แท็ก
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
สวัสดีครับท่านผู้ฟังที่อยู่ทางบ้านทุกคนหรือท่านผู้ฟังที่กำลังเดินทางไปจับจ่ายใช้สอย ไปตลาดหรือกำลังเดินทางไปที่ทำงานนะครับ ขอนำท่านเข้าสู่รายการผู้นำฝ่ายค้านสนทนากับประชาชน ทุกวันพุธ เวลา 8.30 น. ถึง 9.00 น. โดยประมาณ เผอิญท่านผู้ฟังคงได้ยินว่าเสียงของผมคงไม่ใช่เสียงของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนะครับ ครั้งนี้ท่านผู้นำฝ่ายค้านติดภารกิจเร่งด่วนที่จะต้องนำคณะของพรรคประชาธิปัตย์ไปช่วยผู้ประสบอุทกภัย ครั้งยิ่งใหญ่ 7 จังหวัดภาคใต้ ก็ได้ฝากให้ผม นายเกียรติ สิทธีอมร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคประชาธิปัตย์ มาดำเนินรายการแทน
วันนี้พยายามหาเรื่องมาเล่าให้ท่านผู้ฟังได้มารับฟังกันนะครับว่าเหตุการณ์บ้านเมืองในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เรื่องที่คงจะเป็นเรื่องสำคัญและอยากจะเล่าสู่กันฟังคือเรื่องน้ำท่วมใหญ่ทางภาคใต้นะครับ จริง ๆ แล้ว ครั้งนี้ในบางพื้นที่ก็เป็นครั้งที่ 3 แล้ว ที่มีปัญหาน้ำท่วมใหญ่เกิดขึ้นและจนถึงวันนี้มีผู้สูญหายแล้ว 3 ราย มีคนเสียชีวิตไปแล้ว 15 ราย และมีการประเมินค่าเสียหายขั้นต้นไว้ที่ 300 ล้านบาท อย่างไรก็ตามพรรคประชาธิปัตย์ได้มีแกนนำของพรรคเดินทางไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทั้ง 7 จังหวัดภาคใต้ที่ประสบน้ำท่วม ไม่ว่าจะเป็นที่จังหวัดตรัง ยะลา ปัตตานี สตูล สงขลา นราธิวาส และนครศรีธรรมราช จริง ๆ แล้ววันนี้แกนนำของพรรคประชาธิปัตย์แบ่งเป็น 7 สายวิ่งไป 7 พื้นที่ และนำข้าวของไปเยี่ยมชุมชนที่ถูกน้ำท่วมและในขณะเดียวกันก็คงจะไปเก็บข้อมูลด้วยว่าคนในพื้นที่มีความรู้สึกอย่างไร มีความเดือดร้อนอะไรบ้าง และนำข้อมูลเหล่านั้นมาบอกกล่าวให้รัฐบาลรับทราบเพื่อที่จะได้นำความช่วยเหลือลงไปได้ทันท่วงที ในเรื่องนี้เองก็รู้สึกเป็นห่วงเล็กน้อยว่าท่านนายกฯ ก็ไม่ไปบัญชาการเอง เห็นบอกว่ากลัวเป็นภาระต่อเจ้าหน้าที่บ้างหรือเป็นการทดสอบ จริง ๆ แล้วก็ถือว่าเป็นการทดสอบว่าระบบบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลจะมีประสิทธิภาพในเวลาที่นายกรัฐมนตรีไม่ไปบัญชาการเองหรือไม่ คงต้องติดตามดูกันต่อไป แต่ในขณะเดียวกันท่านนายกฯ ก็ออกมาพูดว่าไม่มีความจำเป็นจะต้องบริจาคนะครับในครั้งนี้ เพราะรัฐบาลมีเงินเพียงพอ อันนี้ทางพวกเราฝ่ายค้านรู้สึกแปลกใจว่าจริง ๆ การที่เปิดช่องทางให้ประชาชนได้มีโอกาสบริจาคหรือส่งความช่วยเหลือไปให้เพื่อนร่วมชาติ จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่เป็นเรื่องของเงินนะครับ แต่เป็นเรื่องของการเปิดช่องทางให้มีการแสดงออกซึ่งความรู้สึก ความห่วงใย การให้ความช่วยเหลือมายังพี่น้องคนไทยด้วยกันนะครับ ผมคิดว่าจริง ๆ แล้วก็น่าเป็นช่องทางที่ดีที่ให้ประชาชนมีโอกาสแสดงออก อย่างไรก็ตามถ้าท่านผู้ฟังท่านใดมีจิตศรัทธาและต้องการจะช่วยเหลือสามารถส่งไปได้ที่พรรคประชาธิปัตย์นะครับ เรามีการตั้งศูนย์รอรับความช่วยเหลือจากฝ่ายต่าง ๆ นะครับ บางท่านนำเข้าสารอาหารแห้งมาให้ เราก็ส่งต่อไปยังผู้ประสบเคราะห์ที่ภาคใต้ อันนี้ขอเชิญส่งมาที่พรรคประชาธิปัตย์ หรือสาขาพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีอยู่ 100 กว่าสาขา ทั่วประเทศไทยนะครับ ขอเรียนเชิญครับ
