ตามที่สถานกงสุลใหญ่ฯ ณ นครโฮจิมินห์ ได้ร่วมกับสมาคมธุรกิจไทยในเวียดนามจัดงานสัมมนาเรื่องการปรับตัวเพื่อรับการลดภาษีศุลกากรของเวียดนามตามพันธกรณีความตกลงว่าด้วยการใช้อัตราภาษีพิเศษที่เท่ากัน สำหรับเขตการค้าเสรีอาเซียน (CEPT of AFTA) เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2544 ณ นครโฮจิมินห์ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
ทางกระทรวงการต่างประเทศได้สรุปสาระสำคัญผลการสัมมนาดังนี้.-
1. นาง Nguyen Thi Bich รองอธิบดีกรมสัมพันธ์ระหว่างประเทศเวียดนามได้กล่าวถึงแผนการลดภาษีภายใต้ CEPT ของเวียดนาม และความร่วมมือด้านศุลกากรภายในอาเซียน สรุปได้ว่า
1.1 เวียดนามจะลดภาษีสินค้าในบัญชีลดภาษี (IL) ที่มีอัตราภาษีสูงกว่า 20% ให้เหลือ20% ภายในปี ค.ศ. 2001 และลดภาษีสินค้าที่มีอัตราภาษีต่ำกว่า 20% ลงเหลือ 0-5% ในปี ค.ศ. 2003 และลดลงเป็น 0% ในปี ค.ศ. 2015
1.2 เวียดนามจะทยอยนำสินค้าในรายการ ยกเว้นการลดภาษีชั่วคราว (TEL) มาลดภาษีภายในปี ค.ศ. 2003 โดยจะลดภาษีสินค้าจำนวน 730 รายการในปี ค.ศ. 2001 จำนวน 510 รายการในปี ค.ศ. 2002 และจำนวน 660 รายการในปี ค.ศ. 2003 และจะลดอัตราภาษีลงเหลือ 0-5% ในปี ค.ศ. 2006 และ 0% ในปี ค.ศ. 2015-2018 ทั้งนี้ ในปี ค.ศ. 2003 เวียดนามจะโอนย้ายสินค้าใน TEL บางรายการ ซึ่งรัฐบาลให้ความคุ้มครองไปไว้ในบัญชี IL อาทิ นม ผลิตภัณฑ์นม น้ำมันพืช ซีเมนต์ กาแฟ น้ำผลไม้ ซึ่งเวียดนามกังวลว่าผู้ประกอบการเวียดนามจะต้องแข่งขันกับสินค้าที่นำเข้าจากประเทศไทย โดยเฉพาะสินค้าซีเมนต์
1.3 เวียดนามมีสินค้าในรายการอ่อนไหว และอ่อนไหวสูงที่เป็นสินค้าเกษตรทั้งสิ้น 51 รายการ ซึ่งจะมีอัตราภาษีลดลงเหลือ 5% ในปี ค.ศ. 2010 และมีสินค้าในบัญชียกเว้นการลดภาษีทั่วไป (GE) อีก 131 รายการ ซึ่งรวมถึงรถจักรยานยนต์ รถยนต์ ด้วย
1.4 ในด้านศุลกากร ที่ผ่านมาอาเซียนได้มีความร่วมมือที่สำคัญ คือ (1) การใช้รายการและพิกัดสินค้าตามระบบ Harmonization List อย่างเดียวกัน (2) การใช้มาตรการด้านภาษีเดียวกัน โดยใช้ราคาสินค้าที่ติดต่อซื้อขายที่คำนวณอัตราภาษี มิใช่ราคากลางที่ภาครัฐแต่ละประเทศกำหนดอีกต่อไป (3) การจัดทำ Green Lane ในการจัดเก็บภาษีสำหรับสินค้าทีนำเข้าจากต่างประเทศอาเซียน
2. สำหรับในส่วนของหน่วยงานไทย ซึ่งประกอบด้วยกงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์ รองกงสุล-ใหญ่ และกงสุลฝ่ายการพาณิชย์ ได้บรรยายสรุปภาพรวมข้อมูลเกี่ยวกับ AFTA ในเรื่องหลักการลดภาษีของ CEPT แผนการและกำหนดระยะเวลาเป้าหมาย ตลอดจนกลไกการดำเนินการของ AFTA และท่าทีไทย รวมทั้งภาพรวมสถานะการค้าระหว่างไทย-เวียดนาม และผลกระทบจาก AFTA โดยมีข้อคิดเห็นสรุปได้ดังนี้.-
