สหรัฐอเมริกา
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยกว่า 6 ครั้งของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในรอบปีที่ผ่านมาส่งผลให้ Fed Fund Rate Target สูงขึ้นร้อยละ 1.75 มาอยู่ที่ระดับร้อยละ 6.5 ล่าสุดปรับขึ้นร้อยละ 0.5 เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม เพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจและป้องปรามการเกิดภาวะเงินเฟ้อ ที่เกิดจากความไม่สมดุลของอุปสงค์และอุปทาน รวมถึงการจ้างงานที่ตึงตัวมาก เศรษฐกิจที่เคยขยายตัวในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ได้เริ่มส่งสัญญาณเบื้องต้นให้เห็นถึงการขยายตัวที่ชะลอลง จะเห็นได้จากตัวเลขการจ้างงาน ความเชื่อมั่นของผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (NAPM) ยอดจำหน่ายบ้านและ ยอดการค้าปลีกที่อ่อนตัวลงเป็นเดือนที่สอง ขณะเดียวกันระดับราคาสินค้าเดือนพฤษภาคมทั้งในส่วน ผู้ผลิตและผู้บริโภคไม่ได้ชี้ให้เห็นถึงแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อแต่อย่างใด นักเศรษฐศาสตร์และ นักวิเคราะห์การเงินส่วนใหญ่จึงเห็นพ้องกันว่า Fed ไม่น่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม FOMC วันที่ 27 และ 28 มิถุนายน นี้ อนึ่ง หลังจากการประชุม FOMC ครั้งล่าสุดในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา Fed Governors และ Regional Fed Presidents ต่างๆ ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับตัวเลขเศรษฐกิจ ล่าสุดที่ชี้ให้เห็นถึงการชะลอตัวลงว่ายังไม่สามารถบอกได้ว่าจะเป็นการชะลอตัวอย่างแท้จริงหรือ เป็นเพียงการปรับตัวลดลงหลังจากที่ได้ปรับเพิ่มสูงมากในไตรมาสแรกของปี ดังนั้น Fed จะพิจารณา ตัวเลขเศรษฐกิจที่จะประกาศออกมาอย่างใกล้ชิดต่อไป ทำให้ยังมีความเป็นไปได้ที่ Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แม้ว่า Fed จะไม่ปรับในสิ้นเดือนนี้ แต่อาจจะปรับภายในไตรมาสที่สามของปี
ยุโรป
ธนาคารกลางยุโรปประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย Refinancing operation rate ร้อยละ 0.50 เป็นร้อยละ 4.25 เพื่อชะลอการขยายตัวของปริมาณเงิน สินเชื่อและควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ภายในเป้าหมาย อีกทั้งได้เปลี่ยนระบบการประมูล Repurchase agreement เป็น variable rate แทนระบบ fixed rate ในปัจจุบัน ทั้งนี้นักลงทุนคาดว่าธนาคารกลางยุโรปคงไม่จำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปอีกระยะหนึ่ง เอเชียตะวันออก
เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดย Economic Planning Agency (EPA) ของญี่ปุ่นประกาศว่า GDP ประจำไตรมาสแรกของปี 2543 ขยายตัวร้อยละ 2.4 (QoQ) หรือร้อยละ 0.7 ต่อปี (YoY) การบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 1.8 และร้อยละ 4.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่การลงทุนภาครัฐบาลยังคงลดต่ำลง การส่งออก เพิ่มขึ้นขณะที่การนำเข้าลดน้อยลงทำให้ดุลการค้าปรับดีขึ้นถึงร้อยละ 41.7 เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า การขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสแรกนี้นับว่าต่ำกว่าค่าคาดการณ์เฉลี่ยของตลาดที่ร้อยละ 2.9 เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ทำให้ GDP ประจำปีงบประมาณ 2542 ขยายตัวเพียงร้อยละ 0.5 ซึ่ง ต่ำกว่าเป้าหมายที่ร้อยละ 0.6 ของรัฐบาล ส่งผลให้มีการคาดการณ์ว่ารัฐบาลอาจจะต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่าที่คาด