ในแง่ของเหตุการณ์บ้านเมืองต่อไปจริง ๆ แล้วช่วงที่ผ่านมา หรืออาทิตย์ที่ผ่านมา รัฐบาลเองก็มีการเปิดแนะนำโครงการเมกะโปรเจกต์ ซึ่งเป็นโครงการใหญ่ใน 5 ปีข้างหน้า โครงการที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภคพื้นฐาน เป็นวงเงินลงทุนกว่า 1 ล้าน 5 แสนกว่าล้านบาท นะครับแล้วก็ถ้าท่านผู้ฟังได้มีโอกาสติดตามข่าวสาร ทางหน้าหนังสือพิมพ์ หรือทางโทรทัศน์ก็แล้วแต่ ท่านก็จะเห็นว่ามีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย โครงการเหล่านี้ก็เป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับระบบขนส่งมวลชนไม่ว่าจะเป็นโครงการในเรื่องการจัดสรรน้ำ และระบบระบายน้ำ หรือโครงการการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมไปถึงการพัฒนา E-education และก็ท้ายที่สุดก็พูดถึงระบบการป้องกันประเทศ ทางฝ่ายค้านเองจริง ๆ แล้วเห็นด้วยกับการที่จะให้มีการเร่งสร้างโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานสำคัญ ๆ ที่มีความจำเป็นในแต่ละพื้นที่แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องแสดงความเป็นห่วงว่าแนวทางที่รัฐบาลกำลังดำเนินการในเรื่องเมกะโปรเจ็กต์นี้ ในมุมหนึ่งดูเหมือนจะแปลกใหม่ แต่ในอีกมุมหนึ่งอาจจะนำไปสู่ปัญหามากมายได้ในอนาคต ในกรณีขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ ก็เป็นที่ฮือฮากันครับท่านผู้ฟัง ว่าจะมีการสร้างระบบขนส่งมวลชนถึง 10 เส้นทาง อันนี้ก็ถ้าท่านผู้ฟังไม่คุ้นเคยกับโครงการเหล่านี้จริง ๆ แล้วในช่วง 2 — 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลก็มีโอกาสได้ทำหลายเรื่องนะครับ แต่ไม่ค่อยมีความก้าวหน้าเท่าไหร่ ในช่วงนี้ก็ไม่ทราบด้วยเหตุผลใด ก่อนเลือกตั้งคราวที่แล้วได้ประกาศไว้อย่างชัดเจนว่าจะสร้างถึง 7 สายในขณะเดียวกันพอหลังเลือกตั้งก็บอกว่าเหลือ 4 สาย แต่ตอนนี้ไม่ทราบด้วยเหตุผลใดจะทำทีเดียวพร้อมกัน 10 เส้นทางอันนี้ก็ในแง่ของการดำเนินงาน ถ้าทำพร้อม ๆ กันก็คงจะเป็นปัญหาพอสมควรกับระบบการจราจรภายในประเทศ แต่ในขณะเดียวกันที่น่าเป็นห่วงยิ่งไปกว่านั้นก็คงจะเป็นวิธีการที่ท่านนายกฯ เรียกว่าเป็นวิธีการประมูลแบบใหม่ก็คือ เปิดกว้างเลยครับ มีการเป่าประกาศกัน เชิญท่านทูตานุทูตจากประเทศต่าง ๆ มารับฟังข้อมูลที่ทำเนียบรัฐบาลแล้วก็แจ้งให้ทูตานุทูตจากประเทศต่าง ๆ กลับไปบอกกับประเทศของเขาว่าใครสนใจเรื่องใดก็ตามยื่นข้อเสนอมาได้เลย แล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องยื่นข้อเสนอในลักษณะที่เหมือนกันมา อันนี้ก็สร้างคำถามมากมายนะครับท่านผู้ฟังว่าจริง ๆ แล้วอันนี้เป็นการประมูลแบบตามใจฝรั่งหรือเปล่า และทำไมต้องไปเชิญเฉพาะฝรั่งทำไมไม่เชิญคนไทยเข้ามาให้มีส่วนในการประมูลโครงการหลายโครงการ เพราะจริง ๆ แล้วโครงการทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเรื่องระบบการจัดสรรน้ำ ระบบระบายน้ำ หรือแม้กระทั่งระบบขนส่งมวลชน บริษัทคนไทยเองก็มีส่วนร่วมในการดำเนินการมาโดยตลอดนะครับ เส้นทางที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ จริง ๆ แล้วในอดีตทั้งบริษัทไทยทั้งสองบริษัทก็เป็นแกนนำในการดำเนินการทั้งสิ้น และปัจจุบันนี้ก็ได้มีการใช้ระบบขนส่งมวลชนกันทั้งระบบใต้ดินและระบบเหนือดิน และก็จริง ๆ แล้วก็เป็นกระบวนการการประมูลที่ค่อนข้างมีกติกาชัดเจนในอดีตนะครับ มีการออก TOR หรือที่เขาเรียกว่าเป็นเงื่อนไขในการประมูลเพื่อที่จะทำให้ทุกฝ่ายที่สนใจกับการประมูลสามารถยื่นข้อเสนอในบรรทัดฐานเดียวกันได้ การประเมินก็ทำได้ง่าย แต่การประมูลในลักษณะที่เปิดกว้างเช่นนี้ที่ให้ต่างชาติเท่านั้นเข้ามายื่นข้อเสนอได้มันก็ทำให้บริษัทคนไทยคงต้องไปเป็นเบี้ยล่างบริษัทต่างชาติ อันนี้เราก็เป็นห่วงจริง ๆ ว่าทำไมเราถึงต้องทำเช่นนั้น เพราะเท่าที่ผ่านมาก็พิสูจน์แล้วว่าคนไทยก็มีความสามารถไม่น้อยกว่าต่างชาติในหลายกรณี และในกรณีที่มีความจำเป็นที่จะต้องให้ต่างชาติเข้ามาร่วมก็ไม่ใช่เป็นเรื่องยากครับ สามารถดำเนินการร่วมกันได้โดยที่ให้บริษัทคนไทยเป็นบริษัทที่นำในการดำเนินการ ในเรื่องนี้เองมันก็มีการประกาศออกไปอีกว่า ในบางกรณีรัฐบาลก็พร้อมที่จะนำเงินสกุลไก่ ไปใช้ในการซื้อสินค้าเหล่านี้ อันนี้ก็พูดง่าย ๆ ที่ท่านนายกเรียกว่า “Barter Trade” นะครับ คือการแลกเปลี่ยนสินค้ากัน สมมติว่าประเทศไทยต้องการจะไปซื้อสินค้าจากต่างประเทศ ก็เอาสินค้าของไทยไปแลกนะครับ จริง ๆ แล้วมันมีกรณีใดบ้างที่จำเป็นจะต้องทำอย่างนั้น ก็คงจะหนีไม่พ้นกรณีในอดีตที่บางประเทศมีเงินสกุลเงินของเขาที่ประเทศอื่นไม่ค่อยยอมรับเท่าไหร่ ก็จำเป็นต้องนำสินค้าไปแลกเปลี่ยนนะครับ หรือในบางกรณีมีเงินสำรองเงินตราระหว่างประเทศมีน้อย ก็แลกเปลี่ยนสินค้ากันอันนี้ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ สำหรับกรณีประเทศไทยก็คงไม่มีความจำเป็นจะต้องทำเช่นนี้นะครับ เพราะว่าถ้าทำเช่นนี้กลายเป็นว่านายกรัฐมนตรีของประเทศไทย หรือรัฐบาลไทยก็จะกลายเป็นนายหน้าในการไปซื้อของและก็เป็นนายหน้าในการซื้อผลผลิตการเกษตรในประเทศเพื่อเอาไปขายได้ในต่างประเทศให้ด้วย อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าน่าเป็นห่วงอยู่นะครับว่า เพราะว่าจริง ๆ ภารกิจของรัฐบาลไม่ใช่เป็นผู้ค้าขายแทนคนอื่นนะครับ เป็นผู้ที่จะกำหนดนโยบาย กำหนดงบประมาณ จัดสรรงบประมาณให้เหมาะสมในการพัฒนาประเทศในภาพรวมไม่ใช่เรื่องการซื้อขายสินค้าเพียงแต่อย่างเดียว แล้วก็ที่เป็นห่วงกันมาก ๆ ที่พูดถึงเรื่องเงินสกุลไก่ หลายคนที่อยู่ในภาคธุรกิจก็ทราบดีครับว่าจริง ๆ แล้ว มีผู้ที่สามารถนำไก่ส่งออกได้เนี่ย ก็มีเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้นนะครับ ส่วนเกษตรกรที่เป็นผู้เลี้ยงจริง ๆ แล้วตอนนี้ก็เป็นผู้เลี้ยงเหมือนรับจ้างทำของ เพราะว่าจำเป็นจะต้องซื้อลูกไก่ ลูกเจี๊ยบ จากบริษัทแล้วก็ซื้ออาหารจากบริษัท แล้วก็เมื่อเลี้ยงโตแล้วก็นำไปขายที่บริษัทเช่นกันนะครับ ประเด็นที่สำคัญที่ท่านนายกฯ ยังไม่ได้ตอบก็คือว่าผลประโยชน์มันตกถึงประชาชนหรือเปล่า ผลประโยชน์มันตกถึงพี่น้องเกษตรกรอย่างไรบ้าง ราคาไก่มันจะดีขึ้นอย่างไรบ้าง ราคาสินค้าเกษตรมันจะดีขึ้นอย่างไรบ้าง ตรงนี้ก็ยังไม่มีการบอกชัดเจนนะครับ
