ภาวะตลาดเงินตราต่างประเทศ
ค่าเงินบาทเก้าเดือนแรกเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 37.35 — 41.88 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. โดยเงินบาทได้ปรับตัวอ่อนลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี สำหรับค่าเงินบาทในไตรมาสที่สามมีค่าเฉลี่ย 40.22 40.87 และ 41.88 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนกรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน ตามลำดับ
ในช่วงครึ่งปีแรก ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอย่างมีเสถียรภาพโดยโน้มตัวอ่อนลงเล็กน้อย ปัจจัยที่ส่งผลให้เงินบาทปรับตัวอ่อนลงในช่วงต้นปี ได้แก่ ความล่าช้าของการปรับโครงสร้างภาคการเงินแบบเบ็ดเสร็จของไทยซึ่งยังคงเป็นปัจจัยถ่วงต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยการเจรจาระหว่างเจ้าหนี้และ ลูกหนี้ของบริษัท TPI ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จ ในช่วงแรกและได้ส่งผลกระทบต่อ sentiment ของ ค่าเงินบาท การปรับตัวลดลงของดัชนีตลาด หลักทรัพย์ไทยโดยที่ MSCI (Morgan Stanley Capital International) ได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทย ตลอดจนการอ่อนตัวเป็นระยะของค่าเงินสกุลสำคัญในภูมิภาคเป็นปัจจัยกดดัน ค่าเงินบาทในช่วงกลางปีธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศภาระหนี้ต่างประเทศจากการสำรวจใหม่ ทำให้ตัวเลขหนี้ต่างประเทศของไทย เพิ่มขึ้นประมาณ 20 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลต่อความต้องการเงินตราต่างประเทศ โดยเอกชนไทยได้เร่งซื้อดอลลาร์ สรอ. เพื่อชำระหนี้ นอกจากนี้ การปรับตัวลดลงของดัชนีตลาด หลักทรัพย์ไทยยังส่งผลกระทบเชิงลบต่อค่าเงินบาท ส่วนปัจจัยภายนอกประเทศที่มีผลต่อเงินบาท ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่สูงขึ้นจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้วทั้งสิ้น 6 ครั้ง นับตั้งแต่ปี 2542 ประกอบค่าเงิน บางสกุลในภูมิภาคมีการอ่อนตัวลงโดยเฉพาะรูเปียอินโดนีเซีย และเปโซฟิลิปปินส์ ซึ่งได้อ่อนค่าลง อย่างมากและตลาดเชื่อว่าธปท. จะไม่เข้าแทรกแซง ค่าเงินบาท เว้นแต่เพื่อลดความผันผวนทำให้ตลาดคาดว่าค่าเงินบาทอาจจะปรับตัวอ่อนลงได้อีกในช่วงต่อไปของปี
ในไตรมาสที่สาม ค่าเงินบาทปรับตัวอ่อนลงอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในเดือนกันยายน เมื่อธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้ลง ทำให้เอกชนไทยแปลงหนี้ต่างประเทศเป็นหนี้สกุล เงินบาทเนื่องจากมีต้นทุนต่ำกว่าประกอบกับการที่ MSCI ได้ประกาศปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนให้กับสหรัฐฯ โดยได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในญี่ปุ่นและ ยุโรปลง โดย MSCI ได้ตัดหลักทรัพย์ไทยจำนวน 8 หลักทรัพย์ และได้เพิ่มหลักทรัพย์ใหม่เพียง 1 หลักทรัพย์ การปรับลดหลักทรัพย์ดังกล่าวก่อให้เกิด sentiment เชิงลบต่อตลาดหลักทรัพย์และค่าเงินบาท นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของการเมืองภายในประเทศ ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นซึ่งอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการอ่อนตัวของค่าเงินในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง อาทิ เปโซฟิลิปปินส์ รวมถึงความไม่สงบในอินโดนีเซียได้ส่งผลต่อความมั่นใจของนักลงทุนที่มีต่อภูมิภาคอันเป็นปัจจัยที่กดดันค่าเงินบาทต่อไป อนึ่ง จากการที่ธนาคารพาณิชย์ไทยหลายแห่งได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจตามนโยบายทางการนั้นอาจทำให้ตลาด เชื่อว่าทางการยังจะไม่ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อรักษาค่าเงินบาทในระยะนี้ ทั้งนี้ โดยมี จุดประสงค์เพื่อเอื้อต่อการขยายตัวของการส่งออกซึ่งเป็นกลจักรสำคัญ ต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
กล่าวโดยสรุป ค่าเงินบาทปรับตัวอ่อนลงอย่างต่อเนื่องในช่วงเก้าเดือนแรกของปี โดยได้รับผลกระทบจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ อย่างไรก็ตาม การอ่อนตัวของเงินบาท โดยเฉพาะในปลายไตรมาส 2 และ 3 เป็นไปในระดับที่น้อยกว่าการอ่อนตัวของค่าเงินบางสกุลในภูมิภาค อาทิ เปโซ ฟิลิปปินส์ การอ่อนตัวของเงินบาทส่งผลบวกต่อการขยายตัวของการส่งออกและทำให้ไทยยังคงมีการ เกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-สส-