หนังสือพิมพ์ China Daily ประจำวันที่ 10 พฤษภาคม 2543 รายงานว่านักเศรษฐศาสตร์จากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจจีนมหาวิทยาลัยชิงหัว กล่าวว่า จีนอาจยกเลิกการตรึงค่าเงินหยวนกลางปีเพื่อเตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นภายหลังการเข้าเป็นสมาชิกองค์กรการค้าโลก (WTO) ในปีนี้ และแม้แนวโน้มการส่งออกจะดูแข็งแกร่งขึ้น ทันทีที่มีการยกเลิกตรึงค่าเงิน เงินหยวนอาจอ่อนค่าได้สูงสุดถึงร้อยละ 12 จากระดับปัจจุบันซึ่งสอดคล้องกับนักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs ที่เห็นว่าจีนควรจะมีอัตราแลกเปลี่ยน ที่ยืดหยุ่นมากขึ้นเพื่อรองรับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่จะมีต่อดุลการชำระเงินอันเนื่องมาจากการตัดลดและยกเลิกมาตรการกีดกันทางการค้าจำนวนมาก และคาดว่าเงินหยวนจะอ่อนค่าทันทีภายหลังการใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่เสรีมากขึ้นและจะอ่อนค่าต่อเนื่องอีกระยะหนึ่ง ทั้งนี้ ธนาคารกลางจีนได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าอาจจะพิจารณาขยายช่วงจำกัดความผันผวน ของอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนและได้ปล่อยให้ค่าเงินหยวนปิดตลาดอยู่นอกเหนือช่วงความเคลื่อนไหวปกติหลายครั้งตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมาซึ่งนักวิเคราะห์เห็นว่าเป็นสัญญาณการทดสอบตลาดของทางการจีนต่อการปล่อยเสรีเงินหยวนมากขึ้น
ไต้หวันประกาศตัวเลข GDP ไตรมาสแรกปีนี้ที่ขยายตัวร้อยละ 7.93 (YoY) ซึ่งเป็นอัตราขยายตัวสูงสุดในรอบ 8 ปีและสูงกว่าที่ทางการเคยคาดที่ร้อยละ 7.53 โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญ 2 ประการ คือ (1) การส่งออกที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการสินค้าโทรคมนาคมและ semiconductor ของไต้หวัน และ(2) การลงทุนของภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นจากการขยายฐานการผลิตเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและฟื้นฟูโรงงานที่เสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว นอกจากนี้ ทางการยังได้ ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ของ GDP ทั้งปี 2543 จากเดิมร้อยละ 6.54 เป็นร้อยละ 6.73 และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั้งปีจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.80 จากที่เคยคาดไว้ก่อนหน้าร้อยละ 2.02
เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2543 ธนาคารกลางฮ่องกงประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานสำหรับการให้กู้ยืมแก่ธนาคารพาณิชย์ประเภทข้ามคืน (base rate) ขึ้นร้อยละ 0.5 เป็นร้อยละ 8.0 ตามการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ เนื่องจากเงินดอลลาร์ฮ่องกงผูกค่ากับเงินดอลลาร์ สรอ.ภายใต้ระบบ currency board และต่อมาในวันที่ 19 พฤษภาคม 2543 สมาคมธนาคารฮ่องกงได้ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก (saving deposit rate) จากร้อยละ 4.25 เป็นร้อยละ 4.75 ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ ในฮ่องกงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ (prime rate) จากร้อยละ 9 เป็นร้อยละ 9.5
GDP ของฮ่องกงในไตรมาสแรกของปีนี้ขยายตัวสูงสุดในรอบ 13 ปี ซึ่งสูงกว่าที่ นักวิเคราะห์คาดไว้มาก ถึงร้อยละ 14.3 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้เป็นผลจากการขยายตัวของภาคการส่งออกและอุปสงค์ในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้นจากผลของ wealth effects ที่สืบเนื่องจากระดับราคาหุ้นในตลาดสูงขึ้น ประกอบกับฐานการคำนวณที่ต่ำในปีก่อนหน้า นอกจากนี้ทางการได้ปรับเพิ่มอัตราการขยายตัวของ GDP ในไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้วจากร้อยละ 8.7 เป็นร้อยละ 9.2 และปรับเพิ่มการคาดการณ์การขยายตัวของ GDP ทั้งปีจากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 6 สำหรับ CPI คาดว่าทั้งปีจะติดลบร้อยละ 2.5 เทียบกับที่เคยประมาณไว้ว่าจะติดลบร้อยละ 1 เนื่องจากระดับราคายังคงลดลงอย่างต่อเนื่องเพราะผู้ประกอบการยังคงตัดราคาสินค้าเพื่อแข่งขันกันอยู่ ทั้งนี้ CPI ในเดือนเมษายนติดลบร้อยละ 4.4 เทียบกับที่ติดลบร้อยละ 5 ในเดือนมีนาคม
เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2543 กระทรวงการคลังเกาหลีใต้ กล่าวว่า ระบบสถาบันการเงินเกาหลีใต้ต้องการเงินช่วยเหลือเพื่อปรับโครงสร้างอีกประมาณ 30 ล้านล้านวอน (26.9 พันล้านดอลลาร์สรอ.) โดยมีความต้องการ 20 ล้านล้านวอนสำหรับปีนี้และอีก 10 ล้านล้านวอนในปี 2544 เนื่องจากการปรับโครงสร้างสถาบันการเงินบางส่วนสามารถเลื่อนการดำเนินการออกไปได้ โดยทางการอาจระดมเงินทุนส่วนหนึ่งผ่าน Korea Asset Management Corp (KAMCO) ซึ่งจะออกขาย asset-backed securities และ convertible bonds จำนวน 20 ล้านล้านวอน และส่วนที่เหลือมาจากเงินกองทุนเพื่อปรับโครงสร้าง สถาบันการเงินที่ยังคงเหลืออยู่ ดังนั้นรัฐบาลจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจัดสรรงบประมาณแผ่นดินที่เป็น รายได้จากภาษีของประชาชน ตั้งแต่เกาหลีใต้ประสบวิกฤตปลายปี 2540 ทางการได้ใช้เงินเพื่อปรับ โครงสร้างสถาบันการเงินในรูปของการซื้อหนี้เสีย การเพิ่มทุน และการชดเชยเงินฝากแก่สถาบันการเงินที่มีปัญหาแล้วทั้งสิ้นประมาณ 101.9 ล้านล้านวอน (91.5 พันล้านดอลลาร์สรอ.) โดยประกอบด้วยเงินกองทุนที่จัดสรรเพื่อการปรับโครงสร้างสถาบันการเงินจำนวน 64 ล้านล้านวอน เงินจากการขายหนี้เสียที่รับซื้อมาจากสถาบันการเงินที่มีปัญหาจำนวน 12.1 ล้านล้านวอน และส่วนที่เหลืออีก 25.8 ล้านล้านวอนเป็นเงินจากกองทุนพิเศษ
GDP ของเกาหลีใต้ในไตรมาสแรกปีนี้ขยายตัวร้อยละ 12.8 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกัน ปีก่อน (สูงกว่าที่กระทรวงการคลังและเศรษฐกิจคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 12 เมื่อสัปดาห์ก่อน) เนื่องจาก การขยายตัวของการส่งออก การลงทุนในเครื่องจักรอุปกรณ์ และการบริโภคภาคเอกชน ส่วนด้านการก่อสร้าง แม้ยังซบเซาแต่ก็เริ่มส่งสัญญาณว่าปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมเริ่มชะลอลง นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า เศรษฐกิจเกาหลีใต้เริ่มชะลอลง ความกังวลเรื่องภาวะเงินเฟ้อในปีนี้ที่คาดกันว่าจะสูงกว่าร้อยละ 3 จึงลดลงส่งผลให้แรงกดดันที่จะดำเนินนโยบายขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อป้องกันภาวะเงินเฟ้อลดลงด้วย อาเซียน
GDP ของมาเลเซียในไตรมาสแรกปี 2543 ขยายตัวร้อยละ 11.7 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากปัจจัยด้านอุปสงค์ต่างประเทศที่ขยายตัวสูง และอุปสงค์ในประเทศที่เริ่มฟื้นตัว นอกจากนี้ทางการ ยังได้ปรับอัตราการขยายตัวของ GDP ในไตรมาสที่ 4 ปี 2542 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10.6 เป็นร้อยละ 10.8 ส่วน CPI ในไตรมาสเเรกของปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 ในเดือนเมษายน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 จากเดือนมีนาคม) แสดงให้เห็นว่ามาเลเซียยังไม่มีแรงกดดัน ด้านเงินเฟ้อในขณะนี้ ธนาคารกลางมาเลเซียเห็นว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจของมาเลเซียในปีนี้อาจสูงกว่า ที่ทางการคาดไว้ที่ร้อยละ 5.8 และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางจะยังคงใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่อไป และ เห็นว่าอัตราแลกเปลี่ยนที่ 3.80 ริงกิตต่อดอลลาร์สรอ.นั้นสะท้อนปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของมาเลเซียแล้ว
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา ธนาคารกลางมาเลเซียประกาศโครงการช่วยเหลือ บริษัทขนาดเล็กในการปรับโครงสร้างหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่กู้ยืมจากธนาคารมากกว่า 1 แห่ง ขึ้นไป ภายใต้โครงการใหม่นี้บริษัทที่อยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับความช่วยเหลือสามารถกู้ยืมเงินจากธนาคารได้อีกร้อยละ 30 จากยอดเงินกู้ที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็นระยะเวลาสูงสุด 3 ปี และสามารถเลือกที่จะขอ ยืดอายุเงินกู้ดังกล่าวออกไปอีก 2 ปี โดยธนาคารกลางเป็นผู้ค้ำประกันร้อยละ 70 ของเงินกู้ก้อนใหม่ ดังกล่าว และธนาคารพาณิชย์ที่ให้กู้เป็นผู้ค้ำประกันในส่วนที่เหลือ ธนาคารกลางจะจัดสรรวงเงินให้กับโครงการใหม่นี้ประมาณ 715 ล้านริงกิต (188 ล้านดอลลาร์สรอ.) โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ base lending rate ของธนาคารที่ปล่อยกู้บวกร้อยละ 1 เป็นเวลา 3 ปี หลังจากนั้นจะอิงอัตราดอกเบี้ยตลาด