ท่านผู้ฟังครับในช่วง 10 นาที สุดท้าย ทางรายการก็จะเปิดให้ท่านผู้ฟังที่สนใจสามารถที่จะโทรเข้ามาสนทนาในรายการได้ครับที่หมายเลข 02 — 244-1482 หรือ 02 -244-1483 หรือหมายเลขที่สาม 02-241-0055 ต่างจังหวัดโทรฟรีนะครับ ไม่ต้องห่วงนะครับ ผู้ที่สนใจโทรได้นะครับ
ในเรื่องเมกะโปรเจ็กต์ก็มีความเป็นห่วงมากโดยเฉพาะเรื่องการป้องกันประเทศนะครับ ถ้าท่านนายก ฯ มีความประสงค์ที่จะเรียนรู้วิทยาการจากต่างประเทศ ให้ฝรั่งที่มีความรู้ มีประสบการณ์เข้ามาช่วยวางระบบป้องกันประเทศให้เรา ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนสูงมากนะครับ ผมก็แปลกใจว่าทำไมท่านนายกฯ ไปเจรจาซื้อเครื่องบินรบ SU-30 รวมไปถึงเฮลิคอปเตอร์ เป็นวงเงินถึง 20,000 ล้าน ถ้าเรามีความประสงค์ที่จะให้กองทัพเข้มแข็ง ตรงนี้เราต้องมียุทธศาสตร์ คำถามก็คือว่าพอท่านไปสวีเดนท่านก็ไปเอาไก่ไปแลกเครื่องบิน พอท่านไปจีน ท่านก็จะเอาไก่ไปแลกหัวรถจักร พอท่านไปรัสเซียท่านก็จะเอาไก่ไปแลกเครื่องบินอีกแล้วนะครับ อันนี้นะครับข่าวที่ลงในรัสเซีย ลงในหนังสือพิมพ์รัสเซียบอกว่าลงนามบันทึกความเข้าใจแล้ว ทั้ง ๆ ที่ท่านนายกฯ ให้สัมภาษณ์กับสื่อในประเทศว่าไม่ได้มีการลงนาม อันนี้ก็เป็นเรื่องที่แปลกนะครับว่าในขณะเดียวกันตอนแรกก็บอกว่าจะต้องทำระบบป้องกันประเทศให้มันมีความก้าวหน้าในช่วงหลายปีนี้ไม่ได้ซื้อวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ อาวุธสงครามต่าง ๆ ในทำนองเดียวกันท่านได้ไปเจรจาซื้อกับหลายประเทศมา จริง ๆ แล้วเรื่องนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นกระบวนการที่จะทำให้ทางกองทัพ อ่อนแอ ลงหรือว่า เข้มแข็งขึ้นนะครับ เพราะว่า ทันทีที่มีข่าวออกมาว่า มีการเจรจาซื้อเครื่องบินรบจากรัสเซีย ซึ่งประเทศไทยไม่เคยซื้อมาก่อน ก็หมายความว่าเครื่องบินและเครื่องมือต่าง ๆ ที่เรามีอยู่ หรืออาวุธต่าง ๆ ที่เรามีอยู่ในขั้นนี้ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของวัสดุอุปกรณ์ที่มาจากรัสเซีย เท่ากับเราจะไปเริ่มตั้งฝูงบินใหม่หรืออย่างไร แล้วฝูงบินเก่า เครื่องบินเก่าทำอย่างไร มันมีคำถามมากมายนะครับว่าในกรณีของการฝึกบุคลากรก็ดี การจัดระบบซ่อมบำรุงก็ดี ทั้งการเก็บอะไหล่ก็ดี จริง ๆ แล้วถ้ามีเครื่องมือเครื่องใช้หลากหลายยี่ห้อมันมีต้นทุนที่สูงขึ้น การฝึกของบุคลากรเองก็ต้องทำมากขึ้น อันนี้ก็ไม่ทราบว่าท่านนายกฯ ถึงไปทำเช่นนั้น แล้วก็รู้สึกว่าในบันทึกความเข้าใจมันก็มีรวมถึงทั้งเครื่องบินรบและเฮลิคอปเตอร์ด้วย ซึ่งท่านนายกฯ เองก็ปฏิเสธว่าไม่มีเฮลิคอปเตอร์ แต่ข่าวในประเทศรัสเซียก็ลงทั่วไปเลยนะครับ รวมทั้งให้สัมภาษณ์ผู้ที่อยู่ในบริษัท เป็นเจ้าหน้าที่ของบริษัทที่ผลิตเครื่องบินรบเหล่านี้ อันนี้เราก็ต้องติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดต่อไปนะครับ เพราะว่าเป็นเรื่องที่พฤติกรรมมันขัดแย้งกับแนวทางที่ได้เคยพูดไว้ แล้วก็เป็นไปได้ถ้านายกรัฐมนตรีของเราทำหน้าที่เป็นนายหน้า ที่จะเจรจาซื้อเครื่องบินรบเองและในที่สุดก็จะเป็นผู้ไปซื้อไก่เองเพื่อจะนำไปส่งต่อให้ทางรัสเซีย ผมก็คิดว่าเรื่องนี้ก็จะทำให้ประเทศไทยน่าเป็นห่วงมากนะครับ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 21 ธ.ค. 2548--จบ--
