูลค่าทรัพย์สิน สำหรับปีที่ 2 และปีที่ 3 จะหักได้อีกปีละร้อยละ 20 ของมูลค่าทรัพย์สิน
(2) ทรัพย์สินประเภทโรงงาน (Plant) ปัจจุบันกำหนดให้หักค่าเสื่อมราคาได้ภายในระยะเวลา 20 ปี แต่เพื่อเป็นการสนับสนุน SMEs จึงเห็นควรกำหนดให้หักค่าเสื่อมราคาเบื้องต้นในปีแรกได้ร้อยละ 25 ของมูลค่าทรัพย์สิน ส่วนที่เหลือให้ทยอยหักภายในระยะเวลา 20 ปี
(3) ทรัพย์สินประเภทเครื่องจักร (Machinery) ปัจจุบันกำหนดให้หักค่าเสื่อมราคาได้ภายในระยะเวลา 5 ปี แต่เพื่อเป็นการสนับสนุน SMEs จึงเห็นควรกำหนดให้หักค่าเสื่อมราคาเบื้องต้นในปีแรกได้ร้อยละ 40 ของมูลค่าทรัพย์สิน ส่วนที่เหลือให้ทยอยหักภายในระยะเวลา 5 ปี
ผู้ประกอบการ SMEs ที่จะมีสิทธิหักค่าเสื่อมราคาเบื้องต้นได้ในอัตราพิเศษตามมาตรการนี้ หมายถึงผู้ประกอบการที่มีทรัพย์สินถาวร (ไม่รวมที่ดิน) ไม่เกิน 200 ล้านบาท และมีการจ้างแรงงานไม่เกิน 200 คน
มาตรการนี้ กำหนดให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
3. การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Venture Capital, VC)
โดยที่ธุรกิจเงินร่วมลงทุน (VC) คือ ธุรกิจที่ระดมทุนจากแหล่งต่างๆ มาเพื่อนำไปลงทุนในกิจการที่มีศักยภาพในการเติบโต ดังนั้นหากสนับสนุนให้ VC เข้าไปลงทุนระยะยาวในธุรกิจ SMEs ให้มากขึ้น ก็จะเป็นการช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งทางด้านเงินทุนให้ SMEs ได้ ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในอนาคต ดังนั้นจึงเห็นควรสนับสนุนให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับธุรกิจนี้ ดังนี้
(1) สิทธิประโยชน์ จำแนกเป็น
(1.1) ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ให้สำหรับรายได้ที่เป็นเงินปันผลหรือผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนหุ้นที่ VC ได้รับ
(1.2) ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินปันผลและผลประโยชน์จากการโอนหุ้น ที่ผู้ลงทุนได้รับจากการลงทุนใน VC
(2) หลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
(2.1) ต้องเป็นบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชน(จำกัด) ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยและมีทุนจดทะเบียนไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาท เรียกชำระครั้งแรกไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง และต้องเรียกชำระทั้งหมดภายใน 3 ปี นับแต่วันจดทะเบียน
(2.2) บริษัทฯ ดังกล่าวต้องเป็นบริษัทที่ได้รับการขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และต้องมอบหมายให้ผู้ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เป็นผู้จัดการเงินลงทุนในการประกอบกิจการของบริษัท
(2.3) ต้องลงทุนใน SMEs ตามสัดส่วนของเงินลงทุนตามที่กำหนด
(2.4) SMEs ที่ VC เข้าไปลงทุนจะต้องมีสินทรัพย์ถาวรไม่เกิน 200 ล้านบาท(ไม่นับรวมที่ดิน) และมีการจ้างแรงงาน ไม่เกิน 200 คน
(2.5) ต้องลงทุนใน SMEs เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 7 ปีต่อเนื่องกัน แต่ระยะเวลาดังกล่าวอาจลดลงเป็นไม่น้อยกว่า 5 ปี หากธุรกิจเงินร่วมลงทุน สามารถนำธุรกิจที่ตนร่วมลงทุน เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือตลาด MAI ได้
มาตรการนี้กำหนดให้มีผลบังคับใช้กับบริษัทฯที่ได้รับการขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ทั้งนี้เฉพาะที่ได้รับการขึ้นทะเบียนภายใน 3 ปี นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ
ข.มาตรการสนับสนุนธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Venture Capital)
เพื่อรองรับมาตรการสนับสนุนธุรกิจเงินร่วมลงทุน นอกจากการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ธุรกิจและผู้ลงทุนในธุรกิจดังกล่าวแล้ว กระทรวงการคลังได้ออกประกาศกระทรวงการคลัง เพื่อกำหนดให้ธุรกิจจัดการเงินร่วมลงทุนที่จัดการเงินร่วมลงทุนของผู้ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทหนึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต.และจะได้ออกกฏกระทรวง เพื่อกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจจัดการเงินร่วมลงทุนต่อไป
ค.ผลกระทบ
(1) กระทรวงการคลังคาดว่ามาตรการในการสนับสนุน SMEs ข้างต้น จะมีส่วนช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs โดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตสินค้าอุตสาหกรรม สินค้าเกษตร ผู้ส่งออก ผู้ให้บริการต่างๆ ผู้ประกอบการขายปลีก ขายส่ง สินค้าโชว์ห่วยรายย่อยทั้งหลายสามารถดำเนินกิจการอย่างมั่นคงมีผลตอบแทนจากการลงทุนสูงขึ้น และมีแหล่งเงินทุนระยะยาวให้ SMEs ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของไทยต่อไปในอนาคตในระยะแรก มาตรการที่เสนออาจทำให้การจัดเก็บรายได้ของภาครัฐลดลงประมาณปีละ 5,200 ล้านบาท แต่ในระยะยาวเมื่อวิสาหกิจเหล่านี้ความเข้มแข็งแล้ว ก็จะเป็นฐานภาษีที่ยั่งยืนและสำคัญภาครัฐในอนาคต
(2) นอกจากนั้นการสนับสนุนธุรกิจเงินร่วมลงทุนหรือ Venture Capital นั้นจะเอื้อประโยชน์ต่อ SMEs ดังนี้
1) เป็นการดึงดูดเงินทุนระยะยาวจากในประเทศและต่างประเทศที่จัดเป็นการลงทุนทางตรง และเป็นผู้ลงทุนประเภทไม่เข้าควบคุมการบริหารงาน อันจะเป็นแหล่งเงินทุนที่สำคัญสำหรับธุรกิจต่างๆ อีกแหล่งหนึ่ง
2) ช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจที่ต้องการเงินทุนจากกองทุนเหล่านี้มีการปรับปรุงการบริหาร การจัดการบริษัทให้มี Good Corporate Governance และเข้าไปแสวงหาเงินทุนระยะยาวของตลาดทุนได้ซึ่งจะเป็นการเพิ่มสินค้าในตลาดทุนอันเป็นการช่วยส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุนในระยะยาวได้อีกทางหนึ่ง
3) ช่วยส่งเสริมธุรกิจใหม่ๆ ที่มีศักยภาพให้สามารถเกิดขึ้นและพัฒนาต่อเนื่องไปได้ อันจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
--ข่าวกระทรวงการคลัง กองกลาง สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 63/2544 18 กันยายน 2544--
-อน-
ก.มาตรการด้านภาษีอากร
1.การปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล
ปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับผู้ประกอบการขนาดย่อม เฉพาะกรณีที่ผู้ประกอบการมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่เกิน 5 ล้านบาท ดังนี้
กำไรสุทธิ อัตราภาษี
1 - 1,000,000 บาท 20%
1,000,001 - 3,000,000 บาท 25%
3,000,001 บาทขึ้นไป 30%
สำหรับกรณีมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วเกิน 5 ล้านบาทขึ้นไป ยังคงต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตราร้อยละ 30 ตามปกติ
มาตรการนี้จะช่วยลดภาระภาษีเงินได้ให้กับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกว่าร้อยละ 85 ของรายที่ยื่นแบบเสียภาษีในปัจจุบัน โดยกำหนดให้ใช้บังคับ สำหรับกำไรสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีรอบระยะเวลาบัญชีเริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2545 เป็นต้นไป