GDP ของสิงคโปร์ในไตรมาสแรกปีนี้ขยายตัวร้อยละ 9.1 เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งสูงสุดในรอบ 2 ปีครึ่งและสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 7 หลังจากขยายตัวร้อยละ 7.1 ในไตรมาส 4 ปีที่แล้ว โดยเป็นผลการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในภาคการผลิตเพื่อส่งออกในสินค้าประเภทอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ชิป และโทรศัพท์มือถือ การเติบโตในภาคบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ประกอบกับฐานการคำนวณที่ต่ำในปีที่แล้ว พร้อมกันนี้ ทางการสิงคโปร์ ยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของปีนี้จากร้อยละ 4.5-6.5 เป็นร้อยละ 5.5-7.5 แต่ยังคงยืนยันคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อที่ร้อยละ 1-2 อนึ่ง นักวิเคราะห์คาดว่าเศรษฐกิจของประเทศ มีแนวโน้มจะลดความร้อนแรงลงในช่วงหลังของปี เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของสิงคโปร์มีแนวโน้มที่จะชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปี อย่างไรก็ตาม คาดว่าแรงผลักดันหลัก ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์ในปีนี้ยังคงมาจากภาคการผลิตเพื่อการส่งออกตามการฟื้นตัวของอุปสงค์ต่างประเทศเฉพาะอย่างยิ่งตลาดเอเชียและยุโรป อย่างไรก็ตาม อัตราการว่างงานอยู่ ไตรมาสแรกของปียังคงสูงอยู่ที่ร้อยละ 3.4 เพิ่มจากร้อยละ 2.9 ในไตรมาส 4 ปีก่อน ทั้งนี้ เป็นผลจาก การลดขนาดองค์กรและการเร่งปรับโครงสร้างธุรกิจภายในประเทศ
GDP ของอินโดนีเซียไตรมาสแรกปี 2543 ขยายตัวร้อยละ 3.21 เทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน (ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 4.2-6.5) และขยายตัวร้อยละ 1.98 เทียบกับ ไตรมาส 4 ปีก่อน จากการขยายตัวของภาคการส่งออกซึ่งเป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินรูเปียห์และการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าส่งออกน้ำมันและการบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้น
GDP ของฟิลิปปินส์ในไตรมาสแรกปีนี้ขยายตัวร้อยละ 3.4 เทียบกับช่วงเดียวกัน ปีก่อน ต่ำกว่าที่ทางการคาดไว้ก่อนหน้านี้ที่ประมาณร้อยละ 3.8-4.3 และต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ เล็กน้อย โดยปรับตัวลดลงจากไตรมาส 4 ปีที่แล้ว ซึ่งขยายตัวร้อยละ 4.9 อนึ่ง การขยายตัวที่ต่ำกว่า คาดดังกล่าวเกิดจากผลผลิตภาคการเกษตรที่ตกต่ำ รวมทั้งเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง ภายในประเทศและการเสื่อมความนิยมในตัวประธานาธิบดี Joseph Estrada ส่งผลให้นักลงทุน ขาดความเชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตาม ทางการยังคงยืนยันการคาดการณ์ การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในปีนี้ที่ร้อยละ 4-5 เช่นเดิม โดยคาดว่า GDP ในไตรมาส 2 จะขยายตัวสูงขึ้นเป็นร้อยละ 3.9 โดยมีแรงผลักดันหลักจากการเติบโตในภาคการเกษตร และภาคบริการ
เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2543 ผู้ว่าการธนาคารกลางฟิลิปปินส์แถลงว่า อาจจะพิจารณา ปรับลดอัตราดอกเบี้ย overnight borrowing rate และ lending rate ลงร้อยละ 0.25 หากธนาคารกลางสหรัฐฯ ไม่ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในวันที่ 28 มิถุนายน ศกนี้ โดยให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า ณ ระดับปัจจุบัน ค่าเงินเปโซค่อนข้างมีเสถียรภาพแล้ว รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อของประเทศก็มีทิศทางที่สอดคล้องกับการคาดการณ์ของรัฐบาล อนึ่ง เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ได้ปรับเพิ่ม overnight rate ไปแล้ว 3 ครั้ง (รวม 125 bsp.) เพื่อรักษาเสถียรภาพค่าเงินเปโซไม่ให้อ่อนค่าลงไปมากกว่าระดับที่เป็นอยู่ โดยปัจจุบัน overnight borrowing rate และ lending rate อยู่ที่ร้อยละ 10.0 และ 12.25 ตามลำดับ
