ส่วนที่ 3 สรุปนโยบายและมาตรการเศรษฐกิจที่สำคัญ
3.1 มาตรการการคลัง
ก. มาตรการภาษี
1. การปรับปรุงพิกัดอัตราอากรขาเข้า
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ปรับลดอัตราอากรขาเข้าสำหรับ วัตถุดิบขั้นปฐม ปัจจัยการผลิตขั้นกลาง สินค้าทุนและสินค้าอื่น ๆ จำนวน 542 รายการ เพื่อลดต้นทุนการผลิตในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะทำให้สามารถแข่งขันได้ในระดับภูมิภาคอาเซียนและระดับการค้าโลก
มาตรการปรับลดอัตราอากรขาเข้าครั้งนี้ ทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ประมาณ ปีละ 3,300 ล้านบาท แต่คาดว่าจะสามารถชดเชยได้จากการเก็บภาษีเงินได้ และภาษีมูลค่าเพิ่มได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากภาคการผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ ได้ประโยชน์จากการที่ต้นทุนต่ำลง ซึ่งสามารถ แข่งขันกับต่างประเทศ และผู้บริโภคสามารถซื้อ สินค้าในราคาที่ต่ำลง
2. การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกหักภาษี เงินได้ ณ ที่จ่าย และภาษีธุรกิจเฉพาะไว้แล้ว
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ ผู้มีเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ได้มา ซึ่งได้ถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และภาษีธุรกิจเฉพาะไว้แล้ว เมื่อถึงกำหนดยื่น รายการเสียภาษีเงินได้ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำ เงินได้ดังกล่าวมาคำนวณเป็นเงินได้ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อระบบธุรกิจการค้าอสังหาริมทรัพย์และสอดคล้องกับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน
3. การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ให้แก่ลูกหนี้ของสถาบันการเงิน
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่ลูกหนี้ของสถาบันการเงินเพื่อส่งเสริมให้มีการปรับปรุง โครงสร้างหนี้ ซึ่งจะมีผลให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้และจะส่งผลต่อการจัดเก็บภาษี ในระยะยาว
4. การยกเว้นภาษี สรรพสามิตสำหรับสินค้าที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบหรือส่วนประกอบในการผลิตสินค้าเพื่อการ ส่งออก
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ … (พ.ศ. ….) ออกตามความในพระราชบัญญัติภาษี สรรพสามิต พ.ศ. 2527 ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการยกเว้นภาษีสำหรับสินค้าที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบหรือส่วนประกอบในการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก โดยมีสาระสำคัญคือ
- กำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิขอรับการยกเว้นภาษี - กำหนดวิธีการควบคุมสินค้าที่ได้รับการยกเว้นภาษีตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง - ควบคุมสูตรการผลิตสินค้า - กำหนดหน้าที่และความ รับผิดชอบของผู้นำสินค้าที่ได้รับการยกเว้นภาษีไปใช้ ในการผลิต
5. การปรับปรุงอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์กระบะ
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม อนุมัติร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ปรับปรุงอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์กระบะเพื่อให้ การจัดเก็บภาษีรถยนต์สอดคล้องกับเจตนารมณ์ ของโครงสร้างภาษี โดยมีสาระสำคัญเพื่อกำหนดอัตราภาษีสำหรับรถยนต์กระบะออกเป็น 2 อัตรา คือ
1) อัตราภาษีร้อยละ 3 ตาม มูลค่าสำหรับรถยนต์กระบะ (Pick-up) ที่ใช้ในการบรรทุกขนส่งสิ่งของอย่างแท้จริง โดยมีน้ำหนักบรรทุกมากพอสมควรและกระบะช่วงหลังมีความยาวเพียงพอที่จะใช้บรรทุกได้ 2) อัตราภาษีร้อยละ 18 ตามมูลค่า สำหรับรถยนต์กระบะประเภทอื่นนอกจาก ข้อ 1 เพื่อให้เป็นอัตราเดียวกับรถยนต์ประเภท PPV(Pick-up Passenger Vehicle)
ข. มาตรการรายจ่าย
1. มาตรการจำกัดค่าใช้จ่าย ด้านบุคลากรภาครัฐ
