คำกล่าว
ของ
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เนื่องในโอกาสเปิดห้องประชุม "ป๋วย อึ๊งภากรณ์"
ในวันครบรอบสถาปนาสำนักงานเศรษฐกิจการคลังปีที่ 40
วันที่ 18 ตุลาคม 2544
__________________________
ท่านอดีตผู้ว่าฯ กำจรฯ ท่านอดีตปลัดกระทรวงการคลัง ท่านอดีตข้าราชการอาวุโส และข้าราชการทุกท่านที่อยู่ ณ ห้องประชุมแห่งนี้ผมมีความยินดีเป็นอย่างสูงที่ได้มีโอกาสมางานในวันนี้ จริงๆ แล้ว ผมอยากกราบเรียนว่า การที่ได้มีโอกาสมาเปิดห้องประชุมอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ในวันนี้ถือว่าเป็นความยินดีที่ยิ่งใหญ่ เพราะจริงๆ แล้วสิ่งแรกเลยที่ทำให้ชีวิตผมหักเหมาอยู่ที่แห่งนี้ได้ก็เกิดจากท่านอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อายุของผมนั้นจริงๆ แล้วก็คือคนตุลาเมื่อประมาณ 20 กว่าปีมาแล้ว ผมเข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อ 14 ตุลาคม 2516 จบการศึกษาปี 20 เกือบจะไม่ได้สอบเพราะติดช่วงตุลา 19 ได้พบ ได้สัมผัสเหตุการณ์ในเดือนตุลาทั้ง 2 ช่วงคาบ ได้เดินขบวนอยู่ที่สนามหลวง หลบลูกกระสุน มีเพื่อนฝูงที่ผ่านพ้นเหตุการณ์อันเลวร้ายในช่วงตุลา
เหตุการณ์ในช่วงนั้นถึงแม้จะเป็นภาพที่เลวร้าย แต่ก็เปิดโอกาสอันหนึ่งให้ผมได้มีโอกาสมาทันท่าน อาจารย์ป๋วย ซึ่งขณะนั้นท่านได้รับการขอร้องให้กลับมาเป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผมยังจำภาพที่ท่านเดินมาที่ลานโพธิ์ ใส่เสื้อแขนยาวสีขาว พับแขนเสื้อ คุยกับพวกผมที่อยู่ที่ลานโพธิ์ เจรจาให้เลิกการใช้วิธีการที่รุนแรง ขอให้มีการพูดจากันโดยสงบ เห็นแก่ประเทศโดยส่วนรวม ทั้งนี้เป็นเพราะว่าท่านทราบว่าเหตุการณ์จะนำไปสู่ความรุนแรง ที่อาจจะทำให้นักศึกษาในขณะนั้นต้องประสบเคราะห์กรรม ท่านทราบมาก่อน แต่ด้วยวัยของนักศึกษาในช่วงนั้นเป็นวัยที่อยู่ในช่วงประมาณ 20 เศษๆ ถ้าเปรียบเสมือนกระทิงก็ถือว่าเป็นวัวกระทิงเปลี่ยว ยากที่ใครจะมาฉุดรั้งได้
ในช่วง 3-4 ปีที่อยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์สิ่งหนึ่งที่ท่านอาจารย์ป๋วยสอนเราก็คือว่า ให้มีความรักในประชาชน ผมจำคำขวัญของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ขึ้นใจเลย "เรารักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนเราให้รักประชาชน" อันนั้นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด เหตุการณ์ในช่วงนั้นไม่ได้สอนให้เรารู้ว่าเราจะต้องเป็นคนที่เกิดในยุค 14 ตุลา เป็นวีรชน 14 ตุลา อันนั้นเป็นเรื่องไร้สาระ แต่เหตุการณ์ในวันนั้นสอนให้เรารู้ว่า นักศึกษามีหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบต่อสังคม แทนที่วันหนึ่งๆ จะไปเที่ยวเตร่ จบการศึกษาแล้วก็ให้รู้จักทำกิจกรรมเพื่อสาธารณะ นั่นคือความหมายของคนตุลาที่แท้จริง ผมก็อยากจะให้คนที่อยู่ในช่วงดังกล่าว รวมทั้งเยาวชนรุ่นหลังได้รู้จักเรียนรู้ และเลียนแบบรุ่นพี่ๆ เขาในอดีตที่ผ่านมาสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมได้มาถึงจุดนี้ก็เพราะว่า เมื่อผมได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัสอาจารย์ป๋วย ผมทราบเลยว่า อาจารย์ป๋วยได้เคยสร้าง สศค. ให้เป็นมันสมองของประเทศ ถ้าถามว่า อาจารย์ป๋วยมีความสามารถพิเศษในด้านใดบ้าง เราคงไม่ต้องมาพูดถึงเรื่องของความสามารถเชิงวิชาการ แต่ในตัวท่านนั้นมีบุคลิกที่พิเศษอยู่ 3 ประเภท
1. ท่านเป็นนักสร้าง หรือ Builder ที่เมืองไทยมาถึงวันนี้ได้ก็ด้วยข้าราชการ ครูบาอาจารย์ที่ท่านสร้างมาตั้งแต่สมัย 30-40 ปีที่แล้ว ถ้าท่านไม่สร้าง ณ วันนั้น วันนี้จะไม่มีบุคลากรที่เข้มแข็ง และวันนี้การที่ประเทศของเราขาดบุคลากรก็เพราะว่า ผู้นำในยุคหลังไม่ได้เน้นในการสร้างคน แต่กลับปล่อยโอกาสให้มีการทำลายคน นี่คือสิ่งที่แตกต่างกัน อาจารย์ป๋วย ท่านสร้างคนดีๆ ไว้เต็มไปหมดเต็มบ้าน เต็มเมือง แต่เหตุการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมาในรอบ 10 ปีที่ผ่านมานี้กลับทำลายคนดีๆ หายไปเยอะ ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่เราต้องทำก็คือว่า จะทำอย่างไรจะสร้างคนดีๆ ขึ้นมาได้ ผมได้เรียนผู้อำนวยการ สศค. ท่านสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ว่า ให้ สศค. เป็นแหล่งสร้างคนต่อไปในอนาคตข้างหน้า เพราะถ้าไม่มีคนก็ไม่มีสมอง เมื่อไม่มีสมองประเทศจะเดินอย่างไร้ทิศทาง
2. เป็นนักพัฒนา หลายๆ โครงการที่คนอื่นละเลย อาจารย์ป๋วยลงทุนลงแรงไปดูด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นโครงการบัณฑิตอาสา ซึ่งในภายหลังก็ถูกกล่าวร้ายป้ายสีในช่วงเหตุการณ์ที่ผ่านมา เป็นโครงการที่อาจารย์ล้วนแล้วแต่คิดขึ้น ทำขึ้น ทั้งๆ ที่ไม่ใช่หน้าที่ของอาจารย์ป๋วยเสียด้วยซ้ำ แต่สิ่งเหล่านั้นได้แสดงอะไรบางอย่างออกมาว่าหน้าที่ของนักวิชาการนั้นไม่ใช่มีเพียงหน้าที่ในการวิพากษ์วิจารณ์ แต่มีหน้าที่ในการนำเสนอข้อสรุปที่คิดว่า จะใช้ประโยชน์ในการสร้างประเทศ นักวิชาการเกิดมาก็คือให้ทำวิจัย แสวงหาความรู้ใหม่ๆ ไม่ใช่ออกมาวิพากษ์โดยไม่สามารถนำเสนอข้อเสนอที่ชัดเจนได้
3. เป็นนักปฏิรูป หลายสิ่งหลายอย่างในยุคที่ท่านอาจารย์ขึ้นมาเป็นใหญ่ ไม่มีทิศทางไม่มีกรอบ อาจารย์ท่านวางหลักที่กระทรวงการคลัง วางกรอบที่ธนาคารแห่งประเทศไทย วางระบบการทำงานทุกๆ อย่าง มองการณ์ล่วงหน้าไปเป็นเวลา 30-40 ปีข้างหน้า ประเทศไทยทุกวันนี้จึงมีสิ่งเหล่านี้ขึ้น ผมจึงอยากจะเรียนว่า เมื่ออาจารย์ป๋วยได้สร้างตัวอย่างให้เราเห็น ถ้าเรารักและเคารพอาจารย์ป๋วยจริง เราต้องแสดงออกด้วยการกระทำ ไม่ใช่วิพากษ์วิจารณ์เพียงอย่างเดียว