2.การให้ผู้ประกอบการ SMEs หักค่าเสื่อมราคาเบื้องต้นในอัตราพิเศษ สำหรับทรัพย์สินบางประเภท
เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ SMEs มีการลงทุนในทรัพย์สินบางประเภท โดยสามารถหักค่าใช้จ่ายในรูปค่าเสื่อมราคาได้เร็วขึ้น จึงเห็นควรให้มีการหักค่าเสื่อมราคาเบื้องต้นในปีแรกเป็นกรณีพิเศษ ดังนี้
(1) ทรัพย์สินประเภทคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ซึ่งปัจจุบันกำหนดให้หักค่าเสื่อมราคา ได้ภายในระยะเวลา 5 ปี แต่เพื่อเป็นการสนับสนุนให้มีการใช้ทรัพย์สินประเภทนี้มากขึ้น และมีการกำหนดค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินประเภทดังกล่าวให้สอดคล้องกับอายุการใช้งาน จึงเห็นควรปรับปรุงการหักค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินประเภทนี้ให้หักได้ภายในระยะเวลา 3 ปี สำหรับกรณีทั่วไป และเพื่อเป็นการส่งเสริมกิจการ SMEs จึงกำหนดให้หักค่าเสื่อมราคาเบื้องต้นในปีแรกได้ร้อยละ 40 ส่วนที่เหลือให้ทยอยหักภายในระยะเวลา 3 ปี ฉะนั้นในกรณีที่ SMEs หักค่าเสื่อมราคาด้วยวิธีเส้นตรง จะหักในปีแรกได้เท่ากับร้อยละ 60 ของมูลค่าทรัพย์สิน สำหรับปีที่ 2 และปีที่ 3 จะหักได้อีกปีละร้อยละ 20 ของมูลค่าทรัพย์สิน
(2) ทรัพย์สินประเภทโรงงาน (Plant) ปัจจุบันกำหนดให้หักค่าเสื่อมราคาได้ภายในระยะเวลา 20 ปี แต่เพื่อเป็นการสนับสนุน SMEs จึงเห็นควรกำหนดให้หักค่าเสื่อมราคาเบื้องต้นในปีแรกได้ร้อยละ 25 ของมูลค่าทรัพย์สิน ส่วนที่เหลือให้ทยอยหักภายในระยะเวลา 20 ปี
(3) ทรัพย์สินประเภทเครื่องจักร (Machinery) ปัจจุบันกำหนดให้หักค่าเสื่อมราคาได้ภายในระยะเวลา 5 ปี แต่เพื่อเป็นการสนับสนุน SMEs จึงเห็นควรกำหนดให้หักค่าเสื่อมราคาเบื้องต้นในปีแรกได้ร้อยละ 40 ของมูลค่าทรัพย์สิน ส่วนที่เหลือให้ทยอยหักภายในระยะเวลา 5 ปี
ผู้ประกอบการ SMEs ที่จะมีสิทธิหักค่าเสื่อมราคาเบื้องต้นได้ในอัตราพิเศษตามมาตรการนี้ หมายถึงผู้ประกอบการที่มีทรัพย์สินถาวร (ไม่รวมที่ดิน) ไม่เกิน 200 ล้านบาท และมีการจ้างแรงงานไม่เกิน 200 คน
มาตรการนี้ กำหนดให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
3. การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Venture Capital, VC)
โดยที่ธุรกิจเงินร่วมลงทุน (VC) คือ ธุรกิจที่ระดมทุนจากแหล่งต่างๆ มาเพื่อนำไปลงทุนในกิจการที่มีศักยภาพในการเติบโต ดังนั้นหากสนับสนุนให้ VC เข้าไปลงทุนระยะยาวในธุรกิจ SMEs ให้มากขึ้น ก็จะเป็นการช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งทางด้านเงินทุนให้ SMEs ได้ ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในอนาคต ดังนั้นจึงเห็นควรสนับสนุนให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับธุรกิจนี้ ดังนี้
(1) สิทธิประโยชน์ จำแนกเป็น
(1.1) ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ให้สำหรับรายได้ที่เป็นเงินปันผลหรือผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนหุ้นที่ VC ได้รับ
(1.2) ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินปันผลและผลประโยชน์จากการโอนหุ้น ที่ผู้ลงทุนได้รับจากการลงทุนใน VC
(2) หลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี
(2.1) ต้องเป็นบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชน(จำกัด) ที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยและมีทุนจดทะเบียนไม่น้อยกว่า 200 ล้านบาท เรียกชำระครั้งแรกไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง และต้องเรียกชำระทั้งหมดภายใน 3 ปี นับแต่วันจดทะเบียน