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม เห็นชอบมาตรการจำกัดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐ เพื่อควบคุมรายจ่ายประจำ โดยให้นำมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 และ 29 มิถุนายน 2542 เรื่องมาตรการจำกัดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรและมาตรการปรับลดอัตราการเลื่อนขั้นเงินเดือนและค่าจ้างของรัฐวิสาหกิจประจำปี 2543 ตามลำดับ มาบังคับใช้ในปีงบประมาณ 2544 อีก 1 ปี สาระสำคัญของมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว คือ อัตราเพิ่มของการเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีของข้าราชการและลูกจ้างต้องอยู่ภายในวงเงินไม่เกินร้อยละ 5 ของเงินงบประมาณที่จ่ายเป็นเงินเดือนและค่าจ้าง สำหรับรัฐวิสาหกิจให้กำหนดอัตราเพิ่มการเลื่อนขั้นเงินเดือนและค่าจ้างให้สอดคล้องกับอัตราเพิ่มของภาคราชการ
2. การขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณปี 2541
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม อนุมัติให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ขยายเวลาการเบิกจ่ายเงินงบประมาณปี 2541 กรณีมีหนี้ผูกพันงบประมาณที่ได้รับการช่วยเหลือตามมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพก่อสร้างและผู้ประกอบอาชีพงานอื่นกับทางราชการที่ได้รับผลกระทบจากการปรับปรุงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา โดยให้ขยายเวลาเบิกจ่ายได้ไม่เกินสิ้นปี งบประมาณ 2544
3. การปรับอัตราการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรและอนุมัติให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมาตรการ ควบคุมค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐ
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 19 กันยายน อนุมัติให้ความเห็นชอบการปรับอัตราการ เบิกจ่ายเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร เนื่องจากกระทรวงศึกษาธิการได้เปลี่ยนแปลงอัตรา ค่าธรรมเนียมการเรียน การปรับเพิ่มอัตราเบิกจ่ายเงิน สวัสดิการดังกล่าวเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐ และไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับ มาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐ ดังนั้น คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวด้วย
ค. มาตรการการก่อหนี้และบริหารหนี้
1. ธนาคารอาคารสงเคราะห์ขอระดมเงินทุนระยะยาว 20,000 ล้านบาทสำหรับปี 2543
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม อนุมัติให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กู้เงินในประเทศโดยการออกพันธบัตร จำนวน 20,000 ล้านบาท โดยกระทรวงการคลัง ค้ำประกัน เพื่อใช้สำหรับการดำเนินงานของ ธอส. ในปี 2543
2. การกู้เงินในรูป Euro Commercial Paper หรือ ECP Programme
คณะรัฐมนตรีรับทราบเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ผลการกู้เงินภายใต้ ECP Programme เมื่อวันที่ 25 และ 26 เมษายน วงเงินสุทธิรวม 25,945.5 ล้านเยน อัตราดอกเบี้ยระหว่างร้อยละ 0.256 | 0.406 ต่อปี เพื่อ Refinance เงินกู้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตจาก JBIC ที่ครบกำหนดชำระในวันที่ 25 และ 26 เมษายน วงเงิน 25,971 ล้านเยน โดยมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ 5.8 ต่อปี
3. การออกพันธบัตรของ รัฐบาลตามโครงการช่วยเพิ่มเงินกองทุนชั้นที่ 2 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2543 ครั้งที่ 9 ถึง 12
3.1 คณะรัฐมนตรีรับทราบเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม เรื่อง การออกพันธบัตร รัฐบาลตามโครงการช่วยเพิ่มเงินกองทุนชั้นที่ 2 ในปีงบประมาณ 2543 ครั้งที่ 9 และ 10 ให้แก่ บริษัทเงินทุนบุคคลัภย์ จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) โดยกระทรวงการคลังเข้าซื้อหุ้นกู้ด้อยสิทธิ์ของบริษัทและธนาคาร จำนวน 41 และ 667 ล้านบาท ตามลำดับ เพื่อให้บริษัทและธนาคารนำเงินดังกล่าวไปซื้อพันธบัตร รัฐบาลเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.75 ต่อปี อายุพันธบัตร 10 ปี
3.2 คณะรัฐมนตรีรับทราบเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม เรื่อง การออกพันธบัตรรัฐบาลตามโครงการช่วยเพิ่มเงินกองทุนชั้นที่ 2 ในปี งบประมาณ พ.ศ. 2543 ครั้งที่ 11 และ 12 แก่บริษัทเงินทุนธนชาติ จำกัด (มหาชน) และบริษัทเงินทุนเอกชาติ จำกัด (มหาชน) โดยกระทรวงการคลังเข้าซื้อหุ้นกู้ด้อยสิทธิของบริษัทดังกล่าวจำนวน 93 และ 54 ล้านบาท ตามลำดับ เพื่อให้บริษัทฯ นำเงินที่ได้รับไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.75 ต่อปี อายุพันธบัตร 10 ปี
4. การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลโดยการประมูลพันธบัตรรัฐบาล
คณะรัฐมนตรีรับทราบเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม เรื่องการออกจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อชดเชยการขาดดุลในปีงบประมาณ พ.ศ. 2543 ครั้งที่ 1 วงเงิน 10,000 ล้านบาท อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5.60 ต่อปี และครั้งที่ 2 วงเงิน 10,000 ล้านบาท อายุ 15 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.20 ต่อปี โดยวิธีประมูลแบบ American Auction โดยกระทรวงการคลังจะกำหนดอัตราดอกเบี้ย (Coupon rate) ให้ผู้ประมูลเสนออัตราผลตอบแทน (Yield) และปริมาณที่ต้องการในการประมูลแต่ละครั้งรวม 4 ครั้ง ซึ่งกำหนดให้มีการประมูลในวันที่ 5 และ 19 กรกฎาคม 2543 2 และ 16 สิงหาคม 2543 โดยประมูลพร้อมกันทั้ง 2 รุ่น วงเงินรุ่นละ 2,500 ล้านบาท รวมวงเงิน 5,000 ล้านบาทต่อสัปดาห์
5. การปรับปรุงสัดส่วนการใช้เงินกู้สำหรับโครงการก่อสร้างทางรถไฟรางคู่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม เรื่องการปรับลดสัดส่วนการ จัดหาเงินกู้สำหรับโครงการก่อสร้างทางรถไฟรางคู่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยให้กระทรวง การคลังกู้เงินในสัดส่วนร้อยละ 50 ของค่าใช้จ่ายโครงการทั้งหมดหรือจำนวน 4,620 ล้านบาท ส่วนที่เหลือให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณให้ ทั้งนี้ หากสามารถจัดสรรงบประมาณได้ มากกว่าที่กำหนดไว้ก็สามารถดำเนินการได้
6. การดำเนินงานโครงการเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างภาคเกษตร
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม อนุมัติจ้างที่ปรึกษาภายใต้โครงการเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างภาคเกษตรในวงเงิน 160 ล้านบาท โดยจ่ายจากเงินกู้ JBIC และจ้างเหมาประมูลงานแบบเหมารวม (Lump Sum Turn Key) เพื่อ ก่อสร้างห้องปฏิบัติการกลางและระบบข้อมูล สารสนเทศของโครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพการเกษตรด้านปศุสัตว์เพิ่มเติมจากธนาคารเชื้อพันธุ์ โดยใช้วงเงินเดิมจำนวน 286.36 ล้านบาท ที่ได้รับอนุมัติไว้แล้วตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 23 พฤศจิกายน 2542
7. การกู้เงินของการรถไฟแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกู้เงินระยะยาวสำหรับใช้ในการดำเนินงานในปี งบประมาณ 2543 และใช้ในการดำเนินโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด จำนวน 3,380 และ 263.5 ล้านบาท ตามลำดับ โดยมีกระทรวง การคลังเป็นผู้พิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่างๆ ในการกู้เงิน ตลอดจนการ ค้ำประกัน
8. การกู้เงินเพื่อใช้จ่ายในการลงทุนประจำปี 2543 ของการสื่อสารแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม อนุมัติให้การสื่อสารแห่งประเทศไทยกู้เงินเพื่อใช้จ่ายในการลงทุนตามงบลงทุนประจำปี 2543 จำนวน 4,000 ล้านบาท
9. การปรับโครงสร้างหนี้ พันธบัตรรัฐบาล
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม เห็นชอบในหลักการการปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาล เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินรุ่นที่จะครบกำหนดชำระคืนวันที่ 31 สิงหาคม จำนวน 20,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10.75 ต่อปี โดยวิธี (1) การออกพันธบัตรรัฐบาลโดยการประมูลผล ตอบแทน ซึ่งในการดำเนินการดังกล่าวอาจใช้วิธีการออกพันธบัตรใหม่หรือ Re-open พันธบัตร รุ่นเดิม หรือ (2) การออกตราสารหรือทำสัญญากู้เงินจากหน่วยงานที่อยู่ในความดูแลของรัฐ ในวงเงินไม่เกิน 20,000 ล้านบาท อายุการกู้ 5 | 15 ปี ตามอัตราดอกเบี้ยตลาด หรือไม่เกินอัตราดอกเบี้ย พันธบัตรรุ่นที่จะ Re-open
10. การทำ Refinance เงินกู้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม อนุมัติให้ กฟผ. กู้เงินในประเทศโดยการออกพันธบัตรอายุระหว่าง 3 | 5 ปี เพื่อทำ Refinance ทดแทนเงินกู้ต่างประเทศ และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาเงื่อนไข และ รายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน ตลอดจนการ ค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ยจากเงินกู้ดังกล่าว การทำ Refinance ครั้งนี้ ทำให้ กฟผ. ประหยัด ต้นทุนการกู้เงินได้ประมาณ 1,048 ล้านบาท
11. โครงการเงินกู้รัฐบาลญี่ปุ่นครั้งที่ 25
