ในวันนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงินประชุมเพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินให้สอดคล้องกับแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อ คณะกรรมการฯ ประเมินว่า การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อในอีก 8 ไตรมาสข้างหน้าจะยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับที่เคยประมาณไว้ กล่าวคือ เศรษฐกิจไทยในปี 2544 จะขยายตัวในอัตราเฉลี่ยร้อยละ 2.5 - 4 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 1.5 - 2 ในปี 2544 ซึ่งยังอยู่ภายในเป้าหมายที่กำหนดการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และญี่ปุ่นจะยังคงมีผลกระทบต่อการส่งออกของไทยโดยตรง ดังนั้น แรงกระตุ้นต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจึงต้องอาศัยอุปสงค์ภายในประเทศ และการกระตุ้นจากภาคการคลังที่คาดว่าจะลดผลกระทบจากปัจจัยภายนอกประเทศได้บ้าง ในขณะเดียวกันแรงกระตุ้นจากภาครัฐดังกล่าวจะไม่สร้างแรงกดดันต่อเงินเฟ้อ เนื่องจากยังมีกำลังการผลิตส่วนเกินอยู่มาก และอุปสงค์ภายในประเทศยังขยายตัวไม่มากสำหรับในปี 2545 คณะกรรมการฯ มีความเห็นว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะดีขึ้น แม้จะมีความไม่แน่นอนอยู่มากจากเศรษฐกิจภายนอก แต่นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ประเทศต่างๆ ดำเนินการมาตั้งแต่ต้นปี 2544 น่าจะทำให้ประเทศเหล่านั้นเริ่มฟื้นตัวขึ้นในระยะต่อไป ซึ่งจะมีผลดีต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะการปรับลดอัตราดอกเบี้ยทางการของสหรัฐฯ อีกร้อยละ 0.50 ต่อปี เมื่อวานนี้นั้น สะท้อนความตั้งใจจริงในการกระตุ้นเศรษฐกิจ และมีผลทางจิตวิทยาในการสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุนส่วนประเทศไทยนั้น การดำเนินนโยบายการเงินที่ผ่านมาถือได้ว่าอยู่ในลักษณะผ่อนคลาย โดยได้มีการดำรงอัตราดอกเบี้ยทางการในระดับต่ำมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง แต่เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจและการเงินของโลกยังไม่เอื้อต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และระบบสถาบันการเงินยังไม่ทำงานเป็นปกติ ดังนั้น ระบบเศรษฐกิจจึงยังไม่สามารถขยายตัวอย่างต่อเนื่องในระดับสูง ด้วยเหตุนี้ คณะกรรมการนโยบายการเงินจึงมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนระยะ 14 วัน ไว้ในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อปี ไว้อีกระยะหนึ่งสำหรับรายละเอียดการประเมินภาพเศรษฐกิจและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ตลอดจนการประมาณแนวโน้มเงินเฟ้อจะแถลงให้ทราบอีกครั้งในการเผยแพร่รายงานแนวโน้มเงินเฟ้อฉบับเดือนเมษายน 2544 ในวันที่ 26 เมษายน 2544 เวลา 14.00 น.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-สส-
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-สส-