คำกล่าวเปิด
การประชุมชี้แจงนโยบายและแนวทางการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายเงินภาครัฐ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2545*
ของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ณ ห้องประชุมใหญ่ กรมสรรพากร
วันที่ 18 ตุลาคม 2544
___________________
เมื่อสักครู่ผมได้ไปพูดที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ผมได้กล่าวอะไรบางอย่างกับ สศค. ว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้ชีวิตผมต้องมาอยู่ตรงนี้ และทำให้มีความตั้งใจที่จะให้ทุกๆ คนทำงานเพื่อประเทศก็ล้วนแล้วแต่มาจากท่านอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ทั้งสิ้น ผมเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยในช่วง 14 ตุลาคม 2516 จบการศึกษาในช่วง 2520 เคยอยู่ในช่วงคาบทั้ง 14 และ 6 ตุลา ได้พบกับประสบการณ์ในช่วงนั้น แม้เหตุการณ์ตอนนั้นจะเป็นช่วงเลวร้ายเป็นแผลในใจของหลายๆ คนในประเทศนี้ แต่ก็ทำให้คนไทยหรือคนในยุคนั้นมีโอกาสสัมผัสอาจารย์ป๋วย อีกครั้งในยุคที่ท่านเป็นอธิบการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสิ่งหนึ่งที่ธรรมศาสตร์สอนผมก็คือ เรารักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้เรารักประชาชน ตรงนี้ไม่ใช่หมายความว่าสถาบันอื่นจะไม่รัก แต่หมายถึงการปลูกฝังให้เยาวชนที่เข้าไปศึกษาในสถาบันนั้นๆ มีความสำนึก ตระหนักในความรับผิดชอบต่อสังคมต่อประเทศชาติ ไม่แพ้คนกลุ่มอื่นๆ
สิ่งที่ผมชี้ให้ที่ประชุมเมื่อสักครู่ก็คือเราต้องเอาอย่างท่านอาจารย์ป๋วย 3 ประการในสิ่งซึ่งไม่ค่อยมีใครพูดถึงมากนัก ท่านไม่ใช่เป็นเพียงนักวิชาการแต่ 3 ประการที่ผมพูดถึงก็คือ
ลักษณะที่ 1 ท่านเป็นนักสร้าง โดยเฉพาะการสร้างคนให้กับประเทศนี้ ถ้าท่านไม่ได้สร้างไว้เมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว วันนี้ประเทศชาติจะไม่มีอย่างทุกวันนี้ การที่เรามีข้าราชการระดับสูง มีบุคคลที่มีความสามารถในทุกหน่วยราชการ ก็เพราะความริเริ่มจากท่านอาจารย์ป๋วยแทบทั้งสิ้น ในขณะที่ท่านสร้างคน การเมืองที่เลวร้ายในช่วงที่ผ่านมา 10 กว่าปีนี้กลับทำลายคนดีๆ หายไปหมด พูดง่ายๆ สร้างแทบไม่ทันการถูกทำลาย ฉะนั้น เป็นหน้าที่ของรัฐบาลชุดนี้และต่อๆ ไปที่จะต้องเริ่มสร้างคน สร้างบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถและมีความรับผิดชอบต่อสังคมเข้ามาเสริม
ลักษณะที่ 2 คือท่านเป็นนักพัฒนา หลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่เคยมีการกล่าวถึง ท่านล้วนเป็นผู้ริเริ่มโดยเฉพาะโครงการบัณฑิตอาสาที่มุ่งสู่การพัฒนาชนบท สิ่งเหล่านี้ท่านสร้างไว้ตั้งแต่ในอดีต ซึ่งไม่มีใครสนในข้อที่ 3 ท่านเป็นนักปฏิรูปตัวยง ท่านมองเห็นการณ์ล่วงหน้า 30-40 ปี มองรู้ว่า ประเทศไทยต้องเดินไปทางไหนในขณะที่สังคมและเศรษฐกิจของไทยในยุคนั้นขาดระเบียบ ขาดแบบแผน ท่านวางกรอบและทิศทางให้ประเทศนี้ได้เดินตามในแนวนั้น คุณูปการที่ท่านอาจารย์ป๋วยได้สร้างไว้นั้นมีผลอันยิ่งใหญ่ในขณะนี้
สถานการณ์ขณะนี้ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากที่ท่านอาจารย์ป๋วยประสบในอดีต มองไปข้างนอกมีแต่ความไม่แน่นอน มีแต่ความสับสน ฉะนั้น หลายสิ่งหลายอย่างที่รัฐบาลชุดนี้จะต้องทำก็สอดคล้องกับที่ท่านอาจารย์ป๋วยเคยทำ หนึ่ง ต้องเร่งสร้างคน สอง ต้องเร่งพัฒนา สาม ต้องรีบปฏิรูปประเทศไทย เพราะหลายสิ่งหลายอย่างที่เราได้มีความสุขทุกวันนี้ล้วนแต่ผ่านการปฏิรูปจากอดีต 30-40 ปีที่แล้ว แต่จากวันนี้เป็นต้นไปหลายสิ่งหลายอย่างแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ถ้าเราไม่เอาจริงเอาจังกับการปฏิรูป เมืองไทยในอนาคตจะไม่สามารถแข่งขันกับชาวโลกได้ แต่ทั้ง 3 ประการ ไม่ว่าการสร้างคนก็ดี การพัฒนาก็ดี การปฏิรูปก็ดี ถ้าขาดซึ่งความกล้าในการตัดสินใจ ความกล้าในการน้อมรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ สิ่งเหล่านี้จะไม่สามารถผลักดันให้เกิดขึ้นได้ เพราะการปฏิรูปการพัฒนาหมายถึงการเปลี่ยนแปลง แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงสู่สิ่งที่ดีขึ้น โดยธรรมชาติคนเราไม่มีใครชอบการเปลี่ยนแปลงถ้าไม่จำเป็น แต่ถ้าเราไม่เปลี่ยนอนาคตเราจะอยู่ไม่ได้ ฉะนั้น เราเปลี่ยนด้วยตัวเองดีกว่าถูกบังคับให้เปลี่ยนโดยสิ่งแวดล้อม ผมเชื่อในสิ่งเหล่านี้ และอยากให้ทุกท่านมีความกล้าหาญในการทำในสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมา
วันนี้ทุกท่านก็คงทราบสถานการณ์ประเทศเรา และสถานการณ์เศรษฐกิจภายนอก เป็นไปไม่ได้ที่เราจะบอกว่าเศรษฐกิจยังดีอยู่ เป็นการสวนความจริง ประเทศไทยเราเศรษฐกิจเริ่มเสื่อมถอยมาไม่ใช่แค่ปี 1-2 ปีนี้ แต่เป็นมาตั้งแต่ยุค 10 ปี เป็นมาตั้งแต่ยุคสงครามอ่าวเปอร์เซีย ค่อยๆ ทรุดเรื่อยมาจนถึงวันนี้ แต่มาเร่งให้ทรุดหนักลงเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว ตรงนี้เองต่างหากที่ว่าเราจะประคองตัวให้แข็งแรง ให้เสื่อมถอยให้น้อยสุดภายใต้ความกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจภายนอก สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลจะทำได้เพียงกลุ่มเดียว ต้องอาศัยการร่วมมือจากทุกฝ่าย ภาวะเศรษฐกิจภายนอกท่านก็ทราบ ในขณะนี้แม้กระทั่งอลัน กรีนสแปน ก็พูดว่าสหรัฐฯ มีภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี แต่เขาไม่ดีไม่ได้หมายความว่าเราจะตาย มันคนละเรื่องกัน เรามีศักยภาพ ทรัพยากร และความคิดของเราเอง
แน่นอนที่สุด ถ้าพูดว่าจะวัดด้วย GDP Growth ไม่มีความหมาย GDP ประเทศไหนที่จะโตได้ในขณะนี้เป็นเรื่องยาก แต่ถ้ามาเทียบเบื้องต้นกัน ณ วันนี้ ที่เราเคยใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Zero Growth เอาทุกประเทศมาลากเส้นตรงกัน ณ วันนี้ จากวันนี้เป็นต้นไปถ้าเริ่มกันที่ศูนย์ ดูสิว่าใครจะประคองตัวได้ดีกว่าใคร อันนั้นคือสิ่งที่ท้าทายไม่ใช่มาวัดว่า GDP Growth ปีนี้ต่ำกว่าปีที่แล้วช่วงเดียวกันเท่าไหร่ การดูตัวเลขเหล่านั้นไร้ประโยชน์และไม่มีความเกื้อกูลในแง่พลังจิตใจ ถ้าเรามองว่าทุกวันนี้ทุกประเทศกำลังประสบปัญหานี้ เราจะทำอย่างไรที่จะให้การเสื่อมถอยน้อยสุด และเริ่ม Reform เริ่มปฏิรูปประเทศเรา เพื่อรองรับกับสถานการณ์ภายนอกที่เกิดขึ้น ให้เราสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและแข็งแรงวันนี้การส่งออกเริ่มชะลอตัว เราพยายามประคองไม่ให้ชะลอตัวรุนแรงจนเกินไป พยายามลดการนำเข้าเพื่อให้ส่วนต่างตรงนี้ไม่เป็นภัยต่อประเทศ ฉะนั้นความหวังที่พึ่งพาเฉพาะการส่งออกและการท่องเที่ยวคงไม่ใช่ความหวังอย่างเช่นในอดีตที่ผ่านมา สมัย 10 กว่าปีที่ผ่านมาเขาบอกว่าที่พึ่งคนไทยมีอยู่ 3 ตัวคือ Export, Tourism และ Investment วันนี้ Export, Tourism เราต้องประคองไว้ไม่ให้ทรุดต่ำมากจนเกินไป แต่ขณะเดียวกันต้องพยายามสร้างฐานจากภายในให้มี Local Consumption การบริโภคจากภายในให้มากขึ้น ตรงนี้นั่นเองที่ตัว G หรือตัวรายจ่ายรัฐบาลมีความสำคัญอย่างยิ่ง มันสำคัญ 2 แง่ ในขณะที่ภาคเอกชนวันนี้อ่อนแอ ตัว G หรือรายจ่ายรัฐบาลจะไปช่วยทดแทน ในภาวะที่เอกชนอ่อนแอ ภาครัฐต้องมีบทบาท แต่เมื่อใดที่เขาแข็งแรงขึ้นมา ภาครัฐต้องถอยออกมา การที่เราจะใช้ตัว G ให้เป็นประโยชน์ ทั้งในการลงทุนและการกระตุ้นการบริโภคภายในกลับกลายเป็นหัวหอกสำคัญมากในขณะนี้ ฉะนั้นแม้ตัว G ของเราจะมีข้อจำกัด งบประมาณแผ่นดิน 1 ล้านล้านเศษ 80% เป็นค่าใช้จ่ายประจำ ที่เหลืออีก 20% เป็นค่าใช้จ่ายในการพัฒนาการลงทุน
ในภาครัฐวิสาหกิจเช่นกัน ในอดีตเราไม่มองภาครัฐวิสาหกิจเลย เรามองข้ามไป มองเฉพาะงบประมาณแผ่นดินที่มีอยู่ แต่จริงๆ แล้วส่วนซึ่งเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้นไม่ได้แพ้งบของราชการเลย การร่วมมือกันต้องมาจาก 2 ฝ่าย การประหยัด การเพิ่มพูนประสิทธิภาพต้องมาจาก 2 ฝ่าย ในขณะเดียวกันการสร้างรายได้ก็ต้องมาจาก 2 ฝ่าย ช่วยๆ กัน เพราะ 2 กลุ่มนี้รวมกันแล้วก็คือพลังของประเทศนี้ ผมเคยเรียนว่าขณะนี้ภาคเอกชนค่อนข้างอ่อนแอ ภาครัฐต้องเข้าไปกระตุ้นไปนำ อย่ามองภาคราชการภาครัฐวิสาหกิจว่าเป็นภาระ ในทางตรงกันข้ามในอดีตนั้นอาจเคยเป็นภาระ แต่ในภาวะที่เป็นภาระนั้นยังมีสินทรัพย์มหาศาลอยู่ข้างใน ทำอย่างไรที่จะเปลี่ยนสินทรัพย์นั้นให้เป็นพลังในการสร้างรายได้ขึ้นมา ฉะนั้น แนวความคิดที่จะลดข้าราชการที่จะปลดพนักงานรัฐวิสาหกิจ ไม่เคยมีอยู่ในความคิดของรัฐบาลชุดนี้ จะให้เขาไปไหน? ข้างนอกเศรษฐกิจไม่ดีหากปลดคนงานขณะนี้ เขาจะไปอยู่ที่ไหน? ประเทศไทยไม่มี Safety Net ไม่มีระบบประกันสังคม ประเทศไทยไม่ใช่ตะวันตกที่พอเศรษฐกิจเฟื่องฟูก็จ้างคน เศรษฐกิจไม่ดีปลดคนงานออกมา แล้วเขาจะไปอยู่ไหน?