วันนี้พยายามหาเรื่องมาเล่าให้ท่านผู้ฟังได้มารับฟังกันนะครับว่าเหตุการณ์บ้านเมืองในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เรื่องที่คงจะเป็นเรื่องสำคัญและอยากจะเล่าสู่กันฟังคือเรื่องน้ำท่วมใหญ่ทางภาคใต้นะครับ จริง ๆ แล้ว ครั้งนี้ในบางพื้นที่ก็เป็นครั้งที่ 3 แล้ว ที่มีปัญหาน้ำท่วมใหญ่เกิดขึ้นและจนถึงวันนี้มีผู้สูญหายแล้ว 3 ราย มีคนเสียชีวิตไปแล้ว 15 ราย และมีการประเมินค่าเสียหายขั้นต้นไว้ที่ 300 ล้านบาท อย่างไรก็ตามพรรคประชาธิปัตย์ได้มีแกนนำของพรรคเดินทางไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทั้ง 7 จังหวัดภาคใต้ที่ประสบน้ำท่วม ไม่ว่าจะเป็นที่จังหวัดตรัง ยะลา ปัตตานี สตูล สงขลา นราธิวาส และนครศรีธรรมราช จริง ๆ แล้ววันนี้แกนนำของพรรคประชาธิปัตย์แบ่งเป็น 7 สายวิ่งไป 7 พื้นที่ และนำข้าวของไปเยี่ยมชุมชนที่ถูกน้ำท่วมและในขณะเดียวกันก็คงจะไปเก็บข้อมูลด้วยว่าคนในพื้นที่มีความรู้สึกอย่างไร มีความเดือดร้อนอะไรบ้าง และนำข้อมูลเหล่านั้นมาบอกกล่าวให้รัฐบาลรับทราบเพื่อที่จะได้นำความช่วยเหลือลงไปได้ทันท่วงที ในเรื่องนี้เองก็รู้สึกเป็นห่วงเล็กน้อยว่าท่านนายกฯ ก็ไม่ไปบัญชาการเอง เห็นบอกว่ากลัวเป็นภาระต่อเจ้าหน้าที่บ้างหรือเป็นการทดสอบ จริง ๆ แล้วก็ถือว่าเป็นการทดสอบว่าระบบบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลจะมีประสิทธิภาพในเวลาที่นายกรัฐมนตรีไม่ไปบัญชาการเองหรือไม่ คงต้องติดตามดูกันต่อไป แต่ในขณะเดียวกันท่านนายกฯ ก็ออกมาพูดว่าไม่มีความจำเป็นจะต้องบริจาคนะครับในครั้งนี้ เพราะรัฐบาลมีเงินเพียงพอ อันนี้ทางพวกเราฝ่ายค้านรู้สึกแปลกใจว่าจริง ๆ การที่เปิดช่องทางให้ประชาชนได้มีโอกาสบริจาคหรือส่งความช่วยเหลือไปให้เพื่อนร่วมชาติ จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่เป็นเรื่องของเงินนะครับ แต่เป็นเรื่องของการเปิดช่องทางให้มีการแสดงออกซึ่งความรู้สึก ความห่วงใย การให้ความช่วยเหลือมายังพี่น้องคนไทยด้วยกันนะครับ ผมคิดว่าจริง ๆ แล้วก็น่าเป็นช่องทางที่ดีที่ให้ประชาชนมีโอกาสแสดงออก อย่างไรก็ตามถ้าท่านผู้ฟังท่านใดมีจิตศรัทธาและต้องการจะช่วยเหลือสามารถส่งไปได้ที่พรรคประชาธิปัตย์นะครับ เรามีการตั้งศูนย์รอรับความช่วยเหลือจากฝ่ายต่าง ๆ นะครับ บางท่านนำเข้าสารอาหารแห้งมาให้ เราก็ส่งต่อไปยังผู้ประสบเคราะห์ที่ภาคใต้ อันนี้ขอเชิญส่งมาที่พรรคประชาธิปัตย์ หรือสาขาพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีอยู่ 100 กว่าสาขา ทั่วประเทศไทยนะครับ ขอเรียนเชิญครับ