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยกว่า 6 ครั้งของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในรอบปีที่ผ่านมาส่งผลให้ Fed Fund Rate Target สูงขึ้นร้อยละ 1.75 มาอยู่ที่ระดับร้อยละ 6.5 ล่าสุดปรับขึ้นร้อยละ 0.5 เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม เพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจและป้องปรามการเกิดภาวะเงินเฟ้อ ที่เกิดจากความไม่สมดุลของอุปสงค์และอุปทาน รวมถึงการจ้างงานที่ตึงตัวมาก เศรษฐกิจที่เคยขยายตัวในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ได้เริ่มส่งสัญญาณเบื้องต้นให้เห็นถึงการขยายตัวที่ชะลอลง จะเห็นได้จากตัวเลขการจ้างงาน ความเชื่อมั่นของผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (NAPM) ยอดจำหน่ายบ้านและ ยอดการค้าปลีกที่อ่อนตัวลงเป็นเดือนที่สอง ขณะเดียวกันระดับราคาสินค้าเดือนพฤษภาคมทั้งในส่วน ผู้ผลิตและผู้บริโภคไม่ได้ชี้ให้เห็นถึงแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อแต่อย่างใด นักเศรษฐศาสตร์และ นักวิเคราะห์การเงินส่วนใหญ่จึงเห็นพ้องกันว่า Fed ไม่น่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม FOMC วันที่ 27 และ 28 มิถุนายน นี้ อนึ่ง หลังจากการประชุม FOMC ครั้งล่าสุดในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา Fed Governors และ Regional Fed Presidents ต่างๆ ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับตัวเลขเศรษฐกิจ ล่าสุดที่ชี้ให้เห็นถึงการชะลอตัวลงว่ายังไม่สามารถบอกได้ว่าจะเป็นการชะลอตัวอย่างแท้จริงหรือ เป็นเพียงการปรับตัวลดลงหลังจากที่ได้ปรับเพิ่มสูงมากในไตรมาสแรกของปี ดังนั้น Fed จะพิจารณา ตัวเลขเศรษฐกิจที่จะประกาศออกมาอย่างใกล้ชิดต่อไป ทำให้ยังมีความเป็นไปได้ที่ Fed จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย แม้ว่า Fed จะไม่ปรับในสิ้นเดือนนี้ แต่อาจจะปรับภายในไตรมาสที่สามของปี
ยุโรป
ธนาคารกลางยุโรปประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย Refinancing operation rate ร้อยละ 0.50 เป็นร้อยละ 4.25 เพื่อชะลอการขยายตัวของปริมาณเงิน สินเชื่อและควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ภายในเป้าหมาย อีกทั้งได้เปลี่ยนระบบการประมูล Repurchase agreement เป็น variable rate แทนระบบ fixed rate ในปัจจุบัน ทั้งนี้นักลงทุนคาดว่าธนาคารกลางยุโรปคงไม่จำเป็นต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปอีกระยะหนึ่ง เอเชียตะวันออก
เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดย Economic Planning Agency (EPA) ของญี่ปุ่นประกาศว่า GDP ประจำไตรมาสแรกของปี 2543 ขยายตัวร้อยละ 2.4 (QoQ) หรือร้อยละ 0.7 ต่อปี (YoY) การบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 1.8 และร้อยละ 4.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่การลงทุนภาครัฐบาลยังคงลดต่ำลง การส่งออก เพิ่มขึ้นขณะที่การนำเข้าลดน้อยลงทำให้ดุลการค้าปรับดีขึ้นถึงร้อยละ 41.7 เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า การขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสแรกนี้นับว่าต่ำกว่าค่าคาดการณ์เฉลี่ยของตลาดที่ร้อยละ 2.9 เทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ทำให้ GDP ประจำปีงบประมาณ 2542 ขยายตัวเพียงร้อยละ 0.5 ซึ่ง ต่ำกว่าเป้าหมายที่ร้อยละ 0.6 ของรัฐบาล ส่งผลให้มีการคาดการณ์ว่ารัฐบาลอาจจะต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่าที่คาด