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 12 กันยายน อนุมัติให้กระทรวงการคลัง การประปา นครหลวง บริษัทท่าอากาศยานสากลกรุงเทพ แห่งใหม่ จำกัด และองค์การรถไฟฟ้ามหานคร กู้เงินตามโครงการเงินกู้รัฐบาลญี่ปุ่นครั้งที่ 25 โดยผ่าน JBIC วงเงิน 95,671 ล้านเยน ในโครงการต่อไปนี้
12. เงินกู้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 12 กันยายน อนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตกู้เงินจาก JBIC ร่วมกับกลุ่มสถาบันการเงินอื่น ๆ เพื่อใช้ในการดำเนินงานสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลัง ความร้อนร่วมราชบุรี ชุดที่ 1 ถึง 3 ภายใต้โครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีในวงเงิน 4,905.5 ล้านเยน อัตราดอกเบี้ยคงที่เท่ากับร้อยละ 2.3 ต่อปี ชำระปีละ 2 งวด ชำระคืนต้นภายในระยะเวลา 9 ปีครึ่ง ปีละ 2 งวด รวม 19 งวด เริ่มชำระงวดแรกในเดือนพฤศจิกายน 2545 และให้กระทรวงการคลัง ค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าว
ง. มาตรการรัฐวิสาหกิจ
1. การลงทุนตามโครงการขยายเขตไฟฟ้าให้ราษฎรในชนบทระยะที่ 2 ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม เห็นชอบให้ กฟภ. ดำเนินการลงทุนตามโครงการขยายเขตไฟฟ้าให้ราษฎรในชนบทระยะที่ 2 เพื่อขยายเขตจำหน่ายไฟฟ้าให้บ้านเรือนราษฎรในหมู่บ้านที่มีไฟฟ้าใช้แล้ว แต่ยังไม่ทั่วถึง ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของ กฟภ. ทั่วประเทศ (73 จังหวัด) จำนวน 150,000 หลังคาเรือน ระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี (2543 | 2546) วงเงินลงทุน 3,655 ล้านบาท แยกเป็นเงินตราต่างประเทศ 1,765 ล้านบาท และเงินบาท 1,890 ล้านบาท โดยในส่วนของเงินตราต่างประเทศจะกู้จากสถาบันการเงิน ต่างประเทศและในส่วนเงินบาทจะใช้จากแหล่งเงินกู้ในประเทศ และ/หรือรายได้ของ กฟภ.
2. การแปรรูปบริษัทไทย เดินเรือทะเล จำกัด
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ไม่รับข้อเสนอของสมาคมเจ้าของ เรือไทย (สจท.) ในการทยอยจ่ายเงินค่าหุ้นเพิ่มทุนตามความต้องการของ บริษัทไทยเดินเรือทะเล จำกัด (บทด.) และให้ดำเนินการแปรรูป บทด.
ตามหลักการเดิมของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2542 ที่กำหนดให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2543 โดยการหาเอกชนผู้สนใจรายอื่นที่เป็นคนไทยมาซื้อหุ้นเพิ่มทุน บทด. ในราคาหุ้นละ 12.50 บาท จ่ายเงินภายใน 31 ตุลาคม 2543 และหากไม่มีผู้สนใจซื้อหุ้นเพิ่มทุนให้เตรียมดำเนินการยุบ บทด. ต่อไป
3. อนุมัติปรับปรุงวงเงิน งบประมาณและขอขยายระยะเวลาก่อหนี้ ผูกพันโครงการก่อสร้างทางคู่ของการรถไฟ แห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย ปรับปรุงวงเงินงบประมาณของส่วนงานจัดหาและ ติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคมในทางสามช่วง รังสิต-ชุมทางบ้านภาชี และทางคู่ช่วงชุมทางบางซื่อ-ชุมทางตลิ่งชัน ตามโครงการก่อสร้างทางคู่เป็นวงเงินรวมทั้งสิ้น 1,684.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวงเงินเดิม (769.06 ล้านบาท) 915.18 ล้านบาท และขยายเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณถึงปี งบประมาณ พ.ศ. 2547 (เดิมสิ้นสุดปีงบประมาณ พ.ศ. 2544)
4. การแปลงทุนขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย และการสื่อสารแห่งประเทศไทย เป็นหุ้นในรูปแบบของบริษัท จำกัด
คณะรัฐมนตรีอนุมัติเมื่อวันที่ 26 กันยายน ในหลักการให้นำกิจการทั้งหมดขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท.) และการสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) มาจัดตั้งเป็น 4 บริษัท คือ บริษัทรวมทุน (Holding Company) บริษัท ทศท. จำกัด บริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด และบริษัท กสท. ไปรษณีย์ จำกัด โดยให้บริษัทรวมทุนเป็นบริษัทแม่ของ 3 บริษัทดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติทุน รัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 ทั้งนี้ เพื่อให้การแปรสภาพของ ทศท. และ กสท. สามารถดำเนินการได้ตามแผนแม่บทการพัฒนากิจการโทรคมนาคม โดยเฉพาะ อย่างยิ่งเพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพของกิจการดังกล่าวให้สามารถแข่งขันกับภาคเอกชนได้ เมื่อมีการเปิด การแข่งขันเสรี