ภาระนี้เองที่ราชการและรัฐวิสาหกิจต้องช่วยกันดูว่า จะทำอย่างไรที่จะช่วยให้คนส่วนใหญ่ของเราไม่ต้องมีการปลดคนงานออกมา การเรียกร้องค่าแรง โบนัส ผมขอด้วยความรู้สึกส่วนตัวว่า 2-3 ปีนี้พิจารณาด้วยตัวเองว่าทำอย่างไรให้ทุกคนอยู่ร่วมกัน มีอาชีพ มีงานทำ ดีกว่าที่เราได้เงินบางส่วนแล้วทำให้ประเทศชาติลำบาก ผ่านพ้น 3 ปีนี้ไป ผมเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ฉะนั้นในเมื่อตัว G หรือค่าใช้จ่ายของรัฐบาลจะมีข้อจำกัดจากสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต เราเองก็ไม่เข้าใจว่าหนี้สิน 2.8 ล้านล้าน มันเกิดขึ้นได้อย่างไร 5 ปีที่แล้วพอถึง 10,000 ล้านก็สยองแล้ว พอมาเจอ 100,000 ล้านขนลุก พอเจอ 2.8 ล้านล้านเฉยแล้ว เพราะมองแล้วไม่น่าเชื่อว่า มันจะเกิดขึ้นกับประเทศไทยได้ แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นกับประเทศไทย ก็ถือเป็นความรับผิดชอบของเราทุกคนที่ต้องช่วยกันประคองสิ่งเหล่านี้ต่อไปให้ได้ เมื่อวันที่แล้ว ทีมงานคณะกรรมการบริหาร IMF มาพบผม ผมได้ชี้แจงไป เขาก็เชื่อว่าเราจะไม่มีปัญหา ผมบอกเขาว่า ภาคราชการกับรัฐวิสาหกิจไม่ใช่ภาระเลย อยู่ที่ว่าเราจะเปลี่ยนเขาจากภาระให้เป็นพลังได้อย่างไรต่างหากท่านครับ งบประมาณของรัฐบาลกับงบรัฐวิสาหกิจ วันนี้สำคัญมาก ขณะนี้การส่งออกไม่ค่อยดี มีแนวโน้มจะทรุดต่ำ ในอนาคตการท่องเที่ยวก็ต้องมาช่วยกัน แต่ตัวที่จะกระตุ้นให้มันฟื้นนั้นมาหรือประคองไว้ให้ได้ คือความเร็ว หรือประสิทธิภาพในการจับจ่ายมันออกไป เมื่อปีที่ผ่านมา 2544 เราเจอปัญหามาคือ เงินไม่สามารถออกได้เร็วพอ แล้วท่านนายกรัฐมนตรีก็กังวลในเรื่องนี้ ก็เลยขอให้ผมเรียกประชุมในวันนี้ เพื่อขอความร่วมมือจากทุกๆ ท่าน ให้ช่วยกันพยายามวางแผนการณ์ล่วงหน้า ว่าจะหาทางอย่างไรที่จะทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณปีนี้ออกมาได้เร็วตามกำหนด ตามเป้าหมาย โดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย ฉะนั้นถ้าเราเริ่มกันที่วันนี้ เราก็สามารถวางแผนต่อเนื่องออกไปได้ ไม่เพียงเท่านั้นผมอยากกราบเรียนว่า ระบบการ Set งบประมาณแผ่นดิน ต้องถูกเปลี่ยนแปลง ระบบการ Set งบประมาณรัฐวิสาหกิจก็จะเปลี่ยนแปลง
เดิมทีประเทศนี้ Run โดยสำนักงบประมาณ สำนักงบประมาณเป็นบุคคลที่มีความซื่อสัตย์สุจริต แต่สำนักงบประมาณไม่ใช่หน่วยงานที่จะมาบอกว่ากระทรวงนี้ต้องใช้เท่าไหร่ ใช้ทางไหน รัฐวิสาหกิจนี้จะใช้เท่าไหร่ ใช้ทางไหน ไม่ใช่ ตรงนี้ต้องมีจุดเริ่มต้นมาจากกระทรวง ทบวง กรม หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ คิดขึ้นมาแต่ต้นๆ ว่าเรามีแผนการณ์อย่างไรในอนาคตข้างหน้า แปลงแผนงานเหล่านั้นเป็นกิจกรรมที่ต้องทำ แผลงกิจกรรมเหล่านั้นเป็นงบประมาณ ด้วยความคิดนี้สำนักงบประมาณก็คือองค์กรที่จะประสานและช่วยเหลือกันให้เกิดเป็น Corporate Plan ของทั้งประเทศนี้ นี่คือสิ่งที่เราทำกันในภาคเอกชนแต่ไหนแต่ไร
ฉะนั้นงบประมาณที่แต่ไหนแต่ไรเริ่มขึ้นมาจากสำนักงบประมาณต้องถูกเปลี่ยน ครม. ประชุมบอกทิศทาง รัฐมนตรีต้องไปกระจายให้แต่ละกระทรวง แต่ละรัฐวิสาหกิจทราบ ให้เริ่มวางแผน เริ่ม Set ระบบงบประมาณนั้น จากนั้นก็มาเกลี่ยกันว่าด้วยงบฯทั้งหมดนี้เป็นไปได้หรือไม่ ให้อยู่ใน Budget ที่เพียงพอ ใช้การได้ นั่นแหละคือ Strategic-led Budgeting จะมีใครรู้ดีเท่าเราผู้ที่บริหารอยู่ ผมเคยเรียนในที่ประชุมคราวก่อนว่า จากวันนี้เป็นต้นไป คณะกรรมการและผู้บริหารรัฐวิสาหกิจต้องเริ่มคิดแล้วว่า เราจะมีแนวทางอย่างไร ทำตัวอย่างไร
ผมเพิ่งพูดใน ครม. ว่า พอถึงเวลาแล้ว รัฐวิสาหกิจมาพูดกับกระทรวงการคลังว่าต้องกู้เงิน ต้อง Refinance ให้กระทรวงการคลังค้ำประกัน อย่างนี้บ่อยๆ ไม่ได้ ต้องมองภาพรวมแล้ว รัฐมนตรีแต่ละท่านต้องรู้ว่าท่านกำกับรัฐวิสาหกิจอะไรอยู่ ต้องเข้าไปนั่งคุยกับผู้บริหารรัฐวิสาหกิจให้เขาเสนอแผนระยะยาวว่า อนาคต 4-5 ปี ข้างหน้าเขาจะทำอะไร รัฐวิสาหกิจที่มีปัญหาขาดทุนมากๆ ก็ต้องช่วยเขาคิดว่าจะทำอย่างไรจะแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ มา Set วิธีการ Set งบประมาณ การใช้ทรัพยากรทั้งหมดของประเทศที่มีอยู่จำกัดถึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด ตรงนี้คือการปฏิรูปอย่างหนึ่ง เป็นการปฏิรูประบบงบประมาณแผ่นดิน ของทั้งราชการและรัฐวิสาหกิจ เมื่อท่านสามารถเข้าสู่กระบวนการนี้ได้ ท่านจะสามารถวางแผนแต่เนิ่นๆ ได้ กรมบัญชีกลางแทนที่จะเป็นฝ่ายมากำกับ ควบคุม ตรวจสอบ ก็จะเป็นแค่หน่วยงานที่จะมาช่วย Facilitate ผลักดัน ช่วยเหลือให้เกิดความหล่อลื่น ทุกอย่างต้องมาจากคนที่ทำงานเป็นตัวนำ
วันนี้อยากให้เป็นจุดเริ่มต้นใหม่ คือก่อนที่จะก้าวสู่งบฯปี 45 อยากให้ทุกท่านมีส่วนร่วมในการวางแผนล่วงหน้าก่อนว่า ทำอย่างไรจะให้มีการเบิกจ่ายได้เร็ว และมีประสิทธิภาพ วันข้างหน้าแต่ละหน่วยงานต้องเริ่มคิดแล้วว่า แผนการสำหรับปี 2546 คืออะไร คิดกันก่อน และผมจะขอให้รัฐมนตรีแต่ละท่านช่วยกันไปคุยไปวางแผนกัน งานถึงจะเดิน องค์กรถึงจะพัฒนา ประเทศถึงจะเจริญได้
ผมคงไม่กล่าวอะไรมากไปกว่านี้ ต้องขอขอบคุณที่ทุกท่านให้เกียรติมาพร้อมกันในวันนี้ ทุกท่านล้วนแต่เป็นรุ่นพี่ผมทั้งนั้น เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ผมจึงอยากกราบเรียนว่า เป็นความรู้สึกอุ่นใจจริงๆ ที่ในภาวะอย่างนี้ผู้หลักผู้ใหญ่ ให้ความสนใจเข้ามาช่วยกัน มีอะไรอยากให้กระทรวงการคลังช่วย บอกท่านวราเทพฯ ได้เลย งานท่านวราเทพฯ ต้องหนักมากขึ้น บอกท่านสุชาติฯ ได้ทันที อย่าคิดว่ากระทรวงการคลังเป็นตัวกำกับ ตรวจสอบ ไม่ใช่ เราต้องพยายามช่วยท่าน คิดแผนออกมา เพื่อไม่ให้เสียเวลา ผมขอเปิดงานสัมมนา และขอให้การประชุมบรรลุผลตามที่ท่านต้องการทุกประการ ขอบคุณครับ
_______________________
* จัดโดยกรมบัญชีกลาง
กองประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
ปิยะภัทร ไชยสาม : ถอดเทป
กรองจิตร สุขเกื้อ : พิมพ์
เชาวลิตร์ บุณยภูษิต : ตรวจ/ทาน--จบ--
-ศน-
การประชุมชี้แจงนโยบายและแนวทางการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายเงินภาครัฐ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2545*
ของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ณ ห้องประชุมใหญ่ กรมสรรพากร
วันที่ 18 ตุลาคม 2544
___________________
เมื่อสักครู่ผมได้ไปพูดที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ผมได้กล่าวอะไรบางอย่างกับ สศค. ว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้ชีวิตผมต้องมาอยู่ตรงนี้ และทำให้มีความตั้งใจที่จะให้ทุกๆ คนทำงานเพื่อประเทศก็ล้วนแล้วแต่มาจากท่านอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ทั้งสิ้น ผมเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยในช่วง 14 ตุลาคม 2516 จบการศึกษาในช่วง 2520 เคยอยู่ในช่วงคาบทั้ง 14 และ 6 ตุลา ได้พบกับประสบการณ์ในช่วงนั้น แม้เหตุการณ์ตอนนั้นจะเป็นช่วงเลวร้ายเป็นแผลในใจของหลายๆ คนในประเทศนี้ แต่ก็ทำให้คนไทยหรือคนในยุคนั้นมีโอกาสสัมผัสอาจารย์ป๋วย อีกครั้งในยุคที่ท่านเป็นอธิบการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสิ่งหนึ่งที่ธรรมศาสตร์สอนผมก็คือ เรารักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้เรารักประชาชน ตรงนี้ไม่ใช่หมายความว่าสถาบันอื่นจะไม่รัก แต่หมายถึงการปลูกฝังให้เยาวชนที่เข้าไปศึกษาในสถาบันนั้นๆ มีความสำนึก ตระหนักในความรับผิดชอบต่อสังคมต่อประเทศชาติ ไม่แพ้คนกลุ่มอื่นๆ