2.1 อาเซียนคาดหวังว่าเมื่อ AFTA เสร็จสิ้นสมบูรณ์ อาเซียนจะเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่ปราศจากอุปสรรคทางการค้า และมีศักยภาพในด้านการค้าและการลงทุน อย่างไรก็ตาม AFTA แม้จะเริ่มมาเกือบ 10 ปีแล้ว แต่ก็ยังมิได้ก้าวไกลเท่าที่ควรจะเป็น ซึ่งสาเหตุหนึ่งเกิดจากการขาดความเอาจริงเอาจังของรัฐบาลประเทศสมาชิกในการเปิดเสรีทางการค้าอย่างแท้จริง และยังปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการของตน
2.2 ในส่วนการค้าไทย-เวียดนามนั้นสินค้าที่ไทยส่งออกไปเวียดนามแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ สินค้าทุน เช่น ชิ้นส่วนมอเตอร์ไซค์ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ ฯลฯ ซึ่งเวียดนามกำหนดอัตราภาษีนำเข้าไม่สูงนัก และประเภทสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งมีอัตราภาษีค่อนข้างสูง ประมาณ 30 - 60%
ทั้งนี้สินค้าไทยได้รับความนิยมในเวียดนาม ดังนั้น เมื่ออัตราภาษีนำเข้าภายใต้ AFTA ของเวียดนามลดลงก็น่าจะช่วยให้สินค้าไทยมีราคาถูกลงและสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตในท้องถิ่นได้ อย่างไรก็ดี เวียดนามยังพยายามปกป้องผู้ผลิตภายในประเทศโดยการใช้มาตรการที่เป็นอุปสรรคทางการค้าที่มิใช้ภาษี เช่น ขั้นตอนการขออนุญาตนำเข้าที่ซับซ้อนและยุ่งยาก และยังบรรจุรายการสินค้าไว้ในบัญชี TEL จำนวนมาก
3. ข้อคิดเห็นของผู้เข้าร่วมสัมมนา (แบ่งตามกลุ่มสินค้า)
3.1 กลุ่มธุรกิจพลาสติก: เห็นว่าปัจจุบันอัตราภาษีนำเข้าเมล็ดพลาสติกค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว คือ 0-3% จึงไม่น่าได้รับผลกระทบมากนัก อย่างไรก็ตาม โดยที่ขณะนี้เวียดนามกำลังพัฒนาเทคโนโลยีด้านปิโตรเคมี และกำลังก่อสร้างโรงงานแยกก๊าซ ดังนั้น ต่อไปเมื่อเวียดนามสามารถผลิตเม็ดพลาสติกเองได้ ก็อาจจะตั้งกำแพงภาษีเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในของตน สำหรับสินค้าสำเร็จรูปพลาสติกซึ่งเวียดนามมีศักยภาพการผลิตนั้น เมื่อมีการลดภาษีผู้ผลิตของไทยอาจจะได้รับผลกระทบบ้าง โดยเฉพาะในตลาดสินค้าคุณภาพต่ำและปานกลาง
3.2 สินค้าประเภทเครื่องดื่ม: การลดภาษีสินค้าประเภทเครื่องดื่มภายใต้ AFTA จะมีผลให้การแข่งขันในตลาดเวียดนามรุนแรงขึ้น แต่อาจส่งผลดีต่อการส่งออกกระป๋องของไทยซึ่งใช้เป็นบรรจุภัณฑ์สำหรับการผลิตเครื่องดื่มของผู้ผลิตในเวียดนาม
3.3 กลุ่มธุรกิจก่อสร้าง: เวียดนามน่าจะพยายามปกป้องอุตสาหกรรมก่อสร้างภายในประเทศต่อไป เพราะธุรกิจก่อสร้างในเวียดนามกำลังอยู่ในช่วงเติบโต และไม่ต้องการให้มีการนำเข้าจากไทย เพราะทั้งไทยและเวียดนามต่างมีศักยภาพในการผลิตวัสดุที่เป็นวัตถุดิบในการก่อสร้างในระดับทัดเทียมกัน