เพราะสิ่งที่อาจารย์ป๋วยสอนเรา ข้อหนึ่ง ท่านไม่เคยพูดเลย ก็คือว่า การสร้างคนในช่วงที่คนยุคนั้นไม่เคยสนใจในการสร้างคน ในการพัฒนาในช่วงที่ไม่มีใครสนใจในการพัฒนาชนบท ในการที่จะปฏิรูปวางระเบียบแบบแผนให้กับแผ่นดินในยุคซึ่งไม่มีใครสนใจ เพราะเป็นยุคแห่งเผด็จการ ไม่ใช่ของง่าย แต่ท่านต้องอาศัยความกล้าที่จะเดิน กล้าที่จะถูกกล่าวหา กล้าที่จะถูกตำหนิ จนกระทั่งช่วงสุดท้ายชีวิตของท่านต้องประสบเคราะห์กรรมอันเลวร้าย
สิ่งเหล่านี้บอกอะไรให้เรา บอกเราว่า ประเทศไทยในขณะนี้มิได้ต่างจากช่วงซึ่งอาจารย์ป๋วยขึ้นมาวางกรอบแต่ประการใด เรามองออกไปข้างนอกมีแต่ความสับสนวุ่นวาย เรามองออกไปในเรื่องของการเมืองก็ยังไม่ได้ปฏิรูปจริงๆ เรามองเข้ามาในองค์กรของรัฐ เราก็ทราบดี คนดีๆ หายไปไหนหมด ฉะนั้นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ผมอยากจะเรียนว่า การปฏิรูปคือสิ่งที่สำคัญมากๆ แต่เมื่อท่านต้องการปฏิรูปก็หมายถึงการเปลี่ยนแปลงในสังคม ธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงไม่มีใครอยากมีเปลี่ยนแปลงถ้าไม่จำเป็น ฉะนั้นความกล้าในการตัดสินใจ ความกล้าในการเดินไปข้างหน้า ความกล้าในการที่จะต้องทนรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ จึงเป็นสิ่งที่ต้องมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ สศค. ซึ่งถือว่าเป็นมันสมองของประเทศ ไม่ได้แพ้แบงก์ชาติ ไม่ได้แพ้สภาพัฒน์ ฉะนั้น ขอให้คน สศค. มีกำลังใจ แล้วผมจะหาคนดีๆ เข้ามาใน สศค. ไม่ว่าในเชิงของข้าราชการประจำ ไม่ว่าในเชิงนักวิชาการ ผู้มีความเชี่ยวชาญ มาประกบติด สศค. มาช่วยกันพัฒนา สศค. ให้เป็นมันสมองที่แท้จริงของประเทศให้จงได้
ผมไม่ทราบว่าวิถีชีวิตทางการเมืองจะยาวเท่าไหร่ แต่ว่าช่วงเวลาที่มีอยู่นั้นจะพยายามทำให้ สศค. แข็งแรงที่สุด เพื่อให้สมกับเจตนารมณ์ของท่านอาจารย์ป๋วยที่ต้องการสร้าง สศค. แห่งนี้ให้เป็นที่สร้างคนที่มีแต่ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และที่สำคัญที่สุดต้องรู้จักรับผิดชอบต่อสังคมและประเทศชาติ
ผมคิดว่าวันนี้จึงเป็นเกียรติอย่างสูงที่ผมมีโอกาสกลับมาสู่ ณ จุดนี้ และได้มีโอกาสกล่าวคำบางประการเกี่ยวกับอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ และมีความยินดีเป็นพิเศษที่ได้มีโอกาสมาเปิดห้องประชุมแห่งนี้ ขอให้พวกเราทุกคนในห้องนี้ยึดหลัก และยึดเจตนารมณ์ของท่านอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มิใช่แต่เพียงคำพูด แต่ขอให้แสดงออกในเชิงปฏิบัติด้วย
ผมขอขอบคุณ
__________________________
กองประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
สุชาวรรณ วงศ์ทองมาก : ถอดเทป
กรองจิตร สุขเกื้อ : พิมพ์
เชาวลิตร์ บุณยภูษิต : ตรวจ/ทาน--จบ--
-ศน-
ของ
