คุณถาม : OEM คืออะไร
EXIM ตอบ : OEM (Original Equipment Manufacturing) หมายถึง การรับจ้างผลิตสินค้าให้กับบริษัทผู้ว่าจ้างผลิตเพื่อนำไปจำหน่าย
ภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัทผู้ว่าจ้าง สินค้าที่ผลิตจากการจ้างผลิตดังกล่าวเรียกว่าสินค้า OEM ตัวอย่าง เช่น บริษัท
มิตซูมิ (Mitsumi) เป็นผู้รับจ้างผลิต เครื่องอ่าน CD-ROM ให้กับบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ กว่า 10 ราย เพื่อนำไปประกอบ
และจำหน่ายภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัท คอมพิวเตอร์แต่ละราย เป็นต้น อุตสาหกรรมที่ มีการว่าจ้างผลิตสินค้า OEM
เป็นจำนวนมาก ได้แก่ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ยานยนต์ และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ อิเล็กทรอนิกส์ รวมไป
ถึงสินค้าอุปโภคและบริโภค เช่น กระดาษชำระ และสบู่ เป็นต้น
บริษัทผู้รับจ้างผลิตสินค้า OEM ส่วนใหญ่ เป็นโรงงานผลิตขนาดใหญ่ที่ใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักรที่ทันสมัย นอกจากรับจ้างผลิต
สินค้า ภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัทอื่นแล้ว บริษัทผู้รับจ้างผลิตสินค้า OEM อาจทำการผลิตสินค้าชนิดเดียวกันแต่จำหน่าย
ภายใต้เครื่องหมายการค้าของตนเองด้วย นอกจากนี้ บริษัทผู้รับจ้างผลิตสินค้า OEM มักไม่นิยมรับจ้างผลิตสินค้า เฉพาะยี่ห้อใด
ยี่ห้อหนึ่งแต่เพียงยี่ห้อเดียวเพราะผู้รับจ้างผลิตอาจได้รับผลกระทบหากเจ้าของ สินค้าหันไปว่าจ้างผู้ผลิตรายอื่น
สำหรับประเทศไทย การผลิตสินค้า OEM มี อยู่ในเกือบทุกอุตสาหกรรมและเป็นอุตสาหกรรมสนับสนุน (Supporting Industries)
ให้แก่ อุตสาหกรรมอื่นๆ ทั้งอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อ จำหน่ายในประเทศและผลิตเพื่อการส่งออก โดยไทยเป็นฐานการผลิตสินค้า OEM
เพื่อการส่งออกที่สำคัญแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วน รวมทั้งอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า
และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์
คุณถาม : อุตสาหกรรมส่งออกใดของไทยที่พึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศสูงมาก
EXIM ตอบ : อุตสาหกรรมส่งออกสำคัญของไทยที่ยังพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศ อยู่มาก ได้แก่
- คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ
- แผงวงจรไฟฟ้า
- เสื้อผ้าสำเร็จรูป
- ยานพาหนะและส่วนประกอบ
- อาหารทะเลกระป๋อง
- ปลาทูน่ากระป๋อง
- อัญมณีและเครื่องประดับ
หมายเหตุ N.A. ย่อมาจาก Not Applicable = ไม่มีข้อมูล
สินค้าดังกล่าวข้างต้นล้วนเป็นสินค้าส่งออกสำคัญอันดับต้นๆ ของไทย และมีมูลค่าส่งออกรวมกันสูงถึงกว่าร้อยละ 30 ของมูลค่า
ส่งออกทั้งหมด ของไทยในปี 2543 (67,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) การที่สินค้าเหล่านี้มี สัดส่วนการใช้วัตถุดิบนำเข้าในระดับ
สูงทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียเงินตรา ต่างประเทศจำนวนไม่น้อยในการนำเข้าวัตถุดิบเหล่านี้ ในขณะเดียวกัน ยังทำให้ต้นทุน
การผลิตสินค้าส่งออกดังกล่าวมีความอ่อนไหวค่อนข้างมาก ต่อการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน นอกจากนี้ มูลค่าเพิ่ม (value added)
ที่ประเทศไทยได้รับจากการส่งออกสินค้าเหล่านี้ก็น้อยกว่าสินค้าส่งออก อื่นๆ ที่ใช้วัตถุดิบในประเทศในสัดส่วนที่สูงกว่าอีกด้วย
คุณถาม : การเข้าไปลงทุนในเวียดนามต้องติดต่อขออนุญาตกับหน่วยงานใด
EXIM ตอบ : การขออนุญาตลงทุนในเวียดนามมี 2 รูปแบบ แต่ละรูปแบบมีหน่วยงานที่รับผิดชอบการอนุญาตลงทุนแตกต่างกัน นักลงทุนต่างชาติ
จะขออนุญาตลงทุนในรูปแบบใดขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ต่างกัน กล่าวคือ
1. การขอ Registration เป็นการขออนุญาตลงทุนสำหรับโครงการ ลงทุนที่มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้