ในแง่ของเหตุการณ์บ้านเมืองต่อไปจริง ๆ แล้วช่วงที่ผ่านมา หรืออาทิตย์ที่ผ่านมา รัฐบาลเองก็มีการเปิดแนะนำโครงการเมกะโปรเจกต์ ซึ่งเป็นโครงการใหญ่ใน 5 ปีข้างหน้า โครงการที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภคพื้นฐาน เป็นวงเงินลงทุนกว่า 1 ล้าน 5 แสนกว่าล้านบาท นะครับแล้วก็ถ้าท่านผู้ฟังได้มีโอกาสติดตามข่าวสาร ทางหน้าหนังสือพิมพ์ หรือทางโทรทัศน์ก็แล้วแต่ ท่านก็จะเห็นว่ามีเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย โครงการเหล่านี้ก็เป็นโครงการที่เกี่ยวข้องกับระบบขนส่งมวลชนไม่ว่าจะเป็นโครงการในเรื่องการจัดสรรน้ำ และระบบระบายน้ำ หรือโครงการการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ รวมไปถึงการพัฒนา E-education และก็ท้ายที่สุดก็พูดถึงระบบการป้องกันประเทศ ทางฝ่ายค้านเองจริง ๆ แล้วเห็นด้วยกับการที่จะให้มีการเร่งสร้างโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานสำคัญ ๆ ที่มีความจำเป็นในแต่ละพื้นที่แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องแสดงความเป็นห่วงว่าแนวทางที่รัฐบาลกำลังดำเนินการในเรื่องเมกะโปรเจ็กต์นี้ ในมุมหนึ่งดูเหมือนจะแปลกใหม่ แต่ในอีกมุมหนึ่งอาจจะนำไปสู่ปัญหามากมายได้ในอนาคต ในกรณีขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ ก็เป็นที่ฮือฮากันครับท่านผู้ฟัง ว่าจะมีการสร้างระบบขนส่งมวลชนถึง 10 เส้นทาง อันนี้ก็ถ้าท่านผู้ฟังไม่คุ้นเคยกับโครงการเหล่านี้จริง ๆ แล้วในช่วง 2 — 3 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลก็มีโอกาสได้ทำหลายเรื่องนะครับ แต่ไม่ค่อยมีความก้าวหน้าเท่าไหร่ ในช่วงนี้ก็ไม่ทราบด้วยเหตุผลใด ก่อนเลือกตั้งคราวที่แล้วได้ประกาศไว้อย่างชัดเจนว่าจะสร้างถึง 7 สายในขณะเดียวกันพอหลังเลือกตั้งก็บอกว่าเหลือ 4 สาย แต่ตอนนี้ไม่ทราบด้วยเหตุผลใดจะทำทีเดียวพร้อมกัน 10 เส้นทางอันนี้ก็ในแง่ของการดำเนินงาน ถ้าทำพร้อม ๆ กันก็คงจะเป็นปัญหาพอสมควรกับระบบการจราจรภายในประเทศ แต่ในขณะเดียวกันที่น่าเป็นห่วงยิ่งไปกว่านั้นก็คงจะเป็นวิธีการที่ท่านนายกฯ เรียกว่าเป็นวิธีการประมูลแบบใหม่ก็คือ เปิดกว้างเลยครับ มีการเป่าประกาศกัน เชิญท่านทูตานุทูตจากประเทศต่าง ๆ มารับฟังข้อมูลที่ทำเนียบรัฐบาลแล้วก็แจ้งให้ทูตานุทูตจากประเทศต่าง ๆ กลับไปบอกกับประเทศของเขาว่าใครสนใจเรื่องใดก็ตามยื่นข้อเสนอมาได้เลย แล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องยื่นข้อเสนอในลักษณะที่เหมือนกันมา อันนี้ก็สร้างคำถามมากมายนะครับท่านผู้ฟังว่าจริง ๆ แล้วอันนี้เป็นการประมูลแบบตามใจฝรั่งหรือเปล่า และทำไมต้องไปเชิญเฉพาะฝรั่งทำไมไม่เชิญคนไทยเข้ามาให้มีส่วนในการประมูลโครงการหลายโครงการ เพราะจริง ๆ แล้วโครงการทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นเรื่องระบบการจัดสรรน้ำ ระบบระบายน้ำ หรือแม้กระทั่งระบบขนส่งมวลชน บริษัทคนไทยเองก็มีส่วนร่วมในการดำเนินการมาโดยตลอดนะครับ เส้นทางที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ จริง ๆ แล้วในอดีตทั้งบริษัทไทยทั้งสองบริษัทก็เป็นแกนนำในการดำเนินการทั้งสิ้น และปัจจุบันนี้ก็ได้มีการใช้ระบบขนส่งมวลชนกันทั้งระบบใต้ดินและระบบเหนือดิน