สิ่งที่ผมชี้ให้ที่ประชุมเมื่อสักครู่ก็คือเราต้องเอาอย่างท่านอาจารย์ป๋วย 3 ประการในสิ่งซึ่งไม่ค่อยมีใครพูดถึงมากนัก ท่านไม่ใช่เป็นเพียงนักวิชาการแต่ 3 ประการที่ผมพูดถึงก็คือ
ลักษณะที่ 1 ท่านเป็นนักสร้าง โดยเฉพาะการสร้างคนให้กับประเทศนี้ ถ้าท่านไม่ได้สร้างไว้เมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว วันนี้ประเทศชาติจะไม่มีอย่างทุกวันนี้ การที่เรามีข้าราชการระดับสูง มีบุคคลที่มีความสามารถในทุกหน่วยราชการ ก็เพราะความริเริ่มจากท่านอาจารย์ป๋วยแทบทั้งสิ้น ในขณะที่ท่านสร้างคน การเมืองที่เลวร้ายในช่วงที่ผ่านมา 10 กว่าปีนี้กลับทำลายคนดีๆ หายไปหมด พูดง่ายๆ สร้างแทบไม่ทันการถูกทำลาย ฉะนั้น เป็นหน้าที่ของรัฐบาลชุดนี้และต่อๆ ไปที่จะต้องเริ่มสร้างคน สร้างบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถและมีความรับผิดชอบต่อสังคมเข้ามาเสริม
ลักษณะที่ 2 คือท่านเป็นนักพัฒนา หลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่เคยมีการกล่าวถึง ท่านล้วนเป็นผู้ริเริ่มโดยเฉพาะโครงการบัณฑิตอาสาที่มุ่งสู่การพัฒนาชนบท สิ่งเหล่านี้ท่านสร้างไว้ตั้งแต่ในอดีต ซึ่งไม่มีใครสนในข้อที่ 3 ท่านเป็นนักปฏิรูปตัวยง ท่านมองเห็นการณ์ล่วงหน้า 30-40 ปี มองรู้ว่า ประเทศไทยต้องเดินไปทางไหนในขณะที่สังคมและเศรษฐกิจของไทยในยุคนั้นขาดระเบียบ ขาดแบบแผน ท่านวางกรอบและทิศทางให้ประเทศนี้ได้เดินตามในแนวนั้น คุณูปการที่ท่านอาจารย์ป๋วยได้สร้างไว้นั้นมีผลอันยิ่งใหญ่ในขณะนี้
สถานการณ์ขณะนี้ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากที่ท่านอาจารย์ป๋วยประสบในอดีต มองไปข้างนอกมีแต่ความไม่แน่นอน มีแต่ความสับสน ฉะนั้น หลายสิ่งหลายอย่างที่รัฐบาลชุดนี้จะต้องทำก็สอดคล้องกับที่ท่านอาจารย์ป๋วยเคยทำ หนึ่ง ต้องเร่งสร้างคน สอง ต้องเร่งพัฒนา สาม ต้องรีบปฏิรูปประเทศไทย เพราะหลายสิ่งหลายอย่างที่เราได้มีความสุขทุกวันนี้ล้วนแต่ผ่านการปฏิรูปจากอดีต 30-40 ปีที่แล้ว แต่จากวันนี้เป็นต้นไปหลายสิ่งหลายอย่างแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ถ้าเราไม่เอาจริงเอาจังกับการปฏิรูป เมืองไทยในอนาคตจะไม่สามารถแข่งขันกับชาวโลกได้ แต่ทั้ง 3 ประการ ไม่ว่าการสร้างคนก็ดี การพัฒนาก็ดี การปฏิรูปก็ดี ถ้าขาดซึ่งความกล้าในการตัดสินใจ ความกล้าในการน้อมรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ สิ่งเหล่านี้จะไม่สามารถผลักดันให้เกิดขึ้นได้ เพราะการปฏิรูปการพัฒนาหมายถึงการเปลี่ยนแปลง แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงสู่สิ่งที่ดีขึ้น โดยธรรมชาติคนเราไม่มีใครชอบการเปลี่ยนแปลงถ้าไม่จำเป็น แต่ถ้าเราไม่เปลี่ยนอนาคตเราจะอยู่ไม่ได้ ฉะนั้น เราเปลี่ยนด้วยตัวเองดีกว่าถูกบังคับให้เปลี่ยนโดยสิ่งแวดล้อม ผมเชื่อในสิ่งเหล่านี้ และอยากให้ทุกท่านมีความกล้าหาญในการทำในสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมา
วันนี้ทุกท่านก็คงทราบสถานการณ์ประเทศเรา และสถานการณ์เศรษฐกิจภายนอก เป็นไปไม่ได้ที่เราจะบอกว่าเศรษฐกิจยังดีอยู่ เป็นการสวนความจริง ประเทศไทยเราเศรษฐกิจเริ่มเสื่อมถอยมาไม่ใช่แค่ปี 1-2 ปีนี้ แต่เป็นมาตั้งแต่ยุค 10 ปี เป็นมาตั้งแต่ยุคสงครามอ่าวเปอร์เซีย ค่อยๆ ทรุดเรื่อยมาจนถึงวันนี้ แต่มาเร่งให้ทรุดหนักลงเมื่อ 3-4 ปีที่แล้ว ตรงนี้เองต่างหากที่ว่าเราจะประคองตัวให้แข็งแรง ให้เสื่อมถอยให้น้อยสุดภายใต้ความกดดันจากสภาวะเศรษฐกิจภายนอก สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลจะทำได้เพียงกลุ่มเดียว ต้องอาศัยการร่วมมือจากทุกฝ่าย ภาวะเศรษฐกิจภายนอกท่านก็ทราบ ในขณะนี้แม้กระทั่งอลัน กรีนสแปน ก็พูดว่าสหรัฐฯ มีภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี แต่เขาไม่ดีไม่ได้หมายความว่าเราจะตาย มันคนละเรื่องกัน เรามีศักยภาพ ทรัพยากร และความคิดของเราเอง
แน่นอนที่สุด ถ้าพูดว่าจะวัดด้วย GDP Growth ไม่มีความหมาย GDP ประเทศไหนที่จะโตได้ในขณะนี้เป็นเรื่องยาก แต่ถ้ามาเทียบเบื้องต้นกัน ณ วันนี้ ที่เราเคยใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Zero Growth เอาทุกประเทศมาลากเส้นตรงกัน ณ วันนี้ จากวันนี้เป็นต้นไปถ้าเริ่มกันที่ศูนย์ ดูสิว่าใครจะประคองตัวได้ดีกว่าใคร อันนั้นคือสิ่งที่ท้าทายไม่ใช่มาวัดว่า GDP Growth ปีนี้ต่ำกว่าปีที่แล้วช่วงเดียวกันเท่าไหร่ การดูตัวเลขเหล่านั้นไร้ประโยชน์และไม่มีความเกื้อกูลในแง่พลังจิตใจ ถ้าเรามองว่าทุกวันนี้ทุกประเทศกำลังประสบปัญหานี้ เราจะทำอย่างไรที่จะให้การเสื่อมถอยน้อยสุด และเริ่ม Reform เริ่มปฏิรูปประเทศเรา เพื่อรองรับกับสถานการณ์ภายนอกที่เกิดขึ้น ให้เราสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและแข็งแรงวันนี้การส่งออกเริ่มชะลอตัว เราพยายามประคองไม่ให้ชะลอตัวรุนแรงจนเกินไป พยายามลดการนำเข้าเพื่อให้ส่วนต่างตรงนี้ไม่เป็นภัยต่อประเทศ ฉะนั้นความหวังที่พึ่งพาเฉพาะการส่งออกและการท่องเที่ยวคงไม่ใช่ความหวังอย่างเช่นในอดีตที่ผ่านมา สมัย 10 กว่าปีที่ผ่านมาเขาบอกว่าที่พึ่งคนไทยมีอยู่ 3 ตัวคือ Export, Tourism และ Investment วันนี้ Export, Tourism เราต้องประคองไว้ไม่ให้ทรุดต่ำมากจนเกินไป แต่ขณะเดียวกันต้องพยายามสร้างฐานจากภายในให้มี Local Consumption การบริโภคจากภายในให้มากขึ้น ตรงนี้นั่นเองที่ตัว G หรือตัวรายจ่ายรัฐบาลมีความสำคัญอย่างยิ่ง มันสำคัญ 2 แง่ ในขณะที่ภาคเอกชนวันนี้อ่อนแอ ตัว G หรือรายจ่ายรัฐบาลจะไปช่วยทดแทน ในภาวะที่เอกชนอ่อนแอ ภาครัฐต้องมีบทบาท แต่เมื่อใดที่เขาแข็งแรงขึ้นมา ภาครัฐต้องถอยออกมา การที่เราจะใช้ตัว G ให้เป็นประโยชน์ ทั้งในการลงทุนและการกระตุ้นการบริโภคภายในกลับกลายเป็นหัวหอกสำคัญมากในขณะนี้ ฉะนั้นแม้ตัว G ของเราจะมีข้อจำกัด งบประมาณแผ่นดิน 1 ล้านล้านเศษ 80% เป็นค่าใช้จ่ายประจำ ที่เหลืออีก 20% เป็นค่าใช้จ่ายในการพัฒนาการลงทุน
ในภาครัฐวิสาหกิจเช่นกัน ในอดีตเราไม่มองภาครัฐวิสาหกิจเลย เรามองข้ามไป มองเฉพาะงบประมาณแผ่นดินที่มีอยู่ แต่จริงๆ แล้วส่วนซึ่งเป็นของรัฐวิสาหกิจนั้นไม่ได้แพ้งบของราชการเลย การร่วมมือกันต้องมาจาก 2 ฝ่าย การประหยัด การเพิ่มพูนประสิทธิภาพต้องมาจาก 2 ฝ่าย ในขณะเดียวกันการสร้างรายได้ก็ต้องมาจาก 2 ฝ่าย ช่วยๆ กัน เพราะ 2 กลุ่มนี้รวมกันแล้วก็คือพลังของประเทศนี้ ผมเคยเรียนว่าขณะนี้ภาคเอกชนค่อนข้างอ่อนแอ ภาครัฐต้องเข้าไปกระตุ้นไปนำ อย่ามองภาคราชการภาครัฐวิสาหกิจว่าเป็นภาระ ในทางตรงกันข้ามในอดีตนั้นอาจเคยเป็นภาระ แต่ในภาวะที่เป็นภาระนั้นยังมีสินทรัพย์มหาศาลอยู่ข้างใน ทำอย่างไรที่จะเปลี่ยนสินทรัพย์นั้นให้เป็นพลังในการสร้างรายได้ขึ้นมา ฉะนั้น แนวความคิดที่จะลดข้าราชการที่จะปลดพนักงานรัฐวิสาหกิจ ไม่เคยมีอยู่ในความคิดของรัฐบาลชุดนี้ จะให้เขาไปไหน? ข้างนอกเศรษฐกิจไม่ดีหากปลดคนงานขณะนี้ เขาจะไปอยู่ที่ไหน? ประเทศไทยไม่มี Safety Net ไม่มีระบบประกันสังคม ประเทศไทยไม่ใช่ตะวันตกที่พอเศรษฐกิจเฟื่องฟูก็จ้างคน เศรษฐกิจไม่ดีปลดคนงานออกมา แล้วเขาจะไปอยู่ไหน?