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์
รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เนื่องในโอกาสเปิดห้องประชุม "ป๋วย อึ๊งภากรณ์"
ในวันครบรอบสถาปนาสำนักงานเศรษฐกิจการคลังปีที่ 40
วันที่ 18 ตุลาคม 2544
__________________________
ท่านอดีตผู้ว่าฯ กำจรฯ ท่านอดีตปลัดกระทรวงการคลัง ท่านอดีตข้าราชการอาวุโส และข้าราชการทุกท่านที่อยู่ ณ ห้องประชุมแห่งนี้ผมมีความยินดีเป็นอย่างสูงที่ได้มีโอกาสมางานในวันนี้ จริงๆ แล้ว ผมอยากกราบเรียนว่า การที่ได้มีโอกาสมาเปิดห้องประชุมอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ในวันนี้ถือว่าเป็นความยินดีที่ยิ่งใหญ่ เพราะจริงๆ แล้วสิ่งแรกเลยที่ทำให้ชีวิตผมหักเหมาอยู่ที่แห่งนี้ได้ก็เกิดจากท่านอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อายุของผมนั้นจริงๆ แล้วก็คือคนตุลาเมื่อประมาณ 20 กว่าปีมาแล้ว ผมเข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อ 14 ตุลาคม 2516 จบการศึกษาปี 20 เกือบจะไม่ได้สอบเพราะติดช่วงตุลา 19 ได้พบ ได้สัมผัสเหตุการณ์ในเดือนตุลาทั้ง 2 ช่วงคาบ ได้เดินขบวนอยู่ที่สนามหลวง หลบลูกกระสุน มีเพื่อนฝูงที่ผ่านพ้นเหตุการณ์อันเลวร้ายในช่วงตุลา
เหตุการณ์ในช่วงนั้นถึงแม้จะเป็นภาพที่เลวร้าย แต่ก็เปิดโอกาสอันหนึ่งให้ผมได้มีโอกาสมาทันท่าน อาจารย์ป๋วย ซึ่งขณะนั้นท่านได้รับการขอร้องให้กลับมาเป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผมยังจำภาพที่ท่านเดินมาที่ลานโพธิ์ ใส่เสื้อแขนยาวสีขาว พับแขนเสื้อ คุยกับพวกผมที่อยู่ที่ลานโพธิ์ เจรจาให้เลิกการใช้วิธีการที่รุนแรง ขอให้มีการพูดจากันโดยสงบ เห็นแก่ประเทศโดยส่วนรวม ทั้งนี้เป็นเพราะว่าท่านทราบว่าเหตุการณ์จะนำไปสู่ความรุนแรง ที่อาจจะทำให้นักศึกษาในขณะนั้นต้องประสบเคราะห์กรรม ท่านทราบมาก่อน แต่ด้วยวัยของนักศึกษาในช่วงนั้นเป็นวัยที่อยู่ในช่วงประมาณ 20 เศษๆ ถ้าเปรียบเสมือนกระทิงก็ถือว่าเป็นวัวกระทิงเปลี่ยว ยากที่ใครจะมาฉุดรั้งได้
ในช่วง 3-4 ปีที่อยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์สิ่งหนึ่งที่ท่านอาจารย์ป๋วยสอนเราก็คือว่า ให้มีความรักในประชาชน ผมจำคำขวัญของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ขึ้นใจเลย "เรารักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนเราให้รักประชาชน" อันนั้นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด เหตุการณ์ในช่วงนั้นไม่ได้สอนให้เรารู้ว่าเราจะต้องเป็นคนที่เกิดในยุค 14 ตุลา เป็นวีรชน 14 ตุลา อันนั้นเป็นเรื่องไร้สาระ แต่เหตุการณ์ในวันนั้นสอนให้เรารู้ว่า นักศึกษามีหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบต่อสังคม แทนที่วันหนึ่งๆ จะไปเที่ยวเตร่ จบการศึกษาแล้วก็ให้รู้จักทำกิจกรรมเพื่อสาธารณะ นั่นคือความหมายของคนตุลาที่แท้จริง ผมก็อยากจะให้คนที่อยู่ในช่วงดังกล่าว รวมทั้งเยาวชนรุ่นหลังได้รู้จักเรียนรู้ และเลียนแบบรุ่นพี่ๆ เขาในอดีตที่ผ่านมาสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมได้มาถึงจุดนี้ก็เพราะว่า เมื่อผมได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัสอาจารย์ป๋วย ผมทราบเลยว่า อาจารย์ป๋วยได้เคยสร้าง สศค. ให้เป็นมันสมองของประเทศ ถ้าถามว่า อาจารย์ป๋วยมีความสามารถพิเศษในด้านใดบ้าง เราคงไม่ต้องมาพูดถึงเรื่องของความสามารถเชิงวิชาการ แต่ในตัวท่านนั้นมีบุคลิกที่พิเศษอยู่ 3 ประเภท
1. ท่านเป็นนักสร้าง หรือ Builder ที่เมืองไทยมาถึงวันนี้ได้ก็ด้วยข้าราชการ ครูบาอาจารย์ที่ท่านสร้างมาตั้งแต่สมัย 30-40 ปีที่แล้ว ถ้าท่านไม่สร้าง ณ วันนั้น วันนี้จะไม่มีบุคลากรที่เข้มแข็ง และวันนี้การที่ประเทศของเราขาดบุคลากรก็เพราะว่า ผู้นำในยุคหลังไม่ได้เน้นในการสร้างคน แต่กลับปล่อยโอกาสให้มีการทำลายคน นี่คือสิ่งที่แตกต่างกัน อาจารย์ป๋วย ท่านสร้างคนดีๆ ไว้เต็มไปหมดเต็มบ้าน เต็มเมือง แต่เหตุการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมาในรอบ 10 ปีที่ผ่านมานี้กลับทำลายคนดีๆ หายไปเยอะ ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่เราต้องทำก็คือว่า จะทำอย่างไรจะสร้างคนดีๆ ขึ้นมาได้ ผมได้เรียนผู้อำนวยการ สศค. ท่านสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ว่า ให้ สศค. เป็นแหล่งสร้างคนต่อไปในอนาคตข้างหน้า เพราะถ้าไม่มีคนก็ไม่มีสมอง เมื่อไม่มีสมองประเทศจะเดินอย่างไร้ทิศทาง
2. เป็นนักพัฒนา หลายๆ โครงการที่คนอื่นละเลย อาจารย์ป๋วยลงทุนลงแรงไปดูด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นโครงการบัณฑิตอาสา ซึ่งในภายหลังก็ถูกกล่าวร้ายป้ายสีในช่วงเหตุการณ์ที่ผ่านมา เป็นโครงการที่อาจารย์ล้วนแล้วแต่คิดขึ้น ทำขึ้น ทั้งๆ ที่ไม่ใช่หน้าที่ของอาจารย์ป๋วยเสียด้วยซ้ำ แต่สิ่งเหล่านั้นได้แสดงอะไรบางอย่างออกมาว่าหน้าที่ของนักวิชาการนั้นไม่ใช่มีเพียงหน้าที่ในการวิพากษ์วิจารณ์ แต่มีหน้าที่ในการนำเสนอข้อสรุปที่คิดว่า จะใช้ประโยชน์ในการสร้างประเทศ นักวิชาการเกิดมาก็คือให้ทำวิจัย แสวงหาความรู้ใหม่ๆ ไม่ใช่ออกมาวิพากษ์โดยไม่สามารถนำเสนอข้อเสนอที่ชัดเจนได้
3. เป็นนักปฏิรูป หลายสิ่งหลายอย่างในยุคที่ท่านอาจารย์ขึ้นมาเป็นใหญ่ ไม่มีทิศทางไม่มีกรอบ อาจารย์ท่านวางหลักที่กระทรวงการคลัง วางกรอบที่ธนาคารแห่งประเทศไทย วางระบบการทำงานทุกๆ อย่าง มองการณ์ล่วงหน้าไปเป็นเวลา 30-40 ปีข้างหน้า ประเทศไทยทุกวันนี้จึงมีสิ่งเหล่านี้ขึ้น ผมจึงอยากจะเรียนว่า เมื่ออาจารย์ป๋วยได้สร้างตัวอย่างให้เราเห็น ถ้าเรารักและเคารพอาจารย์ป๋วยจริง เราต้องแสดงออกด้วยการกระทำ ไม่ใช่วิพากษ์วิจารณ์เพียงอย่างเดียว เพราะสิ่งที่อาจารย์ป๋วยสอนเรา ข้อหนึ่ง ท่านไม่เคยพูดเลย ก็คือว่า การสร้างคนในช่วงที่คนยุคนั้นไม่เคยสนใจในการสร้างคน ในการพัฒนาในช่วงที่ไม่มีใครสนใจในการพัฒนาชนบท ในการที่จะปฏิรูปวางระเบียบแบบแผนให้กับแผ่นดินในยุคซึ่งไม่มีใครสนใจ เพราะเป็นยุคแห่งเผด็จการ ไม่ใช่ของง่าย แต่ท่านต้องอาศัยความกล้าที่จะเดิน กล้าที่จะถูกกล่าวหา กล้าที่จะถูกตำหนิ จนกระทั่งช่วงสุดท้ายชีวิตของท่านต้องประสบเคราะห์กรรมอันเลวร้าย
สิ่งเหล่านี้บอกอะไรให้เรา บอกเราว่า ประเทศไทยในขณะนี้มิได้ต่างจากช่วงซึ่งอาจารย์ป๋วยขึ้นมาวางกรอบแต่ประการใด เรามองออกไปข้างนอกมีแต่ความสับสนวุ่นวาย เรามองออกไปในเรื่องของการเมืองก็ยังไม่ได้ปฏิรูปจริงๆ เรามองเข้ามาในองค์กรของรัฐ เราก็ทราบดี คนดีๆ หายไปไหนหมด ฉะนั้นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ผมอยากจะเรียนว่า การปฏิรูปคือสิ่งที่สำคัญมากๆ แต่เมื่อท่านต้องการปฏิรูปก็หมายถึงการเปลี่ยนแปลงในสังคม ธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงไม่มีใครอยากมีเปลี่ยนแปลงถ้าไม่จำเป็น ฉะนั้นความกล้าในการตัดสินใจ ความกล้าในการเดินไปข้างหน้า ความกล้าในการที่จะต้องทนรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ จึงเป็นสิ่งที่ต้องมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ สศค. ซึ่งถือว่าเป็นมันสมองของประเทศ ไม่ได้แพ้แบงก์ชาติ ไม่ได้แพ้สภาพัฒน์ ฉะนั้น ขอให้คน สศค. มีกำลังใจ แล้วผมจะหาคนดีๆ เข้ามาใน สศค. ไม่ว่าในเชิงของข้าราชการประจำ ไม่ว่าในเชิงนักวิชาการ ผู้มีความเชี่ยวชาญ มาประกบติด สศค. มาช่วยกันพัฒนา สศค. ให้เป็นมันสมองที่แท้จริงของประเทศให้จงได้
ผมไม่ทราบว่าวิถีชีวิตทางการเมืองจะยาวเท่าไหร่ แต่ว่าช่วงเวลาที่มีอยู่นั้นจะพยายามทำให้ สศค. แข็งแรงที่สุด เพื่อให้สมกับเจตนารมณ์ของท่านอาจารย์ป๋วยที่ต้องการสร้าง สศค. แห่งนี้ให้เป็นที่สร้างคนที่มีแต่ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และที่สำคัญที่สุดต้องรู้จักรับผิดชอบต่อสังคมและประเทศชาติ
ผมคิดว่าวันนี้จึงเป็นเกียรติอย่างสูงที่ผมมีโอกาสกลับมาสู่ ณ จุดนี้ และได้มีโอกาสกล่าวคำบางประการเกี่ยวกับอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ และมีความยินดีเป็นพิเศษที่ได้มีโอกาสมาเปิดห้องประชุมแห่งนี้ ขอให้พวกเราทุกคนในห้องนี้ยึดหลัก และยึดเจตนารมณ์ของท่านอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มิใช่แต่เพียงคำพูด แต่ขอให้แสดงออกในเชิงปฏิบัติด้วย
ผมขอขอบคุณ
__________________________
กองประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
สุชาวรรณ วงศ์ทองมาก : ถอดเทป
กรองจิตร สุขเกื้อ : พิมพ์
เชาวลิตร์ บุณยภูษิต : ตรวจ/ทาน--จบ--
-ศน-