และก็จริง ๆ แล้วก็เป็นกระบวนการการประมูลที่ค่อนข้างมีกติกาชัดเจนในอดีตนะครับ มีการออก TOR หรือที่เขาเรียกว่าเป็นเงื่อนไขในการประมูลเพื่อที่จะทำให้ทุกฝ่ายที่สนใจกับการประมูลสามารถยื่นข้อเสนอในบรรทัดฐานเดียวกันได้ การประเมินก็ทำได้ง่าย แต่การประมูลในลักษณะที่เปิดกว้างเช่นนี้ที่ให้ต่างชาติเท่านั้นเข้ามายื่นข้อเสนอได้มันก็ทำให้บริษัทคนไทยคงต้องไปเป็นเบี้ยล่างบริษัทต่างชาติ อันนี้เราก็เป็นห่วงจริง ๆ ว่าทำไมเราถึงต้องทำเช่นนั้น เพราะเท่าที่ผ่านมาก็พิสูจน์แล้วว่าคนไทยก็มีความสามารถไม่น้อยกว่าต่างชาติในหลายกรณี และในกรณีที่มีความจำเป็นที่จะต้องให้ต่างชาติเข้ามาร่วมก็ไม่ใช่เป็นเรื่องยากครับ สามารถดำเนินการร่วมกันได้โดยที่ให้บริษัทคนไทยเป็นบริษัทที่นำในการดำเนินการ ในเรื่องนี้เองมันก็มีการประกาศออกไปอีกว่า ในบางกรณีรัฐบาลก็พร้อมที่จะนำเงินสกุลไก่ ไปใช้ในการซื้อสินค้าเหล่านี้ อันนี้ก็พูดง่าย ๆ ที่ท่านนายกเรียกว่า “Barter Trade” นะครับ คือการแลกเปลี่ยนสินค้ากัน สมมติว่าประเทศไทยต้องการจะไปซื้อสินค้าจากต่างประเทศ ก็เอาสินค้าของไทยไปแลกนะครับ จริง ๆ แล้วมันมีกรณีใดบ้างที่จำเป็นจะต้องทำอย่างนั้น ก็คงจะหนีไม่พ้นกรณีในอดีตที่บางประเทศมีเงินสกุลเงินของเขาที่ประเทศอื่นไม่ค่อยยอมรับเท่าไหร่ ก็จำเป็นต้องนำสินค้าไปแลกเปลี่ยนนะครับ หรือในบางกรณีมีเงินสำรองเงินตราระหว่างประเทศมีน้อย ก็แลกเปลี่ยนสินค้ากันอันนี้ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ สำหรับกรณีประเทศไทยก็คงไม่มีความจำเป็นจะต้องทำเช่นนี้นะครับ เพราะว่าถ้าทำเช่นนี้กลายเป็นว่านายกรัฐมนตรีของประเทศไทย หรือรัฐบาลไทยก็จะกลายเป็นนายหน้าในการไปซื้อของและก็เป็นนายหน้าในการซื้อผลผลิตการเกษตรในประเทศเพื่อเอาไปขายได้ในต่างประเทศให้ด้วย อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ผมคิดว่าน่าเป็นห่วงอยู่นะครับว่า เพราะว่าจริง ๆ ภารกิจของรัฐบาลไม่ใช่เป็นผู้ค้าขายแทนคนอื่นนะครับ เป็นผู้ที่จะกำหนดนโยบาย กำหนดงบประมาณ จัดสรรงบประมาณให้เหมาะสมในการพัฒนาประเทศในภาพรวมไม่ใช่เรื่องการซื้อขายสินค้าเพียงแต่อย่างเดียว แล้วก็ที่เป็นห่วงกันมาก ๆ ที่พูดถึงเรื่องเงินสกุลไก่ หลายคนที่อยู่ในภาคธุรกิจก็ทราบดีครับว่าจริง ๆ แล้ว มีผู้ที่สามารถนำไก่ส่งออกได้เนี่ย ก็มีเพียงไม่กี่บริษัทเท่านั้นนะครับ ส่วนเกษตรกรที่เป็นผู้เลี้ยงจริง ๆ แล้วตอนนี้ก็เป็นผู้เลี้ยงเหมือนรับจ้างทำของ เพราะว่าจำเป็นจะต้องซื้อลูกไก่ ลูกเจี๊ยบ จากบริษัทแล้วก็ซื้ออาหารจากบริษัท แล้วก็เมื่อเลี้ยงโตแล้วก็นำไปขายที่บริษัทเช่นกันนะครับ ประเด็นที่สำคัญที่ท่านนายกฯ ยังไม่ได้ตอบก็คือว่าผลประโยชน์มันตกถึงประชาชนหรือเปล่า ผลประโยชน์มันตกถึงพี่น้องเกษตรกรอย่างไรบ้าง ราคาไก่มันจะดีขึ้นอย่างไรบ้าง ราคาสินค้าเกษตรมันจะดีขึ้นอย่างไรบ้าง ตรงนี้ก็ยังไม่มีการบอกชัดเจนนะครับ
ท่านผู้ฟังครับในช่วง 10 นาที สุดท้าย ทางรายการก็จะเปิดให้ท่านผู้ฟังที่สนใจสามารถที่จะโทรเข้ามาสนทนาในรายการได้ครับที่หมายเลข 02 — 244-1482 หรือ 02 -244-1483 หรือหมายเลขที่สาม 02-241-0055 ต่างจังหวัดโทรฟรีนะครับ ไม่ต้องห่วงนะครับ ผู้ที่สนใจโทรได้นะครับ