(ที่มา : กระทรวงการต่างประเทศ)
--วารสาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 15/2544 วันที่ 15 สิงหาคม 2544--
-อน-
ทางกระทรวงการต่างประเทศได้สรุปสาระสำคัญผลการสัมมนาดังนี้.-
1. นาง Nguyen Thi Bich รองอธิบดีกรมสัมพันธ์ระหว่างประเทศเวียดนามได้กล่าวถึงแผนการลดภาษีภายใต้ CEPT ของเวียดนาม และความร่วมมือด้านศุลกากรภายในอาเซียน สรุปได้ว่า
1.1 เวียดนามจะลดภาษีสินค้าในบัญชีลดภาษี (IL) ที่มีอัตราภาษีสูงกว่า 20% ให้เหลือ20% ภายในปี ค.ศ. 2001 และลดภาษีสินค้าที่มีอัตราภาษีต่ำกว่า 20% ลงเหลือ 0-5% ในปี ค.ศ. 2003 และลดลงเป็น 0% ในปี ค.ศ. 2015
1.2 เวียดนามจะทยอยนำสินค้าในรายการ ยกเว้นการลดภาษีชั่วคราว (TEL) มาลดภาษีภายในปี ค.ศ. 2003 โดยจะลดภาษีสินค้าจำนวน 730 รายการในปี ค.ศ. 2001 จำนวน 510 รายการในปี ค.ศ. 2002 และจำนวน 660 รายการในปี ค.ศ. 2003 และจะลดอัตราภาษีลงเหลือ 0-5% ในปี ค.ศ. 2006 และ 0% ในปี ค.ศ. 2015-2018 ทั้งนี้ ในปี ค.ศ. 2003 เวียดนามจะโอนย้ายสินค้าใน TEL บางรายการ ซึ่งรัฐบาลให้ความคุ้มครองไปไว้ในบัญชี IL อาทิ นม ผลิตภัณฑ์นม น้ำมันพืช ซีเมนต์ กาแฟ น้ำผลไม้ ซึ่งเวียดนามกังวลว่าผู้ประกอบการเวียดนามจะต้องแข่งขันกับสินค้าที่นำเข้าจากประเทศไทย โดยเฉพาะสินค้าซีเมนต์
1.3 เวียดนามมีสินค้าในรายการอ่อนไหว และอ่อนไหวสูงที่เป็นสินค้าเกษตรทั้งสิ้น 51 รายการ ซึ่งจะมีอัตราภาษีลดลงเหลือ 5% ในปี ค.ศ. 2010 และมีสินค้าในบัญชียกเว้นการลดภาษีทั่วไป (GE) อีก 131 รายการ ซึ่งรวมถึงรถจักรยานยนต์ รถยนต์ ด้วย
1.4 ในด้านศุลกากร ที่ผ่านมาอาเซียนได้มีความร่วมมือที่สำคัญ คือ (1) การใช้รายการและพิกัดสินค้าตามระบบ Harmonization List อย่างเดียวกัน (2) การใช้มาตรการด้านภาษีเดียวกัน โดยใช้ราคาสินค้าที่ติดต่อซื้อขายที่คำนวณอัตราภาษี มิใช่ราคากลางที่ภาครัฐแต่ละประเทศกำหนดอีกต่อไป (3) การจัดทำ Green Lane ในการจัดเก็บภาษีสำหรับสินค้าทีนำเข้าจากต่างประเทศอาเซียน
2. สำหรับในส่วนของหน่วยงานไทย ซึ่งประกอบด้วยกงสุลใหญ่ ณ นครโฮจิมินห์ รองกงสุล-ใหญ่ และกงสุลฝ่ายการพาณิชย์ ได้บรรยายสรุปภาพรวมข้อมูลเกี่ยวกับ AFTA ในเรื่องหลักการลดภาษีของ CEPT แผนการและกำหนดระยะเวลาเป้าหมาย ตลอดจนกลไกการดำเนินการของ AFTA และท่าทีไทย รวมทั้งภาพรวมสถานะการค้าระหว่างไทย-เวียดนาม และผลกระทบจาก AFTA โดยมีข้อคิดเห็นสรุปได้ดังนี้.-