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-สส-
3.1 มาตรการการคลัง
ก. มาตรการภาษี
1. การปรับปรุงพิกัดอัตราอากรขาเข้า
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ปรับลดอัตราอากรขาเข้าสำหรับ วัตถุดิบขั้นปฐม ปัจจัยการผลิตขั้นกลาง สินค้าทุนและสินค้าอื่น ๆ จำนวน 542 รายการ เพื่อลดต้นทุนการผลิตในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งจะทำให้สามารถแข่งขันได้ในระดับภูมิภาคอาเซียนและระดับการค้าโลก
มาตรการปรับลดอัตราอากรขาเข้าครั้งนี้ ทำให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ประมาณ ปีละ 3,300 ล้านบาท แต่คาดว่าจะสามารถชดเชยได้จากการเก็บภาษีเงินได้ และภาษีมูลค่าเพิ่มได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากภาคการผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ ได้ประโยชน์จากการที่ต้นทุนต่ำลง ซึ่งสามารถ แข่งขันกับต่างประเทศ และผู้บริโภคสามารถซื้อ สินค้าในราคาที่ต่ำลง
2. การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกหักภาษี เงินได้ ณ ที่จ่าย และภาษีธุรกิจเฉพาะไว้แล้ว
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ ผู้มีเงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ได้มา ซึ่งได้ถูกหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และภาษีธุรกิจเฉพาะไว้แล้ว เมื่อถึงกำหนดยื่น รายการเสียภาษีเงินได้ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำ เงินได้ดังกล่าวมาคำนวณเป็นเงินได้ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อระบบธุรกิจการค้าอสังหาริมทรัพย์และสอดคล้องกับสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน
3. การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ให้แก่ลูกหนี้ของสถาบันการเงิน
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่ลูกหนี้ของสถาบันการเงินเพื่อส่งเสริมให้มีการปรับปรุง โครงสร้างหนี้ ซึ่งจะมีผลให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้และจะส่งผลต่อการจัดเก็บภาษี ในระยะยาว
4. การยกเว้นภาษี สรรพสามิตสำหรับสินค้าที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบหรือส่วนประกอบในการผลิตสินค้าเพื่อการ ส่งออก
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ … (พ.ศ. ….) ออกตามความในพระราชบัญญัติภาษี สรรพสามิต พ.ศ. 2527 ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการยกเว้นภาษีสำหรับสินค้าที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบหรือส่วนประกอบในการผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก โดยมีสาระสำคัญคือ
- กำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิขอรับการยกเว้นภาษี - กำหนดวิธีการควบคุมสินค้าที่ได้รับการยกเว้นภาษีตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง - ควบคุมสูตรการผลิตสินค้า - กำหนดหน้าที่และความ รับผิดชอบของผู้นำสินค้าที่ได้รับการยกเว้นภาษีไปใช้ ในการผลิต
5. การปรับปรุงอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์กระบะ
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม อนุมัติร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง ปรับปรุงอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์กระบะเพื่อให้ การจัดเก็บภาษีรถยนต์สอดคล้องกับเจตนารมณ์ ของโครงสร้างภาษี โดยมีสาระสำคัญเพื่อกำหนดอัตราภาษีสำหรับรถยนต์กระบะออกเป็น 2 อัตรา คือ
1) อัตราภาษีร้อยละ 3 ตาม มูลค่าสำหรับรถยนต์กระบะ (Pick-up) ที่ใช้ในการบรรทุกขนส่งสิ่งของอย่างแท้จริง โดยมีน้ำหนักบรรทุกมากพอสมควรและกระบะช่วงหลังมีความยาวเพียงพอที่จะใช้บรรทุกได้ 2) อัตราภาษีร้อยละ 18 ตามมูลค่า สำหรับรถยนต์กระบะประเภทอื่นนอกจาก ข้อ 1 เพื่อให้เป็นอัตราเดียวกับรถยนต์ประเภท PPV(Pick-up Passenger Vehicle)
ข. มาตรการรายจ่าย
1. มาตรการจำกัดค่าใช้จ่าย ด้านบุคลากรภาครัฐ
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม เห็นชอบมาตรการจำกัดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐ เพื่อควบคุมรายจ่ายประจำ โดยให้นำมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 และ 29 มิถุนายน 2542 เรื่องมาตรการจำกัดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรและมาตรการปรับลดอัตราการเลื่อนขั้นเงินเดือนและค่าจ้างของรัฐวิสาหกิจประจำปี 2543 ตามลำดับ มาบังคับใช้ในปีงบประมาณ 2544 อีก 1 ปี สาระสำคัญของมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว คือ อัตราเพิ่มของการเลื่อนขั้นเงินเดือนประจำปีของข้าราชการและลูกจ้างต้องอยู่ภายในวงเงินไม่เกินร้อยละ 5 ของเงินงบประมาณที่จ่ายเป็นเงินเดือนและค่าจ้าง สำหรับรัฐวิสาหกิจให้กำหนดอัตราเพิ่มการเลื่อนขั้นเงินเดือนและค่าจ้างให้สอดคล้องกับอัตราเพิ่มของภาคราชการ
2. การขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณปี 2541
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม อนุมัติให้ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ขยายเวลาการเบิกจ่ายเงินงบประมาณปี 2541 กรณีมีหนี้ผูกพันงบประมาณที่ได้รับการช่วยเหลือตามมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพก่อสร้างและผู้ประกอบอาชีพงานอื่นกับทางราชการที่ได้รับผลกระทบจากการปรับปรุงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา โดยให้ขยายเวลาเบิกจ่ายได้ไม่เกินสิ้นปี งบประมาณ 2544
3. การปรับอัตราการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตรและอนุมัติให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมาตรการ ควบคุมค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐ
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 19 กันยายน อนุมัติให้ความเห็นชอบการปรับอัตราการ เบิกจ่ายเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการศึกษาของบุตร เนื่องจากกระทรวงศึกษาธิการได้เปลี่ยนแปลงอัตรา ค่าธรรมเนียมการเรียน การปรับเพิ่มอัตราเบิกจ่ายเงิน สวัสดิการดังกล่าวเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐ และไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับ มาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐ ดังนั้น คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวด้วย
ค. มาตรการการก่อหนี้และบริหารหนี้
1. ธนาคารอาคารสงเคราะห์ขอระดมเงินทุนระยะยาว 20,000 ล้านบาทสำหรับปี 2543
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม อนุมัติให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กู้เงินในประเทศโดยการออกพันธบัตร จำนวน 20,000 ล้านบาท โดยกระทรวงการคลัง ค้ำประกัน เพื่อใช้สำหรับการดำเนินงานของ ธอส. ในปี 2543
2. การกู้เงินในรูป Euro Commercial Paper หรือ ECP Programme
คณะรัฐมนตรีรับทราบเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ผลการกู้เงินภายใต้ ECP Programme เมื่อวันที่ 25 และ 26 เมษายน วงเงินสุทธิรวม 25,945.5 ล้านเยน อัตราดอกเบี้ยระหว่างร้อยละ 0.256 | 0.406 ต่อปี เพื่อ Refinance เงินกู้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตจาก JBIC ที่ครบกำหนดชำระในวันที่ 25 และ 26 เมษายน วงเงิน 25,971 ล้านเยน โดยมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ 5.8 ต่อปี
3. การออกพันธบัตรของ รัฐบาลตามโครงการช่วยเพิ่มเงินกองทุนชั้นที่ 2 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2543 ครั้งที่ 9 ถึง 12
3.1 คณะรัฐมนตรีรับทราบเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม เรื่อง การออกพันธบัตร รัฐบาลตามโครงการช่วยเพิ่มเงินกองทุนชั้นที่ 2 ในปีงบประมาณ 2543 ครั้งที่ 9 และ 10 ให้แก่ บริษัทเงินทุนบุคคลัภย์ จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) โดยกระทรวงการคลังเข้าซื้อหุ้นกู้ด้อยสิทธิ์ของบริษัทและธนาคาร จำนวน 41 และ 667 ล้านบาท ตามลำดับ เพื่อให้บริษัทและธนาคารนำเงินดังกล่าวไปซื้อพันธบัตร รัฐบาลเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.75 ต่อปี อายุพันธบัตร 10 ปี
3.2 คณะรัฐมนตรีรับทราบเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม เรื่อง การออกพันธบัตรรัฐบาลตามโครงการช่วยเพิ่มเงินกองทุนชั้นที่ 2 ในปี งบประมาณ พ.ศ. 2543 ครั้งที่ 11 และ 12 แก่บริษัทเงินทุนธนชาติ จำกัด (มหาชน) และบริษัทเงินทุนเอกชาติ จำกัด (มหาชน) โดยกระทรวงการคลังเข้าซื้อหุ้นกู้ด้อยสิทธิของบริษัทดังกล่าวจำนวน 93 และ 54 ล้านบาท ตามลำดับ เพื่อให้บริษัทฯ นำเงินที่ได้รับไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.75 ต่อปี อายุพันธบัตร 10 ปี
4. การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลโดยการประมูลพันธบัตรรัฐบาล
คณะรัฐมนตรีรับทราบเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม เรื่องการออกจำหน่ายพันธบัตรรัฐบาลเพื่อชดเชยการขาดดุลในปีงบประมาณ พ.ศ. 2543 ครั้งที่ 1 วงเงิน 10,000 ล้านบาท อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5.60 ต่อปี และครั้งที่ 2 วงเงิน 10,000 ล้านบาท อายุ 15 ปี อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 7.20 ต่อปี โดยวิธีประมูลแบบ American Auction โดยกระทรวงการคลังจะกำหนดอัตราดอกเบี้ย (Coupon rate) ให้ผู้ประมูลเสนออัตราผลตอบแทน (Yield) และปริมาณที่ต้องการในการประมูลแต่ละครั้งรวม 4 ครั้ง ซึ่งกำหนดให้มีการประมูลในวันที่ 5 และ 19 กรกฎาคม 2543 2 และ 16 สิงหาคม 2543 โดยประมูลพร้อมกันทั้ง 2 รุ่น วงเงินรุ่นละ 2,500 ล้านบาท รวมวงเงิน 5,000 ล้านบาทต่อสัปดาห์
5. การปรับปรุงสัดส่วนการใช้เงินกู้สำหรับโครงการก่อสร้างทางรถไฟรางคู่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม เรื่องการปรับลดสัดส่วนการ จัดหาเงินกู้สำหรับโครงการก่อสร้างทางรถไฟรางคู่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยให้กระทรวง การคลังกู้เงินในสัดส่วนร้อยละ 50 ของค่าใช้จ่ายโครงการทั้งหมดหรือจำนวน 4,620 ล้านบาท ส่วนที่เหลือให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณให้ ทั้งนี้ หากสามารถจัดสรรงบประมาณได้ มากกว่าที่กำหนดไว้ก็สามารถดำเนินการได้
6. การดำเนินงานโครงการเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างภาคเกษตร
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม อนุมัติจ้างที่ปรึกษาภายใต้โครงการเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างภาคเกษตรในวงเงิน 160 ล้านบาท โดยจ่ายจากเงินกู้ JBIC และจ้างเหมาประมูลงานแบบเหมารวม (Lump Sum Turn Key) เพื่อ ก่อสร้างห้องปฏิบัติการกลางและระบบข้อมูล สารสนเทศของโครงการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพการเกษตรด้านปศุสัตว์เพิ่มเติมจากธนาคารเชื้อพันธุ์ โดยใช้วงเงินเดิมจำนวน 286.36 ล้านบาท ที่ได้รับอนุมัติไว้แล้วตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 23 พฤศจิกายน 2542
7. การกู้เงินของการรถไฟแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทยกู้เงินระยะยาวสำหรับใช้ในการดำเนินงานในปี งบประมาณ 2543 และใช้ในการดำเนินโครงการเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด จำนวน 3,380 และ 263.5 ล้านบาท ตามลำดับ โดยมีกระทรวง การคลังเป็นผู้พิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และรายละเอียดต่างๆ ในการกู้เงิน ตลอดจนการ ค้ำประกัน
8. การกู้เงินเพื่อใช้จ่ายในการลงทุนประจำปี 2543 ของการสื่อสารแห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม อนุมัติให้การสื่อสารแห่งประเทศไทยกู้เงินเพื่อใช้จ่ายในการลงทุนตามงบลงทุนประจำปี 2543 จำนวน 4,000 ล้านบาท
9. การปรับโครงสร้างหนี้ พันธบัตรรัฐบาล
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม เห็นชอบในหลักการการปรับโครงสร้างหนี้พันธบัตรรัฐบาล เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินรุ่นที่จะครบกำหนดชำระคืนวันที่ 31 สิงหาคม จำนวน 20,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 10.75 ต่อปี โดยวิธี (1) การออกพันธบัตรรัฐบาลโดยการประมูลผล ตอบแทน ซึ่งในการดำเนินการดังกล่าวอาจใช้วิธีการออกพันธบัตรใหม่หรือ Re-open พันธบัตร รุ่นเดิม หรือ (2) การออกตราสารหรือทำสัญญากู้เงินจากหน่วยงานที่อยู่ในความดูแลของรัฐ ในวงเงินไม่เกิน 20,000 ล้านบาท อายุการกู้ 5 | 15 ปี ตามอัตราดอกเบี้ยตลาด หรือไม่เกินอัตราดอกเบี้ย พันธบัตรรุ่นที่จะ Re-open
10. การทำ Refinance เงินกู้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม อนุมัติให้ กฟผ. กู้เงินในประเทศโดยการออกพันธบัตรอายุระหว่าง 3 | 5 ปี เพื่อทำ Refinance ทดแทนเงินกู้ต่างประเทศ และให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาเงื่อนไข และ รายละเอียดต่าง ๆ ของการกู้เงิน ตลอดจนการ ค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ยจากเงินกู้ดังกล่าว การทำ Refinance ครั้งนี้ ทำให้ กฟผ. ประหยัด ต้นทุนการกู้เงินได้ประมาณ 1,048 ล้านบาท
11. โครงการเงินกู้รัฐบาลญี่ปุ่นครั้งที่ 25