ในเรื่องเมกะโปรเจ็กต์ก็มีความเป็นห่วงมากโดยเฉพาะเรื่องการป้องกันประเทศนะครับ ถ้าท่านนายก ฯ มีความประสงค์ที่จะเรียนรู้วิทยาการจากต่างประเทศ ให้ฝรั่งที่มีความรู้ มีประสบการณ์เข้ามาช่วยวางระบบป้องกันประเทศให้เรา ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความละเอียดอ่อนสูงมากนะครับ ผมก็แปลกใจว่าทำไมท่านนายกฯ ไปเจรจาซื้อเครื่องบินรบ SU-30 รวมไปถึงเฮลิคอปเตอร์ เป็นวงเงินถึง 20,000 ล้าน ถ้าเรามีความประสงค์ที่จะให้กองทัพเข้มแข็ง ตรงนี้เราต้องมียุทธศาสตร์ คำถามก็คือว่าพอท่านไปสวีเดนท่านก็ไปเอาไก่ไปแลกเครื่องบิน พอท่านไปจีน ท่านก็จะเอาไก่ไปแลกหัวรถจักร พอท่านไปรัสเซียท่านก็จะเอาไก่ไปแลกเครื่องบินอีกแล้วนะครับ อันนี้นะครับข่าวที่ลงในรัสเซีย ลงในหนังสือพิมพ์รัสเซียบอกว่าลงนามบันทึกความเข้าใจแล้ว ทั้ง ๆ ที่ท่านนายกฯ ให้สัมภาษณ์กับสื่อในประเทศว่าไม่ได้มีการลงนาม อันนี้ก็เป็นเรื่องที่แปลกนะครับว่าในขณะเดียวกันตอนแรกก็บอกว่าจะต้องทำระบบป้องกันประเทศให้มันมีความก้าวหน้าในช่วงหลายปีนี้ไม่ได้ซื้อวัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้ อาวุธสงครามต่าง ๆ ในทำนองเดียวกันท่านได้ไปเจรจาซื้อกับหลายประเทศมา จริง ๆ แล้วเรื่องนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นกระบวนการที่จะทำให้ทางกองทัพ อ่อนแอ ลงหรือว่า เข้มแข็งขึ้นนะครับ เพราะว่า ทันทีที่มีข่าวออกมาว่า มีการเจรจาซื้อเครื่องบินรบจากรัสเซีย ซึ่งประเทศไทยไม่เคยซื้อมาก่อน ก็หมายความว่าเครื่องบินและเครื่องมือต่าง ๆ ที่เรามีอยู่ หรืออาวุธต่าง ๆ ที่เรามีอยู่ในขั้นนี้ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของวัสดุอุปกรณ์ที่มาจากรัสเซีย เท่ากับเราจะไปเริ่มตั้งฝูงบินใหม่หรืออย่างไร แล้วฝูงบินเก่า เครื่องบินเก่าทำอย่างไร มันมีคำถามมากมายนะครับว่าในกรณีของการฝึกบุคลากรก็ดี การจัดระบบซ่อมบำรุงก็ดี ทั้งการเก็บอะไหล่ก็ดี จริง ๆ แล้วถ้ามีเครื่องมือเครื่องใช้หลากหลายยี่ห้อมันมีต้นทุนที่สูงขึ้น การฝึกของบุคลากรเองก็ต้องทำมากขึ้น อันนี้ก็ไม่ทราบว่าท่านนายกฯ ถึงไปทำเช่นนั้น แล้วก็รู้สึกว่าในบันทึกความเข้าใจมันก็มีรวมถึงทั้งเครื่องบินรบและเฮลิคอปเตอร์ด้วย ซึ่งท่านนายกฯ เองก็ปฏิเสธว่าไม่มีเฮลิคอปเตอร์ แต่ข่าวในประเทศรัสเซียก็ลงทั่วไปเลยนะครับ รวมทั้งให้สัมภาษณ์ผู้ที่อยู่ในบริษัท เป็นเจ้าหน้าที่ของบริษัทที่ผลิตเครื่องบินรบเหล่านี้ อันนี้เราก็ต้องติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดต่อไปนะครับ เพราะว่าเป็นเรื่องที่พฤติกรรมมันขัดแย้งกับแนวทางที่ได้เคยพูดไว้ แล้วก็เป็นไปได้ถ้านายกรัฐมนตรีของเราทำหน้าที่เป็นนายหน้า ที่จะเจรจาซื้อเครื่องบินรบเองและในที่สุดก็จะเป็นผู้ไปซื้อไก่เองเพื่อจะนำไปส่งต่อให้ทางรัสเซีย ผมก็คิดว่าเรื่องนี้ก็จะทำให้ประเทศไทยน่าเป็นห่วงมากนะครับ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 21 ธ.ค. 2548--จบ--