ภาระนี้เองที่ราชการและรัฐวิสาหกิจต้องช่วยกันดูว่า จะทำอย่างไรที่จะช่วยให้คนส่วนใหญ่ของเราไม่ต้องมีการปลดคนงานออกมา การเรียกร้องค่าแรง โบนัส ผมขอด้วยความรู้สึกส่วนตัวว่า 2-3 ปีนี้พิจารณาด้วยตัวเองว่าทำอย่างไรให้ทุกคนอยู่ร่วมกัน มีอาชีพ มีงานทำ ดีกว่าที่เราได้เงินบางส่วนแล้วทำให้ประเทศชาติลำบาก ผ่านพ้น 3 ปีนี้ไป ผมเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ฉะนั้นในเมื่อตัว G หรือค่าใช้จ่ายของรัฐบาลจะมีข้อจำกัดจากสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต เราเองก็ไม่เข้าใจว่าหนี้สิน 2.8 ล้านล้าน มันเกิดขึ้นได้อย่างไร 5 ปีที่แล้วพอถึง 10,000 ล้านก็สยองแล้ว พอมาเจอ 100,000 ล้านขนลุก พอเจอ 2.8 ล้านล้านเฉยแล้ว เพราะมองแล้วไม่น่าเชื่อว่า มันจะเกิดขึ้นกับประเทศไทยได้ แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นกับประเทศไทย ก็ถือเป็นความรับผิดชอบของเราทุกคนที่ต้องช่วยกันประคองสิ่งเหล่านี้ต่อไปให้ได้ เมื่อวันที่แล้ว ทีมงานคณะกรรมการบริหาร IMF มาพบผม ผมได้ชี้แจงไป เขาก็เชื่อว่าเราจะไม่มีปัญหา ผมบอกเขาว่า ภาคราชการกับรัฐวิสาหกิจไม่ใช่ภาระเลย อยู่ที่ว่าเราจะเปลี่ยนเขาจากภาระให้เป็นพลังได้อย่างไรต่างหากท่านครับ งบประมาณของรัฐบาลกับงบรัฐวิสาหกิจ วันนี้สำคัญมาก ขณะนี้การส่งออกไม่ค่อยดี มีแนวโน้มจะทรุดต่ำ ในอนาคตการท่องเที่ยวก็ต้องมาช่วยกัน แต่ตัวที่จะกระตุ้นให้มันฟื้นนั้นมาหรือประคองไว้ให้ได้ คือความเร็ว หรือประสิทธิภาพในการจับจ่ายมันออกไป เมื่อปีที่ผ่านมา 2544 เราเจอปัญหามาคือ เงินไม่สามารถออกได้เร็วพอ แล้วท่านนายกรัฐมนตรีก็กังวลในเรื่องนี้ ก็เลยขอให้ผมเรียกประชุมในวันนี้ เพื่อขอความร่วมมือจากทุกๆ ท่าน ให้ช่วยกันพยายามวางแผนการณ์ล่วงหน้า ว่าจะหาทางอย่างไรที่จะทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณปีนี้ออกมาได้เร็วตามกำหนด ตามเป้าหมาย โดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย ฉะนั้นถ้าเราเริ่มกันที่วันนี้ เราก็สามารถวางแผนต่อเนื่องออกไปได้ ไม่เพียงเท่านั้นผมอยากกราบเรียนว่า ระบบการ Set งบประมาณแผ่นดิน ต้องถูกเปลี่ยนแปลง ระบบการ Set งบประมาณรัฐวิสาหกิจก็จะเปลี่ยนแปลง
เดิมทีประเทศนี้ Run โดยสำนักงบประมาณ สำนักงบประมาณเป็นบุคคลที่มีความซื่อสัตย์สุจริต แต่สำนักงบประมาณไม่ใช่หน่วยงานที่จะมาบอกว่ากระทรวงนี้ต้องใช้เท่าไหร่ ใช้ทางไหน รัฐวิสาหกิจนี้จะใช้เท่าไหร่ ใช้ทางไหน ไม่ใช่ ตรงนี้ต้องมีจุดเริ่มต้นมาจากกระทรวง ทบวง กรม หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ คิดขึ้นมาแต่ต้นๆ ว่าเรามีแผนการณ์อย่างไรในอนาคตข้างหน้า แปลงแผนงานเหล่านั้นเป็นกิจกรรมที่ต้องทำ แผลงกิจกรรมเหล่านั้นเป็นงบประมาณ ด้วยความคิดนี้สำนักงบประมาณก็คือองค์กรที่จะประสานและช่วยเหลือกันให้เกิดเป็น Corporate Plan ของทั้งประเทศนี้ นี่คือสิ่งที่เราทำกันในภาคเอกชนแต่ไหนแต่ไร
