แท็ก
อินเดีย
กุ้ง : ราคากุ้งโน้มต่ำลง
ประเทศไทยเพาะเลี้ยงกุ้งกุลาดำได้มากเป็นอันดับหนึ่งของโลก ประมาณร้อยละ 30 ของผลผลิตกุ้งทั้งโลก รองลงมาได้แก่ เอกวาดอร์ และอินเดีย ซึ่งผลผลิตกุ้งกุลาดำจากการเพาะเลี้ยงส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 90-95 จะใช้เป็นวัตถุดิบเพื่อการแปรรูปส่งออกจำหน่ายต่างประเทศที่เหลือเป็นการใช้บริโภคภายในประเทศ สำหรับการผลิตในปี 2544 คาดว่าจะผลิตได้ประมาณ 242,000 ตัน ลดลงจากปี 2544 ร้อยละ 2.42 เนื่องจากราคากุ้งโน้มต่ำลง ซึ่งมีผลมาจากราคากุ้งในตลาดโลกลดลง เพราะประเทศคู่แข่งในตลาดสหรัฐฯที่สำคัญของไทย ได้แก่ เอกวาดอร์ สามารถผลิตกุ้งขาวได้เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับมีการนำเข้ากุ้งราคาถูกจากประเทศอินเดีย บังคลาเทศและเวียดนามเข้ามาโจมตีตลาดภายในประเทศรวมทั้งผลผลิตกุ้งกุลาดำจากการเพาะเลี้ยงจะจับขายสู่ตลาดมากในช่วงเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม ทำให้เกิดความผันผวนของราคากุ้งภายในประเทศลดลง โดยราคากุ้งกุลาดำที่เกษตรกรขายได้ (ขนาด 41-60 ตัว) ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2544 เฉลี่ยกิโลกรัมละ 263 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 274 บาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 4.01
ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาความไม่มีเสถียรภาพของราคากุ้งภายในประเทศ รัฐจึงควรสนับสนุนให้เก็บสต็อกกุ้งเข้าห้องเย็นหรือดึงปริมาณส่วนเกินออกจากตลาด พร้อมทั้งเก็บภาษีนำเข้ากุ้งราคาถูกจากประเทศคู่แข่งขันในอัตราที่เหมาะสม (เดิม 0%)
เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำเข้ามาโจมตีตลาดภายในประเทศ ขณะเดียวกันควรเร่งรัดให้กระทรวงพาณิชย์ เร่งดำเนินการเกี่ยวกับตลาดซื้อขายล่วงหน้า (Future Market ) เพื่อทำให้ราคากุ้งมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น
ราคาอ้อย : ปีการผลิต 2544/45 มีแนวโน้มใกล้เคียงกับปีนี้
จากการติดตามภาวะราคาน้ำตาลในตลาดโลก ของสำนักงานเศรษฐกิจ การเกษตรในช่วงนี้ พบว่า ราคาน้ำตาลทรายดิบซื้อขายล่วงหน้าส่งมอบเดือนตุลาคมปีนี้ถึงมีนาคมปีหน้ายังคงเคลื่อนไหวในระดับ 8.74-8.50 เซนต์/ปอนด์ แม้ว่าราคาจะต่ำกว่าปีที่ผ่านมาก็ตาม แต่จากการที่ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงมาอยู่ในระดับ 45 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ราคาน้ำตาลเมื่อคิดเป็นเงินบาทแล้วมีราคาอยู่ในระดับตันละ 8,671-8,433 บาท เมื่อคิดเป็นราคาอ้อยแล้วจะใกล้เคียงกับปีการผลิตนี้ คือตันละประมาณ 600 บาท ซึ่งยังถือได้ว่าเป็นราคาที่ค่อนข้างดี
สำหรับผลผลิตอ้อยโรงงานปีการผลิต 2544/45 ที่จะเริ่มเก็บเกี่ยวเข้าโรงงานในเดือนพฤศจิกายนนี้ ศูนย์สารสนเทศการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าจะมีปริมาณผลผลิตทั้งสิ้น 52.04 ล้านตัน เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่ผลิตได้ทั้งสิ้น 49.07 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.05 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของพื้นที่ปลูกและผลผลิตต่อไร่ ซึ่งเป็นผลจากราคาอ้อยในปีที่ผ่านมาค่อนข้างดี จูงใจให้มีการขยายพื้นที่ปลูกและเกษตรกรมีเงินทุนดูแลรักษามากขึ้น นอกจากนี้ ได้มีการอบรมเกษตรกรในพื้นที่ที่มีการระบาดของหนอนกออ้อยให้รู้จักวิธีการป้องกันและกำจัดหนอนกออ้อยอย่างกว้างขวาง พร้อมกับมีการปล่อยแตนเบียนทำลายหนอนอย่างต่อเนื่องทำให้คาดว่าการทำลายของหนอนกอจะไม่มากเท่ากับปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการระบาดของหนอนกออ้อยในขณะนี้ เกษตรกรควรหมั่นเข้าตรวจแปลงอ้อยให้มากขึ้น หากพบหนอนในแปลงอ้อยให้รีบตัดและทำลายเสียแต่เริ่มแรกจะช่วยลดวงจรของการระบาดได้เป็นอย่างดี
--ข่าวการผลิต การตลาด ผลิตผลการเกษตร ฉบับที่ 27 ประจำวันที่ 16-22 ก.ค. 2544--
