ความล้มเหลวของการประชุมภายใต้กรอบ WTO ได้ส่งผลให้ความคืบหน้าในการดำเนินการเปิดเสรีการค้าในระดับพหุภาคีหยุดชะงักลง กระแสการจัดทำความตกลงการค้าเสรีในระดับทวิภาคี (Bilateral Free Trade Agreement) จึงได้เกิดขึ้น หลายประเทศได้จัดทำเขตการค้าเสรีสองฝ่ายระหว่างกัน
นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ (Mr. Goh Chok Tong) และนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ (Mrs. Helen Clark) ได้ร่วมลงนามความตกลงทวิภาคีในการเปิดเสรีทางการค้าระหว่างกัน (Agreement between New Zealand and Singapore on a Closer Economic Partnership : ANZSCEP) เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2543 ในระหว่างการประชุมผู้นำเศรษฐกิจเอเปคที่บรูไน โดยเน้นว่า ความตกลงดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นให้เอเปคพัฒนาสู่เป้าหมายการเปิดเสรีทางการค้าภายในปี 2553 สำหรับประเทศพัฒนาแล้ว และภายในปี 2563 สำหรับประเทศกำลังพัฒนา ทั้งนี้ ความตกลงฯ จะครอบคลุมสาขาความร่วมมือในด้านสินค้า บริการ การลงทุน และอุปสรรคทางการค้าในสินค้า (technical barriers to trade in goods) และมีมาตรฐานที่สูงกว่ากฎเกณฑ์ของ WTO โดยจะยกเลิกการเก็บภาษีและห้ามอุดหนุนการส่งออกในทุกสินค้า รวมถึงสินค้าเกษตร และขยายข้อตกลงทางด้านบริการ
สาระสำคัญของความตกลงฯ (ANZSCEP)
1. ทั้งสองประเทศจะลดภาษีสินค้าระหว่างกัน ในระยะแรกจะครอบคลุมสินค้าประเภทเครื่องจักรไฟฟ้า เครื่องจักรกล และสินค้าชิ้นส่วนการผลิต
2. ให้มีการยกเลิกมาตรการที่มิใช่ภาษี เพื่อสอดคล้องกับข้อตกลงของ WTO
3. ให้มีการเปิดเสรีด้านบริการในสาขาต่างๆ เช่น ด้านการประกอบอาชีพ การเงิน สิ่งแวดล้อม
4. การร่วมกันลดการใช้มาตรการป้องกันการทุ่มตลาด (Anti-dumping measure) เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคทางการค้า
5. การร่วมกันปรับปรุงระบบศุลกากรของสองประเทศเพื่อให้เกิดความคล่องตัวทางการค้าระหว่างกัน
ทั้งนี้ ภายใต้ความตกลงฯ ได้กำหนดให้มีการประเมินผลเมื่อการบังคับใช้ความตกลงฯ ผ่านไป 5 ปี
ในการจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างนิวซีแลนด์กับสิงคโปร์ ทั้งสองฝ่ายจะได้รับประโยชน์จากการลดภาษีอากรสินค้านำเข้าระหว่างกัน และได้รับโอกาสเพิ่มขึ้นในการลงทุนในแต่ละประเทศ จากการเปิดตลาดการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมและการบริการ โดยข้อตกลงดังกล่าว จะทำให้ปริมาณการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศเพิ่มขึ้น เนื่องจากสิงคโปร์เป็นประเทศที่ไม่มีข้อกีดกันทางด้านภาษีในการนำเข้าสินค้าจากประเทศต่าง ๆ การจัดทำ FTA กับนิวซีแลนด์จึงไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อสิงคโปร์ ในขณะที่ ผลดีที่นิวซีแลนด์จะได้รับคือ การใช้สิงคโปร์เป็นฐานการแปรรูปสินค้าเพื่อกระจายสินค้าไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เนื่องจากสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีศักยภาพในการขนส่งสินค้าและกระจายสินค้าไปสู่ภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก การส่งออกสินค้าของนิวซีแลนด์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าประเภทวัตถุดิบจะได้รับประโยชน์หากนำมาแปรรูปเป็นสินค้าอุตสาหกรรมในสิงคโปร์เพื่อส่งออกไปยังตลาดผู้บริโภคที่สำคัญในประเทศต่าง ๆ