ฉะนั้นงบประมาณที่แต่ไหนแต่ไรเริ่มขึ้นมาจากสำนักงบประมาณต้องถูกเปลี่ยน ครม. ประชุมบอกทิศทาง รัฐมนตรีต้องไปกระจายให้แต่ละกระทรวง แต่ละรัฐวิสาหกิจทราบ ให้เริ่มวางแผน เริ่ม Set ระบบงบประมาณนั้น จากนั้นก็มาเกลี่ยกันว่าด้วยงบฯทั้งหมดนี้เป็นไปได้หรือไม่ ให้อยู่ใน Budget ที่เพียงพอ ใช้การได้ นั่นแหละคือ Strategic-led Budgeting จะมีใครรู้ดีเท่าเราผู้ที่บริหารอยู่ ผมเคยเรียนในที่ประชุมคราวก่อนว่า จากวันนี้เป็นต้นไป คณะกรรมการและผู้บริหารรัฐวิสาหกิจต้องเริ่มคิดแล้วว่า เราจะมีแนวทางอย่างไร ทำตัวอย่างไร
ผมเพิ่งพูดใน ครม. ว่า พอถึงเวลาแล้ว รัฐวิสาหกิจมาพูดกับกระทรวงการคลังว่าต้องกู้เงิน ต้อง Refinance ให้กระทรวงการคลังค้ำประกัน อย่างนี้บ่อยๆ ไม่ได้ ต้องมองภาพรวมแล้ว รัฐมนตรีแต่ละท่านต้องรู้ว่าท่านกำกับรัฐวิสาหกิจอะไรอยู่ ต้องเข้าไปนั่งคุยกับผู้บริหารรัฐวิสาหกิจให้เขาเสนอแผนระยะยาวว่า อนาคต 4-5 ปี ข้างหน้าเขาจะทำอะไร รัฐวิสาหกิจที่มีปัญหาขาดทุนมากๆ ก็ต้องช่วยเขาคิดว่าจะทำอย่างไรจะแก้ปัญหาเหล่านั้นได้ มา Set วิธีการ Set งบประมาณ การใช้ทรัพยากรทั้งหมดของประเทศที่มีอยู่จำกัดถึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด ตรงนี้คือการปฏิรูปอย่างหนึ่ง เป็นการปฏิรูประบบงบประมาณแผ่นดิน ของทั้งราชการและรัฐวิสาหกิจ เมื่อท่านสามารถเข้าสู่กระบวนการนี้ได้ ท่านจะสามารถวางแผนแต่เนิ่นๆ ได้ กรมบัญชีกลางแทนที่จะเป็นฝ่ายมากำกับ ควบคุม ตรวจสอบ ก็จะเป็นแค่หน่วยงานที่จะมาช่วย Facilitate ผลักดัน ช่วยเหลือให้เกิดความหล่อลื่น ทุกอย่างต้องมาจากคนที่ทำงานเป็นตัวนำ
วันนี้อยากให้เป็นจุดเริ่มต้นใหม่ คือก่อนที่จะก้าวสู่งบฯปี 45 อยากให้ทุกท่านมีส่วนร่วมในการวางแผนล่วงหน้าก่อนว่า ทำอย่างไรจะให้มีการเบิกจ่ายได้เร็ว และมีประสิทธิภาพ วันข้างหน้าแต่ละหน่วยงานต้องเริ่มคิดแล้วว่า แผนการสำหรับปี 2546 คืออะไร คิดกันก่อน และผมจะขอให้รัฐมนตรีแต่ละท่านช่วยกันไปคุยไปวางแผนกัน งานถึงจะเดิน องค์กรถึงจะพัฒนา ประเทศถึงจะเจริญได้
ผมคงไม่กล่าวอะไรมากไปกว่านี้ ต้องขอขอบคุณที่ทุกท่านให้เกียรติมาพร้อมกันในวันนี้ ทุกท่านล้วนแต่เป็นรุ่นพี่ผมทั้งนั้น เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ผมจึงอยากกราบเรียนว่า เป็นความรู้สึกอุ่นใจจริงๆ ที่ในภาวะอย่างนี้ผู้หลักผู้ใหญ่ ให้ความสนใจเข้ามาช่วยกัน มีอะไรอยากให้กระทรวงการคลังช่วย บอกท่านวราเทพฯ ได้เลย งานท่านวราเทพฯ ต้องหนักมากขึ้น บอกท่านสุชาติฯ ได้ทันที อย่าคิดว่ากระทรวงการคลังเป็นตัวกำกับ ตรวจสอบ ไม่ใช่ เราต้องพยายามช่วยท่าน คิดแผนออกมา เพื่อไม่ให้เสียเวลา ผมขอเปิดงานสัมมนา และขอให้การประชุมบรรลุผลตามที่ท่านต้องการทุกประการ ขอบคุณครับ
_______________________
* จัดโดยกรมบัญชีกลาง
กองประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
ปิยะภัทร ไชยสาม : ถอดเทป
กรองจิตร สุขเกื้อ : พิมพ์
เชาวลิตร์ บุณยภูษิต : ตรวจ/ทาน--จบ--
-ศน-