หนังสือพิมพ์ China Daily ประจำวันที่ 10 พฤษภาคม 2543 รายงานว่านักเศรษฐศาสตร์จากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจจีนมหาวิทยาลัยชิงหัว กล่าวว่า จีนอาจยกเลิกการตรึงค่าเงินหยวนกลางปีเพื่อเตรียมพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นภายหลังการเข้าเป็นสมาชิกองค์กรการค้าโลก (WTO) ในปีนี้ และแม้แนวโน้มการส่งออกจะดูแข็งแกร่งขึ้น ทันทีที่มีการยกเลิกตรึงค่าเงิน เงินหยวนอาจอ่อนค่าได้สูงสุดถึงร้อยละ 12 จากระดับปัจจุบันซึ่งสอดคล้องกับนักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs ที่เห็นว่าจีนควรจะมีอัตราแลกเปลี่ยน ที่ยืดหยุ่นมากขึ้นเพื่อรองรับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่จะมีต่อดุลการชำระเงินอันเนื่องมาจากการตัดลดและยกเลิกมาตรการกีดกันทางการค้าจำนวนมาก และคาดว่าเงินหยวนจะอ่อนค่าทันทีภายหลังการใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่เสรีมากขึ้นและจะอ่อนค่าต่อเนื่องอีกระยะหนึ่ง ทั้งนี้ ธนาคารกลางจีนได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าอาจจะพิจารณาขยายช่วงจำกัดความผันผวน ของอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนและได้ปล่อยให้ค่าเงินหยวนปิดตลาดอยู่นอกเหนือช่วงความเคลื่อนไหวปกติหลายครั้งตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นมาซึ่งนักวิเคราะห์เห็นว่าเป็นสัญญาณการทดสอบตลาดของทางการจีนต่อการปล่อยเสรีเงินหยวนมากขึ้น
ไต้หวันประกาศตัวเลข GDP ไตรมาสแรกปีนี้ที่ขยายตัวร้อยละ 7.93 (YoY) ซึ่งเป็นอัตราขยายตัวสูงสุดในรอบ 8 ปีและสูงกว่าที่ทางการเคยคาดที่ร้อยละ 7.53 โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญ 2 ประการ คือ (1) การส่งออกที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการสินค้าโทรคมนาคมและ semiconductor ของไต้หวัน และ(2) การลงทุนของภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้นจากการขยายฐานการผลิตเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและฟื้นฟูโรงงานที่เสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว นอกจากนี้ ทางการยังได้ ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ของ GDP ทั้งปี 2543 จากเดิมร้อยละ 6.54 เป็นร้อยละ 6.73 และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั้งปีจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.80 จากที่เคยคาดไว้ก่อนหน้าร้อยละ 2.02
เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2543 ธนาคารกลางฮ่องกงประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานสำหรับการให้กู้ยืมแก่ธนาคารพาณิชย์ประเภทข้ามคืน (base rate) ขึ้นร้อยละ 0.5 เป็นร้อยละ 8.0 ตามการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ เนื่องจากเงินดอลลาร์ฮ่องกงผูกค่ากับเงินดอลลาร์ สรอ.ภายใต้ระบบ currency board และต่อมาในวันที่ 19 พฤษภาคม 2543 สมาคมธนาคารฮ่องกงได้ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก (saving deposit rate) จากร้อยละ 4.25 เป็นร้อยละ 4.75 ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ ในฮ่องกงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของธนาคารพาณิชย์ (prime rate) จากร้อยละ 9 เป็นร้อยละ 9.5
GDP ของฮ่องกงในไตรมาสแรกของปีนี้ขยายตัวสูงสุดในรอบ 13 ปี ซึ่งสูงกว่าที่ นักวิเคราะห์คาดไว้มาก ถึงร้อยละ 14.3 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้เป็นผลจากการขยายตัวของภาคการส่งออกและอุปสงค์ในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้นจากผลของ wealth effects ที่สืบเนื่องจากระดับราคาหุ้นในตลาดสูงขึ้น ประกอบกับฐานการคำนวณที่ต่ำในปีก่อนหน้า นอกจากนี้ทางการได้ปรับเพิ่มอัตราการขยายตัวของ GDP ในไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้วจากร้อยละ 8.7 เป็นร้อยละ 9.2 และปรับเพิ่มการคาดการณ์การขยายตัวของ GDP ทั้งปีจากร้อยละ 5 เป็นร้อยละ 6 สำหรับ CPI คาดว่าทั้งปีจะติดลบร้อยละ 2.5 เทียบกับที่เคยประมาณไว้ว่าจะติดลบร้อยละ 1 เนื่องจากระดับราคายังคงลดลงอย่างต่อเนื่องเพราะผู้ประกอบการยังคงตัดราคาสินค้าเพื่อแข่งขันกันอยู่ ทั้งนี้ CPI ในเดือนเมษายนติดลบร้อยละ 4.4 เทียบกับที่ติดลบร้อยละ 5 ในเดือนมีนาคม
เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2543 กระทรวงการคลังเกาหลีใต้ กล่าวว่า ระบบสถาบันการเงินเกาหลีใต้ต้องการเงินช่วยเหลือเพื่อปรับโครงสร้างอีกประมาณ 30 ล้านล้านวอน (26.9 พันล้านดอลลาร์สรอ.) โดยมีความต้องการ 20 ล้านล้านวอนสำหรับปีนี้และอีก 10 ล้านล้านวอนในปี 2544 เนื่องจากการปรับโครงสร้างสถาบันการเงินบางส่วนสามารถเลื่อนการดำเนินการออกไปได้ โดยทางการอาจระดมเงินทุนส่วนหนึ่งผ่าน Korea Asset Management Corp (KAMCO) ซึ่งจะออกขาย asset-backed securities และ convertible bonds จำนวน 20 ล้านล้านวอน และส่วนที่เหลือมาจากเงินกองทุนเพื่อปรับโครงสร้าง สถาบันการเงินที่ยังคงเหลืออยู่ ดังนั้นรัฐบาลจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจัดสรรงบประมาณแผ่นดินที่เป็น รายได้จากภาษีของประชาชน ตั้งแต่เกาหลีใต้ประสบวิกฤตปลายปี 2540 ทางการได้ใช้เงินเพื่อปรับ โครงสร้างสถาบันการเงินในรูปของการซื้อหนี้เสีย การเพิ่มทุน และการชดเชยเงินฝากแก่สถาบันการเงินที่มีปัญหาแล้วทั้งสิ้นประมาณ 101.9 ล้านล้านวอน (91.5 พันล้านดอลลาร์สรอ.) โดยประกอบด้วยเงินกองทุนที่จัดสรรเพื่อการปรับโครงสร้างสถาบันการเงินจำนวน 64 ล้านล้านวอน เงินจากการขายหนี้เสียที่รับซื้อมาจากสถาบันการเงินที่มีปัญหาจำนวน 12.1 ล้านล้านวอน และส่วนที่เหลืออีก 25.8 ล้านล้านวอนเป็นเงินจากกองทุนพิเศษ
GDP ของเกาหลีใต้ในไตรมาสแรกปีนี้ขยายตัวร้อยละ 12.8 เมื่อเทียบกับระยะเดียวกัน ปีก่อน (สูงกว่าที่กระทรวงการคลังและเศรษฐกิจคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 12 เมื่อสัปดาห์ก่อน) เนื่องจาก การขยายตัวของการส่งออก การลงทุนในเครื่องจักรอุปกรณ์ และการบริโภคภาคเอกชน ส่วนด้านการก่อสร้าง แม้ยังซบเซาแต่ก็เริ่มส่งสัญญาณว่าปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมเริ่มชะลอลง นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า เศรษฐกิจเกาหลีใต้เริ่มชะลอลง ความกังวลเรื่องภาวะเงินเฟ้อในปีนี้ที่คาดกันว่าจะสูงกว่าร้อยละ 3 จึงลดลงส่งผลให้แรงกดดันที่จะดำเนินนโยบายขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อป้องกันภาวะเงินเฟ้อลดลงด้วย อาเซียน
GDP ของมาเลเซียในไตรมาสแรกปี 2543 ขยายตัวร้อยละ 11.7 จากช่วงเดียวกันปีก่อน จากปัจจัยด้านอุปสงค์ต่างประเทศที่ขยายตัวสูง และอุปสงค์ในประเทศที่เริ่มฟื้นตัว นอกจากนี้ทางการ ยังได้ปรับอัตราการขยายตัวของ GDP ในไตรมาสที่ 4 ปี 2542 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 10.6 เป็นร้อยละ 10.8 ส่วน CPI ในไตรมาสเเรกของปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 ในเดือนเมษายน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 จากเดือนมีนาคม) แสดงให้เห็นว่ามาเลเซียยังไม่มีแรงกดดัน ด้านเงินเฟ้อในขณะนี้ ธนาคารกลางมาเลเซียเห็นว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจของมาเลเซียในปีนี้อาจสูงกว่า ที่ทางการคาดไว้ที่ร้อยละ 5.8 และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี อย่างไรก็ตาม ธนาคารกลางจะยังคงใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่อไป และ เห็นว่าอัตราแลกเปลี่ยนที่ 3.80 ริงกิตต่อดอลลาร์สรอ.นั้นสะท้อนปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของมาเลเซียแล้ว
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา ธนาคารกลางมาเลเซียประกาศโครงการช่วยเหลือ บริษัทขนาดเล็กในการปรับโครงสร้างหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่กู้ยืมจากธนาคารมากกว่า 1 แห่ง ขึ้นไป ภายใต้โครงการใหม่นี้บริษัทที่อยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับความช่วยเหลือสามารถกู้ยืมเงินจากธนาคารได้อีกร้อยละ 30 จากยอดเงินกู้ที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็นระยะเวลาสูงสุด 3 ปี และสามารถเลือกที่จะขอ ยืดอายุเงินกู้ดังกล่าวออกไปอีก 2 ปี โดยธนาคารกลางเป็นผู้ค้ำประกันร้อยละ 70 ของเงินกู้ก้อนใหม่ ดังกล่าว และธนาคารพาณิชย์ที่ให้กู้เป็นผู้ค้ำประกันในส่วนที่เหลือ ธนาคารกลางจะจัดสรรวงเงินให้กับโครงการใหม่นี้ประมาณ 715 ล้านริงกิต (188 ล้านดอลลาร์สรอ.) โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ base lending rate ของธนาคารที่ปล่อยกู้บวกร้อยละ 1 เป็นเวลา 3 ปี หลังจากนั้นจะอิงอัตราดอกเบี้ยตลาด