--จบ--
-สส-
ประเทศไทยเพาะเลี้ยงกุ้งกุลาดำได้มากเป็นอันดับหนึ่งของโลก ประมาณร้อยละ 30 ของผลผลิตกุ้งทั้งโลก รองลงมาได้แก่ เอกวาดอร์ และอินเดีย ซึ่งผลผลิตกุ้งกุลาดำจากการเพาะเลี้ยงส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 90-95 จะใช้เป็นวัตถุดิบเพื่อการแปรรูปส่งออกจำหน่ายต่างประเทศที่เหลือเป็นการใช้บริโภคภายในประเทศ สำหรับการผลิตในปี 2544 คาดว่าจะผลิตได้ประมาณ 242,000 ตัน ลดลงจากปี 2544 ร้อยละ 2.42 เนื่องจากราคากุ้งโน้มต่ำลง ซึ่งมีผลมาจากราคากุ้งในตลาดโลกลดลง เพราะประเทศคู่แข่งในตลาดสหรัฐฯที่สำคัญของไทย ได้แก่ เอกวาดอร์ สามารถผลิตกุ้งขาวได้เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับมีการนำเข้ากุ้งราคาถูกจากประเทศอินเดีย บังคลาเทศและเวียดนามเข้ามาโจมตีตลาดภายในประเทศรวมทั้งผลผลิตกุ้งกุลาดำจากการเพาะเลี้ยงจะจับขายสู่ตลาดมากในช่วงเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม ทำให้เกิดความผันผวนของราคากุ้งภายในประเทศลดลง โดยราคากุ้งกุลาดำที่เกษตรกรขายได้ (ขนาด 41-60 ตัว) ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2544 เฉลี่ยกิโลกรัมละ 263 บาท ลดลงจากกิโลกรัมละ 274 บาท ในช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 4.01
ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาความไม่มีเสถียรภาพของราคากุ้งภายในประเทศ รัฐจึงควรสนับสนุนให้เก็บสต็อกกุ้งเข้าห้องเย็นหรือดึงปริมาณส่วนเกินออกจากตลาด พร้อมทั้งเก็บภาษีนำเข้ากุ้งราคาถูกจากประเทศคู่แข่งขันในอัตราที่เหมาะสม (เดิม 0%)
เพื่อป้องกันไม่ให้มีการนำเข้ามาโจมตีตลาดภายในประเทศ ขณะเดียวกันควรเร่งรัดให้กระทรวงพาณิชย์ เร่งดำเนินการเกี่ยวกับตลาดซื้อขายล่วงหน้า (Future Market ) เพื่อทำให้ราคากุ้งมีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น
ราคาอ้อย : ปีการผลิต 2544/45 มีแนวโน้มใกล้เคียงกับปีนี้
จากการติดตามภาวะราคาน้ำตาลในตลาดโลก ของสำนักงานเศรษฐกิจ การเกษตรในช่วงนี้ พบว่า ราคาน้ำตาลทรายดิบซื้อขายล่วงหน้าส่งมอบเดือนตุลาคมปีนี้ถึงมีนาคมปีหน้ายังคงเคลื่อนไหวในระดับ 8.74-8.50 เซนต์/ปอนด์ แม้ว่าราคาจะต่ำกว่าปีที่ผ่านมาก็ตาม แต่จากการที่ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงมาอยู่ในระดับ 45 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ราคาน้ำตาลเมื่อคิดเป็นเงินบาทแล้วมีราคาอยู่ในระดับตันละ 8,671-8,433 บาท เมื่อคิดเป็นราคาอ้อยแล้วจะใกล้เคียงกับปีการผลิตนี้ คือตันละประมาณ 600 บาท ซึ่งยังถือได้ว่าเป็นราคาที่ค่อนข้างดี
สำหรับผลผลิตอ้อยโรงงานปีการผลิต 2544/45 ที่จะเริ่มเก็บเกี่ยวเข้าโรงงานในเดือนพฤศจิกายนนี้ ศูนย์สารสนเทศการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าจะมีปริมาณผลผลิตทั้งสิ้น 52.04 ล้านตัน เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่ผลิตได้ทั้งสิ้น 49.07 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.05 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของพื้นที่ปลูกและผลผลิตต่อไร่ ซึ่งเป็นผลจากราคาอ้อยในปีที่ผ่านมาค่อนข้างดี จูงใจให้มีการขยายพื้นที่ปลูกและเกษตรกรมีเงินทุนดูแลรักษามากขึ้น นอกจากนี้ ได้มีการอบรมเกษตรกรในพื้นที่ที่มีการระบาดของหนอนกออ้อยให้รู้จักวิธีการป้องกันและกำจัดหนอนกออ้อยอย่างกว้างขวาง พร้อมกับมีการปล่อยแตนเบียนทำลายหนอนอย่างต่อเนื่องทำให้คาดว่าการทำลายของหนอนกอจะไม่มากเท่ากับปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการระบาดของหนอนกออ้อยในขณะนี้ เกษตรกรควรหมั่นเข้าตรวจแปลงอ้อยให้มากขึ้น หากพบหนอนในแปลงอ้อยให้รีบตัดและทำลายเสียแต่เริ่มแรกจะช่วยลดวงจรของการระบาดได้เป็นอย่างดี
--ข่าวการผลิต การตลาด ผลิตผลการเกษตร ฉบับที่ 27 ประจำวันที่ 16-22 ก.ค. 2544--
--จบ--
-สส-