คณะกรรมการนโยบายการเงินได้มีการประชุมในวันที่ 12 กรกฎาคม 2544 เพื่อกำหนดทิศทางนโยบายการเงิน โดยมีมติว่า
1. คณะกรรมการนโยบายการเงินชุดใหม่ มีมติให้ดำเนินนโยบายการเงินตามกรอบเดิม โดยจะยังดูแลให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานไม่เกินเพดานร้อยละ 3.5 ต่อปีเช่นเดิม และจะยังใช้อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืน 14 วันเป็นดอกเบี้ยสำหรับส่งสัญญาณนโยบายการเงินเช่นเดิม เพื่อให้กรอบนโยบายการเงินนี้บรรลุวัตถุประสงค์ระยะยาว ในการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน และมีเสถียรภาพภายในประเทศทางด้านราคา (Internal Stability)
2. แต่การดำเนินนโยบายการเงินนั้น คณะกรรมการฯ เห็นด้วยกับการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย จะเข้าไปดูแลปัจจัยที่สำคัญบางอย่างมากขึ้น ในเรื่องของเสถียรภาพภายนอก (External Stability) โดยเฉพาะอย่างยิ่งถึงเรื่องการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ที่มีแนวโน้มลดลง และการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย มีนโยบายที่จะบริหารอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิดมากขึ้น เพื่อให้มีความผันผวนระยะสั้นน้อยลง แต่ในเวลาเดียวกัน ไม่ให้เป็นการฝืนแนวโน้มของตลาดโลก
3. คณะกรรมการฯ จะมีการประชุมกันทุกเดือน เพื่อติดตามภาวะเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงในภาวะตลาดการเงินทั้งภายใน และภายนอก และยังจะทำการสื่อสารต่อประชาชนอย่างโปร่งใสเช่นเดิม โดยการจัดทำและเผยแพร่รายงานแนวโน้มเงินเฟ้อเป็นรายไตรมาส และฉบับต่อไปจะเป็นฉบับเดือนกรกฎาคม 2544
4. สำหรับการประเมินภาวะเศรษฐกิจในการประชุมครั้งนี้ คณะกรรมการฯเห็นว่าเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญของโลกยังมีแนวโน้มอ่อนตัว แต่ก็มีปัจจัยด้านบวก กรณีสหรัฐซึ่งมาตรการลดภาษีของประธานาธิบดีบุช ได้ผ่านขั้นตอนออกเป็นกฎหมายเรียบร้อยแล้ว ส่วนกรณีญี่ปุ่นก็ได้มีการเสนอมาตรการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะเอื้ออำนวยให้มีการฟื้นตัวได้ในระยะต่อไป
5. เมื่อพิจารณาแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของไทยในอนาคตแล้ว คณะกรรมการฯ เห็นว่าโอกาสที่อัตราเงินเฟ้อจะขึ้นไปสูงกว่าเป้าหมายยังมีน้อย และการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับขึ้นดอกเบี้ยเมื่อวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา ก็เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาความบิดเบือนของโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงิน ระยะสั้นแล้ว คณะกรรมการฯ จึงมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืน 14 วันไว้ในระดับเดิม คือร้อยละ 2.5 ต่อปีต่อไป
สำหรับรายละเอียดการประเมินภาพเศรษฐกิจและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ตลอดจนการประมาณแนวโน้มเงินเฟ้อจะแถลงให้ทราบอีกครั้ง ในการเผยแพร่รายงานแนวโน้มเงินเฟ้อฉบับเดือนกรกฎาคม 2544
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
1. คณะกรรมการนโยบายการเงินชุดใหม่ มีมติให้ดำเนินนโยบายการเงินตามกรอบเดิม โดยจะยังดูแลให้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานไม่เกินเพดานร้อยละ 3.5 ต่อปีเช่นเดิม และจะยังใช้อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืน 14 วันเป็นดอกเบี้ยสำหรับส่งสัญญาณนโยบายการเงินเช่นเดิม เพื่อให้กรอบนโยบายการเงินนี้บรรลุวัตถุประสงค์ระยะยาว ในการสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน และมีเสถียรภาพภายในประเทศทางด้านราคา (Internal Stability)
2. แต่การดำเนินนโยบายการเงินนั้น คณะกรรมการฯ เห็นด้วยกับการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย จะเข้าไปดูแลปัจจัยที่สำคัญบางอย่างมากขึ้น ในเรื่องของเสถียรภาพภายนอก (External Stability) โดยเฉพาะอย่างยิ่งถึงเรื่องการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด ที่มีแนวโน้มลดลง และการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย มีนโยบายที่จะบริหารอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิดมากขึ้น เพื่อให้มีความผันผวนระยะสั้นน้อยลง แต่ในเวลาเดียวกัน ไม่ให้เป็นการฝืนแนวโน้มของตลาดโลก
3. คณะกรรมการฯ จะมีการประชุมกันทุกเดือน เพื่อติดตามภาวะเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงในภาวะตลาดการเงินทั้งภายใน และภายนอก และยังจะทำการสื่อสารต่อประชาชนอย่างโปร่งใสเช่นเดิม โดยการจัดทำและเผยแพร่รายงานแนวโน้มเงินเฟ้อเป็นรายไตรมาส และฉบับต่อไปจะเป็นฉบับเดือนกรกฎาคม 2544
4. สำหรับการประเมินภาวะเศรษฐกิจในการประชุมครั้งนี้ คณะกรรมการฯเห็นว่าเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญของโลกยังมีแนวโน้มอ่อนตัว แต่ก็มีปัจจัยด้านบวก กรณีสหรัฐซึ่งมาตรการลดภาษีของประธานาธิบดีบุช ได้ผ่านขั้นตอนออกเป็นกฎหมายเรียบร้อยแล้ว ส่วนกรณีญี่ปุ่นก็ได้มีการเสนอมาตรการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งจะเอื้ออำนวยให้มีการฟื้นตัวได้ในระยะต่อไป
5. เมื่อพิจารณาแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อของไทยในอนาคตแล้ว คณะกรรมการฯ เห็นว่าโอกาสที่อัตราเงินเฟ้อจะขึ้นไปสูงกว่าเป้าหมายยังมีน้อย และการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยปรับขึ้นดอกเบี้ยเมื่อวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา ก็เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาความบิดเบือนของโครงสร้างอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงิน ระยะสั้นแล้ว คณะกรรมการฯ จึงมีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืน 14 วันไว้ในระดับเดิม คือร้อยละ 2.5 ต่อปีต่อไป
สำหรับรายละเอียดการประเมินภาพเศรษฐกิจและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ตลอดจนการประมาณแนวโน้มเงินเฟ้อจะแถลงให้ทราบอีกครั้ง ในการเผยแพร่รายงานแนวโน้มเงินเฟ้อฉบับเดือนกรกฎาคม 2544
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-