ผลกระทบของความตกลง ANZSCEP ต่อประเทศไทย
1. สิงคโปร์จะได้รับประโยชน์จากการไม่ถูกเรียกเก็บอากรหรือการลดภาษีในสินค้าประเภทต่าง ๆ ได้แก่ สินค้าเครื่องจักรกลไฟฟ้า สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปนิวซีแลนด์ ดังนั้น ประเทศไทยอาจได้รับผลกระทบโดยการส่งออกสินค้าของไทยไปยังนิวซีแลนด์อาจจะลดลง อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลกระทบจะไม่มากนัก เนื่องจากตลาดของนิวซีแลนด์เป็นตลาดขนาดเล็กและไม่ใช่ตลาดหลักของไทย จะเห็นได้จากมูลค่าการค้าระหว่างไทยและนิวซีแลนด์ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2539 -2543) มีมูลค่าเฉลี่ยปีละ 331 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 0.2 — 0.3 ของมูลค่าการค้าทั้งหมดของไทย
2. การส่งออกของไทยไปสิงคโปร์ไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากความตกลงฯ เพราะโครงสร้างการส่งออกของนิวซีแลนด์และไทยไปสิงคโปร์มีลักษณะที่แตกต่างกัน โดยสินค้าที่ไทยส่งออกไปสิงคโปร์ส่วนใหญ่เป็นสินค้าประเภทอุตสาหกรรมขั้นกลางเพื่อนำไปผลิตต่อในสิงคโปร์ และอาจมีสินค้าเกษตรบางประเภท เช่น ข้าว ในขณะที่ สินค้าของนิวซีแลนด์ที่ส่งไปสิงคโปร์เป็นสินค้าประเภทเกษตรกรรมและมีสินค้าอุตสาหกรรมบางประเภท เช่น วัตถุดิบเพื่อใช้ในอุตสาหกรรม
3. สิงคโปร์จะได้รับการคุ้มครองจากมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (anti-dumping measures) ซึ่งเป็นมาตรการที่นิวซีแลนด์มักใช้ในการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศของตนมาโดยตลอด เหนือกว่าประเทศไทย เนื่องจากภายใต้ความตกลงฯ มุ่งเน้นให้มีการลดการใช้มาตรการดังกล่าวตามอำเภอใจ หรือเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ ที่ผ่านมา ไทยเคยถูกนิวซีแลนด์ใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดในสินค้า พลาสเตอร์บอร์ด
4. ในด้านการลงทุนนั้น การเปิดเสรีด้านการลงทุนของนิวซีแลนด์และสิงคโปร์ อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อประเทศไทยบ้าง โดยภาคเอกชนนิวซีแลนด์อาจให้ความสำคัญต่อการลงทุนในประเทศสิงคโปร์เพิ่มขึ้นจากเดิม อันเป็นผลมาจากการเปิดเสรีด้านภาคบริการ ประเทศไทยอาจเป็นทางเลือกการลงทุนในอันดับรองจากสิงคโปร์ สำหรับในด้านการลงทุนของสิงคโปร์นั้น เมื่อพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ที่สนับสนุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรม เช่น สถานที่ตั้ง จำนวนประชากร และแรงงาน ประเทศไทยมีศักยภาพที่ดีกว่าประเทศนิวซีแลนด์ ดังนั้น ความตกลงฯ ดังกล่าว จึงไม่น่าจะมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชนของสิงคโปร์ในประเทศไทยมากนัก
5. ในกรณีที่มีการจัดซื้อโดยภาครัฐระหว่างไทยกับนิวซีแลนด์ หรือไทยกับสิงคโปร์นั้น ความเป็นธรรมและการเปิดกว้างในการจัดซื้อดังกล่าวจะเป็นรองการจัดซื้อระหว่างนิวซีแลนด์และสิงคโปร์ เนื่องจากการคุ้มครองโดยความตกลง ANZSCEP
--กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ เมษายน 2544--
-ปส-
นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ (Mr. Goh Chok Tong) และนายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ (Mrs. Helen Clark) ได้ร่วมลงนามความตกลงทวิภาคีในการเปิดเสรีทางการค้าระหว่างกัน (Agreement between New Zealand and Singapore on a Closer Economic Partnership : ANZSCEP) เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2543 ในระหว่างการประชุมผู้นำเศรษฐกิจเอเปคที่บรูไน โดยเน้นว่า ความตกลงดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นให้เอเปคพัฒนาสู่เป้าหมายการเปิดเสรีทางการค้าภายในปี 2553 สำหรับประเทศพัฒนาแล้ว และภายในปี 2563 สำหรับประเทศกำลังพัฒนา ทั้งนี้ ความตกลงฯ จะครอบคลุมสาขาความร่วมมือในด้านสินค้า บริการ การลงทุน และอุปสรรคทางการค้าในสินค้า (technical barriers to trade in goods) และมีมาตรฐานที่สูงกว่ากฎเกณฑ์ของ WTO โดยจะยกเลิกการเก็บภาษีและห้ามอุดหนุนการส่งออกในทุกสินค้า รวมถึงสินค้าเกษตร และขยายข้อตกลงทางด้านบริการ
สาระสำคัญของความตกลงฯ (ANZSCEP)
1. ทั้งสองประเทศจะลดภาษีสินค้าระหว่างกัน ในระยะแรกจะครอบคลุมสินค้าประเภทเครื่องจักรไฟฟ้า เครื่องจักรกล และสินค้าชิ้นส่วนการผลิต
2. ให้มีการยกเลิกมาตรการที่มิใช่ภาษี เพื่อสอดคล้องกับข้อตกลงของ WTO
3. ให้มีการเปิดเสรีด้านบริการในสาขาต่างๆ เช่น ด้านการประกอบอาชีพ การเงิน สิ่งแวดล้อม
4. การร่วมกันลดการใช้มาตรการป้องกันการทุ่มตลาด (Anti-dumping measure) เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคทางการค้า
5. การร่วมกันปรับปรุงระบบศุลกากรของสองประเทศเพื่อให้เกิดความคล่องตัวทางการค้าระหว่างกัน
ทั้งนี้ ภายใต้ความตกลงฯ ได้กำหนดให้มีการประเมินผลเมื่อการบังคับใช้ความตกลงฯ ผ่านไป 5 ปี
ในการจัดทำความตกลงการค้าเสรีระหว่างนิวซีแลนด์กับสิงคโปร์ ทั้งสองฝ่ายจะได้รับประโยชน์จากการลดภาษีอากรสินค้านำเข้าระหว่างกัน และได้รับโอกาสเพิ่มขึ้นในการลงทุนในแต่ละประเทศ จากการเปิดตลาดการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมและการบริการ โดยข้อตกลงดังกล่าว จะทำให้ปริมาณการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศเพิ่มขึ้น เนื่องจากสิงคโปร์เป็นประเทศที่ไม่มีข้อกีดกันทางด้านภาษีในการนำเข้าสินค้าจากประเทศต่าง ๆ การจัดทำ FTA กับนิวซีแลนด์จึงไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อสิงคโปร์ ในขณะที่ ผลดีที่นิวซีแลนด์จะได้รับคือ การใช้สิงคโปร์เป็นฐานการแปรรูปสินค้าเพื่อกระจายสินค้าไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เนื่องจากสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีศักยภาพในการขนส่งสินค้าและกระจายสินค้าไปสู่ภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก การส่งออกสินค้าของนิวซีแลนด์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าประเภทวัตถุดิบจะได้รับประโยชน์หากนำมาแปรรูปเป็นสินค้าอุตสาหกรรมในสิงคโปร์เพื่อส่งออกไปยังตลาดผู้บริโภคที่สำคัญในประเทศต่าง ๆ