ค่าเงินบาทเก้าเดือนแรกเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 37.35 — 41.88 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. โดยเงินบาทได้ปรับตัวอ่อนลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี สำหรับค่าเงินบาทในไตรมาสที่สามมีค่าเฉลี่ย 40.22 40.87 และ 41.88 บาทต่อดอลลาร์ สรอ. ในเดือนกรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน ตามลำดับ
ในช่วงครึ่งปีแรก ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอย่างมีเสถียรภาพโดยโน้มตัวอ่อนลงเล็กน้อย ปัจจัยที่ส่งผลให้เงินบาทปรับตัวอ่อนลงในช่วงต้นปี ได้แก่ ความล่าช้าของการปรับโครงสร้างภาคการเงินแบบเบ็ดเสร็จของไทยซึ่งยังคงเป็นปัจจัยถ่วงต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยการเจรจาระหว่างเจ้าหนี้และ ลูกหนี้ของบริษัท TPI ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จ ในช่วงแรกและได้ส่งผลกระทบต่อ sentiment ของ ค่าเงินบาท การปรับตัวลดลงของดัชนีตลาด หลักทรัพย์ไทยโดยที่ MSCI (Morgan Stanley Capital International) ได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทย ตลอดจนการอ่อนตัวเป็นระยะของค่าเงินสกุลสำคัญในภูมิภาคเป็นปัจจัยกดดัน ค่าเงินบาทในช่วงกลางปีธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประกาศภาระหนี้ต่างประเทศจากการสำรวจใหม่ ทำให้ตัวเลขหนี้ต่างประเทศของไทย เพิ่มขึ้นประมาณ 20 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลต่อความต้องการเงินตราต่างประเทศ โดยเอกชนไทยได้เร่งซื้อดอลลาร์ สรอ. เพื่อชำระหนี้ นอกจากนี้ การปรับตัวลดลงของดัชนีตลาด หลักทรัพย์ไทยยังส่งผลกระทบเชิงลบต่อค่าเงินบาท ส่วนปัจจัยภายนอกประเทศที่มีผลต่อเงินบาท ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่สูงขึ้นจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปแล้วทั้งสิ้น 6 ครั้ง นับตั้งแต่ปี 2542 ประกอบค่าเงิน บางสกุลในภูมิภาคมีการอ่อนตัวลงโดยเฉพาะรูเปียอินโดนีเซีย และเปโซฟิลิปปินส์ ซึ่งได้อ่อนค่าลง อย่างมากและตลาดเชื่อว่าธปท. จะไม่เข้าแทรกแซง ค่าเงินบาท เว้นแต่เพื่อลดความผันผวนทำให้ตลาดคาดว่าค่าเงินบาทอาจจะปรับตัวอ่อนลงได้อีกในช่วงต่อไปของปี
ในไตรมาสที่สาม ค่าเงินบาทปรับตัวอ่อนลงอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในเดือนกันยายน เมื่อธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้ลง ทำให้เอกชนไทยแปลงหนี้ต่างประเทศเป็นหนี้สกุล เงินบาทเนื่องจากมีต้นทุนต่ำกว่าประกอบกับการที่ MSCI ได้ประกาศปรับเพิ่มน้ำหนักการลงทุนให้กับสหรัฐฯ โดยได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในญี่ปุ่นและ ยุโรปลง โดย MSCI ได้ตัดหลักทรัพย์ไทยจำนวน 8 หลักทรัพย์ และได้เพิ่มหลักทรัพย์ใหม่เพียง 1 หลักทรัพย์ การปรับลดหลักทรัพย์ดังกล่าวก่อให้เกิด sentiment เชิงลบต่อตลาดหลักทรัพย์และค่าเงินบาท นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของการเมืองภายในประเทศ ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นซึ่งอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และการอ่อนตัวของค่าเงินในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง อาทิ เปโซฟิลิปปินส์ รวมถึงความไม่สงบในอินโดนีเซียได้ส่งผลต่อความมั่นใจของนักลงทุนที่มีต่อภูมิภาคอันเป็นปัจจัยที่กดดันค่าเงินบาทต่อไป อนึ่ง จากการที่ธนาคารพาณิชย์ไทยหลายแห่งได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจตามนโยบายทางการนั้นอาจทำให้ตลาด เชื่อว่าทางการยังจะไม่ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อรักษาค่าเงินบาทในระยะนี้ ทั้งนี้ โดยมี จุดประสงค์เพื่อเอื้อต่อการขยายตัวของการส่งออกซึ่งเป็นกลจักรสำคัญ ต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
กล่าวโดยสรุป ค่าเงินบาทปรับตัวอ่อนลงอย่างต่อเนื่องในช่วงเก้าเดือนแรกของปี โดยได้รับผลกระทบจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ อย่างไรก็ตาม การอ่อนตัวของเงินบาท โดยเฉพาะในปลายไตรมาส 2 และ 3 เป็นไปในระดับที่น้อยกว่าการอ่อนตัวของค่าเงินบางสกุลในภูมิภาค อาทิ เปโซ ฟิลิปปินส์ การอ่อนตัวของเงินบาทส่งผลบวกต่อการขยายตัวของการส่งออกและทำให้ไทยยังคงมีการ เกินดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-สส-