(2.2) บริษัทฯ ดังกล่าวต้องเป็นบริษัทที่ได้รับการขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และต้องมอบหมายให้ผู้ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เป็นผู้จัดการเงินลงทุนในการประกอบกิจการของบริษัท
(2.3) ต้องลงทุนใน SMEs ตามสัดส่วนของเงินลงทุนตามที่กำหนด
(2.4) SMEs ที่ VC เข้าไปลงทุนจะต้องมีสินทรัพย์ถาวรไม่เกิน 200 ล้านบาท(ไม่นับรวมที่ดิน) และมีการจ้างแรงงาน ไม่เกิน 200 คน
(2.5) ต้องลงทุนใน SMEs เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 7 ปีต่อเนื่องกัน แต่ระยะเวลาดังกล่าวอาจลดลงเป็นไม่น้อยกว่า 5 ปี หากธุรกิจเงินร่วมลงทุน สามารถนำธุรกิจที่ตนร่วมลงทุน เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือตลาด MAI ได้
มาตรการนี้กำหนดให้มีผลบังคับใช้กับบริษัทฯที่ได้รับการขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ทั้งนี้เฉพาะที่ได้รับการขึ้นทะเบียนภายใน 3 ปี นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ
ข.มาตรการสนับสนุนธุรกิจเงินร่วมลงทุน (Venture Capital)
เพื่อรองรับมาตรการสนับสนุนธุรกิจเงินร่วมลงทุน นอกจากการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่ธุรกิจและผู้ลงทุนในธุรกิจดังกล่าวแล้ว กระทรวงการคลังได้ออกประกาศกระทรวงการคลัง เพื่อกำหนดให้ธุรกิจจัดการเงินร่วมลงทุนที่จัดการเงินร่วมลงทุนของผู้ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทหนึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต.และจะได้ออกกฏกระทรวง เพื่อกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจจัดการเงินร่วมลงทุนต่อไป
ค.ผลกระทบ
(1) กระทรวงการคลังคาดว่ามาตรการในการสนับสนุน SMEs ข้างต้น จะมีส่วนช่วยให้ผู้ประกอบการ SMEs โดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตสินค้าอุตสาหกรรม สินค้าเกษตร ผู้ส่งออก ผู้ให้บริการต่างๆ ผู้ประกอบการขายปลีก ขายส่ง สินค้าโชว์ห่วยรายย่อยทั้งหลายสามารถดำเนินกิจการอย่างมั่นคงมีผลตอบแทนจากการลงทุนสูงขึ้น และมีแหล่งเงินทุนระยะยาวให้ SMEs ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของไทยต่อไปในอนาคตในระยะแรก มาตรการที่เสนออาจทำให้การจัดเก็บรายได้ของภาครัฐลดลงประมาณปีละ 5,200 ล้านบาท แต่ในระยะยาวเมื่อวิสาหกิจเหล่านี้ความเข้มแข็งแล้ว ก็จะเป็นฐานภาษีที่ยั่งยืนและสำคัญภาครัฐในอนาคต
(2) นอกจากนั้นการสนับสนุนธุรกิจเงินร่วมลงทุนหรือ Venture Capital นั้นจะเอื้อประโยชน์ต่อ SMEs ดังนี้
1) เป็นการดึงดูดเงินทุนระยะยาวจากในประเทศและต่างประเทศที่จัดเป็นการลงทุนทางตรง และเป็นผู้ลงทุนประเภทไม่เข้าควบคุมการบริหารงาน อันจะเป็นแหล่งเงินทุนที่สำคัญสำหรับธุรกิจต่างๆ อีกแหล่งหนึ่ง
2) ช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจที่ต้องการเงินทุนจากกองทุนเหล่านี้มีการปรับปรุงการบริหาร การจัดการบริษัทให้มี Good Corporate Governance และเข้าไปแสวงหาเงินทุนระยะยาวของตลาดทุนได้ซึ่งจะเป็นการเพิ่มสินค้าในตลาดทุนอันเป็นการช่วยส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุนในระยะยาวได้อีกทางหนึ่ง
3) ช่วยส่งเสริมธุรกิจใหม่ๆ ที่มีศักยภาพให้สามารถเกิดขึ้นและพัฒนาต่อเนื่องไปได้ อันจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
--ข่าวกระทรวงการคลัง กองกลาง สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 63/2544 18 กันยายน 2544--
-อน-