ผลกระทบของความตกลง ANZSCEP ต่อประเทศไทย
1. สิงคโปร์จะได้รับประโยชน์จากการไม่ถูกเรียกเก็บอากรหรือการลดภาษีในสินค้าประเภทต่าง ๆ ได้แก่ สินค้าเครื่องจักรกลไฟฟ้า สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปนิวซีแลนด์ ดังนั้น ประเทศไทยอาจได้รับผลกระทบโดยการส่งออกสินค้าของไทยไปยังนิวซีแลนด์อาจจะลดลง อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลกระทบจะไม่มากนัก เนื่องจากตลาดของนิวซีแลนด์เป็นตลาดขนาดเล็กและไม่ใช่ตลาดหลักของไทย จะเห็นได้จากมูลค่าการค้าระหว่างไทยและนิวซีแลนด์ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2539 -2543) มีมูลค่าเฉลี่ยปีละ 331 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 0.2 — 0.3 ของมูลค่าการค้าทั้งหมดของไทย
2. การส่งออกของไทยไปสิงคโปร์ไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากความตกลงฯ เพราะโครงสร้างการส่งออกของนิวซีแลนด์และไทยไปสิงคโปร์มีลักษณะที่แตกต่างกัน โดยสินค้าที่ไทยส่งออกไปสิงคโปร์ส่วนใหญ่เป็นสินค้าประเภทอุตสาหกรรมขั้นกลางเพื่อนำไปผลิตต่อในสิงคโปร์ และอาจมีสินค้าเกษตรบางประเภท เช่น ข้าว ในขณะที่ สินค้าของนิวซีแลนด์ที่ส่งไปสิงคโปร์เป็นสินค้าประเภทเกษตรกรรมและมีสินค้าอุตสาหกรรมบางประเภท เช่น วัตถุดิบเพื่อใช้ในอุตสาหกรรม
3. สิงคโปร์จะได้รับการคุ้มครองจากมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (anti-dumping measures) ซึ่งเป็นมาตรการที่นิวซีแลนด์มักใช้ในการปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศของตนมาโดยตลอด เหนือกว่าประเทศไทย เนื่องจากภายใต้ความตกลงฯ มุ่งเน้นให้มีการลดการใช้มาตรการดังกล่าวตามอำเภอใจ หรือเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ ที่ผ่านมา ไทยเคยถูกนิวซีแลนด์ใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดในสินค้า พลาสเตอร์บอร์ด
4. ในด้านการลงทุนนั้น การเปิดเสรีด้านการลงทุนของนิวซีแลนด์และสิงคโปร์ อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อประเทศไทยบ้าง โดยภาคเอกชนนิวซีแลนด์อาจให้ความสำคัญต่อการลงทุนในประเทศสิงคโปร์เพิ่มขึ้นจากเดิม อันเป็นผลมาจากการเปิดเสรีด้านภาคบริการ ประเทศไทยอาจเป็นทางเลือกการลงทุนในอันดับรองจากสิงคโปร์ สำหรับในด้านการลงทุนของสิงคโปร์นั้น เมื่อพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ที่สนับสนุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรม เช่น สถานที่ตั้ง จำนวนประชากร และแรงงาน ประเทศไทยมีศักยภาพที่ดีกว่าประเทศนิวซีแลนด์ ดังนั้น ความตกลงฯ ดังกล่าว จึงไม่น่าจะมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชนของสิงคโปร์ในประเทศไทยมากนัก
5. ในกรณีที่มีการจัดซื้อโดยภาครัฐระหว่างไทยกับนิวซีแลนด์ หรือไทยกับสิงคโปร์นั้น ความเป็นธรรมและการเปิดกว้างในการจัดซื้อดังกล่าวจะเป็นรองการจัดซื้อระหว่างนิวซีแลนด์และสิงคโปร์ เนื่องจากการคุ้มครองโดยความตกลง ANZSCEP
--กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ เมษายน 2544--
-ปส-