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 12 กันยายน อนุมัติให้กระทรวงการคลัง การประปา นครหลวง บริษัทท่าอากาศยานสากลกรุงเทพ แห่งใหม่ จำกัด และองค์การรถไฟฟ้ามหานคร กู้เงินตามโครงการเงินกู้รัฐบาลญี่ปุ่นครั้งที่ 25 โดยผ่าน JBIC วงเงิน 95,671 ล้านเยน ในโครงการต่อไปนี้
12. เงินกู้ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วมราชบุรี
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 12 กันยายน อนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตกู้เงินจาก JBIC ร่วมกับกลุ่มสถาบันการเงินอื่น ๆ เพื่อใช้ในการดำเนินงานสำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลัง ความร้อนร่วมราชบุรี ชุดที่ 1 ถึง 3 ภายใต้โครงการโรงไฟฟ้าราชบุรีในวงเงิน 4,905.5 ล้านเยน อัตราดอกเบี้ยคงที่เท่ากับร้อยละ 2.3 ต่อปี ชำระปีละ 2 งวด ชำระคืนต้นภายในระยะเวลา 9 ปีครึ่ง ปีละ 2 งวด รวม 19 งวด เริ่มชำระงวดแรกในเดือนพฤศจิกายน 2545 และให้กระทรวงการคลัง ค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าว
ง. มาตรการรัฐวิสาหกิจ
1. การลงทุนตามโครงการขยายเขตไฟฟ้าให้ราษฎรในชนบทระยะที่ 2 ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม เห็นชอบให้ กฟภ. ดำเนินการลงทุนตามโครงการขยายเขตไฟฟ้าให้ราษฎรในชนบทระยะที่ 2 เพื่อขยายเขตจำหน่ายไฟฟ้าให้บ้านเรือนราษฎรในหมู่บ้านที่มีไฟฟ้าใช้แล้ว แต่ยังไม่ทั่วถึง ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของ กฟภ. ทั่วประเทศ (73 จังหวัด) จำนวน 150,000 หลังคาเรือน ระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี (2543 | 2546) วงเงินลงทุน 3,655 ล้านบาท แยกเป็นเงินตราต่างประเทศ 1,765 ล้านบาท และเงินบาท 1,890 ล้านบาท โดยในส่วนของเงินตราต่างประเทศจะกู้จากสถาบันการเงิน ต่างประเทศและในส่วนเงินบาทจะใช้จากแหล่งเงินกู้ในประเทศ และ/หรือรายได้ของ กฟภ.
2. การแปรรูปบริษัทไทย เดินเรือทะเล จำกัด
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ไม่รับข้อเสนอของสมาคมเจ้าของ เรือไทย (สจท.) ในการทยอยจ่ายเงินค่าหุ้นเพิ่มทุนตามความต้องการของ บริษัทไทยเดินเรือทะเล จำกัด (บทด.) และให้ดำเนินการแปรรูป บทด.
ตามหลักการเดิมของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2542 ที่กำหนดให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2543 โดยการหาเอกชนผู้สนใจรายอื่นที่เป็นคนไทยมาซื้อหุ้นเพิ่มทุน บทด. ในราคาหุ้นละ 12.50 บาท จ่ายเงินภายใน 31 ตุลาคม 2543 และหากไม่มีผู้สนใจซื้อหุ้นเพิ่มทุนให้เตรียมดำเนินการยุบ บทด. ต่อไป
3. อนุมัติปรับปรุงวงเงิน งบประมาณและขอขยายระยะเวลาก่อหนี้ ผูกพันโครงการก่อสร้างทางคู่ของการรถไฟ แห่งประเทศไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทย ปรับปรุงวงเงินงบประมาณของส่วนงานจัดหาและ ติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคมในทางสามช่วง รังสิต-ชุมทางบ้านภาชี และทางคู่ช่วงชุมทางบางซื่อ-ชุมทางตลิ่งชัน ตามโครงการก่อสร้างทางคู่เป็นวงเงินรวมทั้งสิ้น 1,684.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากวงเงินเดิม (769.06 ล้านบาท) 915.18 ล้านบาท และขยายเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณถึงปี งบประมาณ พ.ศ. 2547 (เดิมสิ้นสุดปีงบประมาณ พ.ศ. 2544)
4. การแปลงทุนขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย และการสื่อสารแห่งประเทศไทย เป็นหุ้นในรูปแบบของบริษัท จำกัด
คณะรัฐมนตรีอนุมัติเมื่อวันที่ 26 กันยายน ในหลักการให้นำกิจการทั้งหมดขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท.) และการสื่อสารแห่งประเทศไทย (กสท.) มาจัดตั้งเป็น 4 บริษัท คือ บริษัทรวมทุน (Holding Company) บริษัท ทศท. จำกัด บริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด และบริษัท กสท. ไปรษณีย์ จำกัด โดยให้บริษัทรวมทุนเป็นบริษัทแม่ของ 3 บริษัทดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติทุน รัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2542 ทั้งนี้ เพื่อให้การแปรสภาพของ ทศท. และ กสท. สามารถดำเนินการได้ตามแผนแม่บทการพัฒนากิจการโทรคมนาคม โดยเฉพาะ อย่างยิ่งเพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพของกิจการดังกล่าวให้สามารถแข่งขันกับภาคเอกชนได้ เมื่อมีการเปิด การแข่งขันเสรี
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-สส-