เป็นโครงการลงทุนขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีมูลค่าเงินลงทุน ไม่เกิน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีสัดส่วนการส่งออกสูงกว่า 80%
ของมูลค่าการผลิต หรือ เป็นโครงการลงทุนที่ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมหรือเขตส่งเสริมการส่งออก และมีสัดส่วนการส่งออกตามที่
กระทรวงการวางแผนและลงทุนของเวียดนาม (Ministry of Planning and Investment : MPI) กำหนด
ทั้งนี้ โครงการที่สามารถขอ Registration ต้องไม่เป็นโครงการลงทุนที่อยู่ในกลุ่ม A ซึ่งได้แก่ โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้า
กิจการเหมืองแร่ โครงการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ โครงการที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมและสิ่งพิมพ์ ศูนย์การค้าและโครงการด้านการท่องเที่ยว ฯลฯ
ผู้ลงทุนสามารถขอ Registration กับคณะกรรมการบริหาร (People's Committee) ของจังหวัดที่ตั้งของโครงการได้ โดยตรง
ซึ่งจะใช้เวลาในการพิจารณาประมาณ 15-30 วัน เมื่อ ได้รับ Registration แล้ว สามารถเริ่มดำเนินการได้ทันที
2. การขอ Investment License เป็นการขออนุญาตลงทุน สำหรับโครงการที่มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้
เป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูง เกิน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ เป็นโครงการลงทุนในกลุ่ม A (ดังกล่าวข้างต้น)
โครงการลงทุนในลักษณะนี้ต้องขอ Investment License จากกระทรวงการวางแผนและลงทุน (MPI) ของเวียดนาม ซึ่งจะใช้เวลาใน
การพิจารณาอนุมัติประมาณ 30-45 วัน โครงการลงทุนที่ได้รับ Investment License แล้ว สามารถเริ่มดำเนินการ ได้ทันที
หากไม่สามารถเริ่มดำเนินการได้ภายใน 1 ปี นับจากวันที่ได้รับอนุมัติการลงทุน ต้องชี้แจงเหตุผลให้ MPI ทราบ
--Exim News ปีที่ 7 ฉบับที่ 6 ประจำเดือนมิถุนายน 2544--
-อน-
EXIM ตอบ : OEM (Original Equipment Manufacturing) หมายถึง การรับจ้างผลิตสินค้าให้กับบริษัทผู้ว่าจ้างผลิตเพื่อนำไปจำหน่าย
ภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัทผู้ว่าจ้าง สินค้าที่ผลิตจากการจ้างผลิตดังกล่าวเรียกว่าสินค้า OEM ตัวอย่าง เช่น บริษัท
มิตซูมิ (Mitsumi) เป็นผู้รับจ้างผลิต เครื่องอ่าน CD-ROM ให้กับบริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ กว่า 10 ราย เพื่อนำไปประกอบ
และจำหน่ายภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัท คอมพิวเตอร์แต่ละราย เป็นต้น อุตสาหกรรมที่ มีการว่าจ้างผลิตสินค้า OEM
เป็นจำนวนมาก ได้แก่ คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ยานยนต์ และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ อิเล็กทรอนิกส์ รวมไป
ถึงสินค้าอุปโภคและบริโภค เช่น กระดาษชำระ และสบู่ เป็นต้น
บริษัทผู้รับจ้างผลิตสินค้า OEM ส่วนใหญ่ เป็นโรงงานผลิตขนาดใหญ่ที่ใช้เทคโนโลยีและเครื่องจักรที่ทันสมัย นอกจากรับจ้างผลิต
สินค้า ภายใต้เครื่องหมายการค้าของบริษัทอื่นแล้ว บริษัทผู้รับจ้างผลิตสินค้า OEM อาจทำการผลิตสินค้าชนิดเดียวกันแต่จำหน่าย
ภายใต้เครื่องหมายการค้าของตนเองด้วย นอกจากนี้ บริษัทผู้รับจ้างผลิตสินค้า OEM มักไม่นิยมรับจ้างผลิตสินค้า เฉพาะยี่ห้อใด
ยี่ห้อหนึ่งแต่เพียงยี่ห้อเดียวเพราะผู้รับจ้างผลิตอาจได้รับผลกระทบหากเจ้าของ สินค้าหันไปว่าจ้างผู้ผลิตรายอื่น
สำหรับประเทศไทย การผลิตสินค้า OEM มี อยู่ในเกือบทุกอุตสาหกรรมและเป็นอุตสาหกรรมสนับสนุน (Supporting Industries)
ให้แก่ อุตสาหกรรมอื่นๆ ทั้งอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อ จำหน่ายในประเทศและผลิตเพื่อการส่งออก โดยไทยเป็นฐานการผลิตสินค้า OEM
เพื่อการส่งออกที่สำคัญแห่งหนึ่งในภูมิภาคเอเชียสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วน รวมทั้งอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า
และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์
คุณถาม : อุตสาหกรรมส่งออกใดของไทยที่พึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศสูงมาก
EXIM ตอบ : อุตสาหกรรมส่งออกสำคัญของไทยที่ยังพึ่งพาวัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศ อยู่มาก ได้แก่
- คอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ
- แผงวงจรไฟฟ้า
- เสื้อผ้าสำเร็จรูป
- ยานพาหนะและส่วนประกอบ
- อาหารทะเลกระป๋อง
- ปลาทูน่ากระป๋อง
- อัญมณีและเครื่องประดับ
หมายเหตุ N.A. ย่อมาจาก Not Applicable = ไม่มีข้อมูล
สินค้าดังกล่าวข้างต้นล้วนเป็นสินค้าส่งออกสำคัญอันดับต้นๆ ของไทย และมีมูลค่าส่งออกรวมกันสูงถึงกว่าร้อยละ 30 ของมูลค่า
ส่งออกทั้งหมด ของไทยในปี 2543 (67,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) การที่สินค้าเหล่านี้มี สัดส่วนการใช้วัตถุดิบนำเข้าในระดับ
สูงทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียเงินตรา ต่างประเทศจำนวนไม่น้อยในการนำเข้าวัตถุดิบเหล่านี้ ในขณะเดียวกัน ยังทำให้ต้นทุน
การผลิตสินค้าส่งออกดังกล่าวมีความอ่อนไหวค่อนข้างมาก ต่อการเปลี่ยนแปลงของค่าเงิน นอกจากนี้ มูลค่าเพิ่ม (value added)
ที่ประเทศไทยได้รับจากการส่งออกสินค้าเหล่านี้ก็น้อยกว่าสินค้าส่งออก อื่นๆ ที่ใช้วัตถุดิบในประเทศในสัดส่วนที่สูงกว่าอีกด้วย
คุณถาม : การเข้าไปลงทุนในเวียดนามต้องติดต่อขออนุญาตกับหน่วยงานใด
EXIM ตอบ : การขออนุญาตลงทุนในเวียดนามมี 2 รูปแบบ แต่ละรูปแบบมีหน่วยงานที่รับผิดชอบการอนุญาตลงทุนแตกต่างกัน นักลงทุนต่างชาติ
จะขออนุญาตลงทุนในรูปแบบใดขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ต่างกัน กล่าวคือ
1. การขอ Registration เป็นการขออนุญาตลงทุนสำหรับโครงการ ลงทุนที่มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้
เป็นโครงการลงทุนขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีมูลค่าเงินลงทุน ไม่เกิน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีสัดส่วนการส่งออกสูงกว่า 80%
ของมูลค่าการผลิต หรือ เป็นโครงการลงทุนที่ตั้งอยู่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมหรือเขตส่งเสริมการส่งออก และมีสัดส่วนการส่งออกตามที่
กระทรวงการวางแผนและลงทุนของเวียดนาม (Ministry of Planning and Investment : MPI) กำหนด
ทั้งนี้ โครงการที่สามารถขอ Registration ต้องไม่เป็นโครงการลงทุนที่อยู่ในกลุ่ม A ซึ่งได้แก่ โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้า
กิจการเหมืองแร่ โครงการน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ โครงการที่เกี่ยวกับวัฒนธรรมและสิ่งพิมพ์ ศูนย์การค้าและโครงการด้านการท่องเที่ยว ฯลฯ
ผู้ลงทุนสามารถขอ Registration กับคณะกรรมการบริหาร (People's Committee) ของจังหวัดที่ตั้งของโครงการได้ โดยตรง
ซึ่งจะใช้เวลาในการพิจารณาประมาณ 15-30 วัน เมื่อ ได้รับ Registration แล้ว สามารถเริ่มดำเนินการได้ทันที
2. การขอ Investment License เป็นการขออนุญาตลงทุน สำหรับโครงการที่มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้
เป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าเงินลงทุนสูง เกิน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ เป็นโครงการลงทุนในกลุ่ม A (ดังกล่าวข้างต้น)
โครงการลงทุนในลักษณะนี้ต้องขอ Investment License จากกระทรวงการวางแผนและลงทุน (MPI) ของเวียดนาม ซึ่งจะใช้เวลาใน
การพิจารณาอนุมัติประมาณ 30-45 วัน โครงการลงทุนที่ได้รับ Investment License แล้ว สามารถเริ่มดำเนินการ ได้ทันที
หากไม่สามารถเริ่มดำเนินการได้ภายใน 1 ปี นับจากวันที่ได้รับอนุมัติการลงทุน ต้องชี้แจงเหตุผลให้ MPI ทราบ
--Exim News ปีที่ 7 ฉบับที่ 6 ประจำเดือนมิถุนายน 2544--
-อน-