GDP ของสิงคโปร์ในไตรมาสแรกปีนี้ขยายตัวร้อยละ 9.1 เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งสูงสุดในรอบ 2 ปีครึ่งและสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 7 หลังจากขยายตัวร้อยละ 7.1 ในไตรมาส 4 ปีที่แล้ว โดยเป็นผลการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในภาคการผลิตเพื่อส่งออกในสินค้าประเภทอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ชิป และโทรศัพท์มือถือ การเติบโตในภาคบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ประกอบกับฐานการคำนวณที่ต่ำในปีที่แล้ว พร้อมกันนี้ ทางการสิงคโปร์ ยังได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของปีนี้จากร้อยละ 4.5-6.5 เป็นร้อยละ 5.5-7.5 แต่ยังคงยืนยันคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อที่ร้อยละ 1-2 อนึ่ง นักวิเคราะห์คาดว่าเศรษฐกิจของประเทศ มีแนวโน้มจะลดความร้อนแรงลงในช่วงหลังของปี เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของสิงคโปร์มีแนวโน้มที่จะชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปี อย่างไรก็ตาม คาดว่าแรงผลักดันหลัก ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์ในปีนี้ยังคงมาจากภาคการผลิตเพื่อการส่งออกตามการฟื้นตัวของอุปสงค์ต่างประเทศเฉพาะอย่างยิ่งตลาดเอเชียและยุโรป อย่างไรก็ตาม อัตราการว่างงานอยู่ ไตรมาสแรกของปียังคงสูงอยู่ที่ร้อยละ 3.4 เพิ่มจากร้อยละ 2.9 ในไตรมาส 4 ปีก่อน ทั้งนี้ เป็นผลจาก การลดขนาดองค์กรและการเร่งปรับโครงสร้างธุรกิจภายในประเทศ
GDP ของอินโดนีเซียไตรมาสแรกปี 2543 ขยายตัวร้อยละ 3.21 เทียบกับระยะเดียวกันปีก่อน (ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ร้อยละ 4.2-6.5) และขยายตัวร้อยละ 1.98 เทียบกับ ไตรมาส 4 ปีก่อน จากการขยายตัวของภาคการส่งออกซึ่งเป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินรูเปียห์และการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าส่งออกน้ำมันและการบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้น
GDP ของฟิลิปปินส์ในไตรมาสแรกปีนี้ขยายตัวร้อยละ 3.4 เทียบกับช่วงเดียวกัน ปีก่อน ต่ำกว่าที่ทางการคาดไว้ก่อนหน้านี้ที่ประมาณร้อยละ 3.8-4.3 และต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ เล็กน้อย โดยปรับตัวลดลงจากไตรมาส 4 ปีที่แล้ว ซึ่งขยายตัวร้อยละ 4.9 อนึ่ง การขยายตัวที่ต่ำกว่า คาดดังกล่าวเกิดจากผลผลิตภาคการเกษตรที่ตกต่ำ รวมทั้งเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง ภายในประเทศและการเสื่อมความนิยมในตัวประธานาธิบดี Joseph Estrada ส่งผลให้นักลงทุน ขาดความเชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจของประเทศ อย่างไรก็ตาม ทางการยังคงยืนยันการคาดการณ์ การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในปีนี้ที่ร้อยละ 4-5 เช่นเดิม โดยคาดว่า GDP ในไตรมาส 2 จะขยายตัวสูงขึ้นเป็นร้อยละ 3.9 โดยมีแรงผลักดันหลักจากการเติบโตในภาคการเกษตร และภาคบริการ
เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2543 ผู้ว่าการธนาคารกลางฟิลิปปินส์แถลงว่า อาจจะพิจารณา ปรับลดอัตราดอกเบี้ย overnight borrowing rate และ lending rate ลงร้อยละ 0.25 หากธนาคารกลางสหรัฐฯ ไม่ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในวันที่ 28 มิถุนายน ศกนี้ โดยให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า ณ ระดับปัจจุบัน ค่าเงินเปโซค่อนข้างมีเสถียรภาพแล้ว รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อของประเทศก็มีทิศทางที่สอดคล้องกับการคาดการณ์ของรัฐบาล อนึ่ง เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ได้ปรับเพิ่ม overnight rate ไปแล้ว 3 ครั้ง (รวม 125 bsp.) เพื่อรักษาเสถียรภาพค่าเงินเปโซไม่ให้อ่อนค่าลงไปมากกว่าระดับที่เป็นอยู่ โดยปัจจุบัน overnight borrowing rate และ lending rate อยู่ที่ร้อยละ 10.0 และ 12.25 ตามลำดับ
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-