2.1 อาเซียนคาดหวังว่าเมื่อ AFTA เสร็จสิ้นสมบูรณ์ อาเซียนจะเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่ปราศจากอุปสรรคทางการค้า และมีศักยภาพในด้านการค้าและการลงทุน อย่างไรก็ตาม AFTA แม้จะเริ่มมาเกือบ 10 ปีแล้ว แต่ก็ยังมิได้ก้าวไกลเท่าที่ควรจะเป็น ซึ่งสาเหตุหนึ่งเกิดจากการขาดความเอาจริงเอาจังของรัฐบาลประเทศสมาชิกในการเปิดเสรีทางการค้าอย่างแท้จริง และยังปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการของตน
2.2 ในส่วนการค้าไทย-เวียดนามนั้นสินค้าที่ไทยส่งออกไปเวียดนามแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ สินค้าทุน เช่น ชิ้นส่วนมอเตอร์ไซค์ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ ฯลฯ ซึ่งเวียดนามกำหนดอัตราภาษีนำเข้าไม่สูงนัก และประเภทสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งมีอัตราภาษีค่อนข้างสูง ประมาณ 30 - 60%
ทั้งนี้สินค้าไทยได้รับความนิยมในเวียดนาม ดังนั้น เมื่ออัตราภาษีนำเข้าภายใต้ AFTA ของเวียดนามลดลงก็น่าจะช่วยให้สินค้าไทยมีราคาถูกลงและสามารถแข่งขันกับผู้ผลิตในท้องถิ่นได้ อย่างไรก็ดี เวียดนามยังพยายามปกป้องผู้ผลิตภายในประเทศโดยการใช้มาตรการที่เป็นอุปสรรคทางการค้าที่มิใช้ภาษี เช่น ขั้นตอนการขออนุญาตนำเข้าที่ซับซ้อนและยุ่งยาก และยังบรรจุรายการสินค้าไว้ในบัญชี TEL จำนวนมาก
3. ข้อคิดเห็นของผู้เข้าร่วมสัมมนา (แบ่งตามกลุ่มสินค้า)
3.1 กลุ่มธุรกิจพลาสติก: เห็นว่าปัจจุบันอัตราภาษีนำเข้าเมล็ดพลาสติกค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว คือ 0-3% จึงไม่น่าได้รับผลกระทบมากนัก อย่างไรก็ตาม โดยที่ขณะนี้เวียดนามกำลังพัฒนาเทคโนโลยีด้านปิโตรเคมี และกำลังก่อสร้างโรงงานแยกก๊าซ ดังนั้น ต่อไปเมื่อเวียดนามสามารถผลิตเม็ดพลาสติกเองได้ ก็อาจจะตั้งกำแพงภาษีเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในของตน สำหรับสินค้าสำเร็จรูปพลาสติกซึ่งเวียดนามมีศักยภาพการผลิตนั้น เมื่อมีการลดภาษีผู้ผลิตของไทยอาจจะได้รับผลกระทบบ้าง โดยเฉพาะในตลาดสินค้าคุณภาพต่ำและปานกลาง
3.2 สินค้าประเภทเครื่องดื่ม: การลดภาษีสินค้าประเภทเครื่องดื่มภายใต้ AFTA จะมีผลให้การแข่งขันในตลาดเวียดนามรุนแรงขึ้น แต่อาจส่งผลดีต่อการส่งออกกระป๋องของไทยซึ่งใช้เป็นบรรจุภัณฑ์สำหรับการผลิตเครื่องดื่มของผู้ผลิตในเวียดนาม
3.3 กลุ่มธุรกิจก่อสร้าง: เวียดนามน่าจะพยายามปกป้องอุตสาหกรรมก่อสร้างภายในประเทศต่อไป เพราะธุรกิจก่อสร้างในเวียดนามกำลังอยู่ในช่วงเติบโต และไม่ต้องการให้มีการนำเข้าจากไทย เพราะทั้งไทยและเวียดนามต่างมีศักยภาพในการผลิตวัสดุที่เป็นวัตถุดิบในการก่อสร้างในระดับทัดเทียมกัน
(ที่มา : กระทรวงการต่างประเทศ)
--วารสาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 15/2544 วันที่ 15 สิงหาคม 2544--
-อน-