อาเซอร์ไบจานเป็นประเทศเกิดใหม่ที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาวสูงมากประเทศหนึ่ง ทั้งนี้เนื่องจากอาเซอร์ไบจานมีทรัพยากรธรรมชาติประเภทพลังงานอัน ได้แก่ แก๊สและน้ำมันเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ รัฐบาลอาเซอร์ไบจานยังยึดแนวทางการนโยบายปฏิรูปทางเศรษฐกิจอย่างจริงจังภายใต้การแนะนำของ IMF และธนาคารโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดำเนินนโยบายการเงินและการคลังซึ่งช่วยให้อาเซอร์ไบจานสามารถผ่านพ้นปัญหาเศรษฐกิจต่าง ๆ มาได้ด้วยดี อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซอร์ไบจานจึงมีทิศทางที่ดีขึ้นเป็นลำดับ นับตั้งแต่ปี 1996 เป็นต้นมา
การค้าระหว่างประเทศ
มูลค่าการค้าของอาเซอร์ไบจานยังมีปริมาณไม่สูงนักเพียงประมาณพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้เนื่องจากอาเซอร์ไบจานเพิ่งฟื้นจากภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในช่วง 3 - 4 ปีแรกภายหลังได้รับเอกราช (ระหว่างปี 1992 - 1995) นับตั้งแต่ปี 1996 เป็นต้นมา เศรษฐกิจของอาเซอร์ไบจานเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นเป็นลำดับ อุตสาหกรรมน้ำมันซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักที่นำรายได้เข้าประเทศมากที่สุด (ประมาณเกือบร้อยละ 80 ของรายได้จากการส่งออกทั้งหมด) คาดว่าในปี 2008 - 2010 อาเซอร์ไบจานจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันได้ถึงวันละประมาณ 8 แสน - 1 ล้านบาร์เรล จากประมาณ 2 แสนบาร์เรลต่อวันในปัจจุบัน การที่อาเซอร์ไบจานสามารถส่งออกน้ำมันได้มากขึ้นจะทำให้อาเซอร์ไบจานมีรายได้มากขึ้นและสามารถนำเข้าสินค้าได้มากขึ้นตามไปด้วย โครงสร้างเศรษฐกิจของอาเซอร์ไบจานมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับประเทศผู้ส่งออกน้ำมันในตะวันออกกลางในแง่ที่ผลิตน้ำมันขายเป็นหลัก และนำเข้าสินค้าอุปโภคและบริโภคจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ สินค้าเหล่านี้ส่วนใหญ่นำเข้าจากตุรกี ยุโรป รัสเซีย และจีน เป็นต้น การค้าระหว่างไทยกับอาเซอร์ไบจานมีปริมาณที่น้อยมาก ตามตัวเลขสถิติของกรมการค้าต่างประเทศในช่วงไตรมาสแรกของปี 2542 ไทยส่งออกไปยังอาเซอร์ไบจานมีมูลค่าเพียงประมาณ 2 ล้านบาทเท่านั้น ทั้งนี้อาจมีสาเหตุมาจากปัจจัยสำคัญ 2 ประการ คือ
(1) ทั้งสองประเทศยังรู้จักและติดต่อกันน้อยมาก ไทยและอาเซอร์ไบจานเพิ่งจะมีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงอังการา (นายยิ่งพงศ์ นฤมิตรเรขการ) ได้เดินทางไปยื่นพระราช- สาสน์ตราตั้งเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2540 การเยือนระหว่างภาครัฐและเอกชนยังมีน้อยมาก เท่าที่ทราบเคยมีเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลอาเซอร์ไบจานเดินทางไปประชุม ESCAP ที่ประเทศไทย แต่การเยือนในลักษณะทวิภาคียังไม่เคยมี ในเดือนพฤษภาคม 2543 คณะสำรวจของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอังการา ได้เดินทางไปสำรวจตลาดและศึกษาลู่ทางการค้าและการลงทุนที่ประเทศอาเซอร์ไบจาน ถือเป็นคณะทางการคณะแรกจากประเทศไทยที่เดินทางไปถึงประเทศอาเซอร์ไบจาน
(2) สภาพที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ทำให้การติดต่อค้าขายระหว่างไทยกับอาเซอร์ไบจานกระทำได้ค่อนข้างลำบาก ประเทศคู่ค้าหลักของอาเซอร์ไบจานส่วนใหญ่คือประเทศใกล้เคียง ได้แก่ รัสเซีย ตุรกี และอิหร่าน สินค้านำเข้าไปยังอาเซอร์ไบจานส่วนใหญ่ขนส่งผ่านเส้นทางหลัก 2 เส้นทาง คือ
สินค้าจากยุโรปขนส่งผ่านทะเลดำแล้วขนส่งทางบกผ่านจอร์เจียสำหรับสินค้าที่จะส่งต่อไปยังเอเซียกลางจะถูกขนส่งลงเรือผ่านท่าเรือของกรุงบากู
สินค้าจากเอเซียส่วนใหญ่จะนำเข้าโดยผ่านดูไบแล้วขนส่งทางเรือผ่านอ่าวเปอร์เซียและทางบกผ่านอิหร่าน
ดังนั้น ในด้านการขนส่งสินค้าจากประเทศไทยไปยังอาเซอร์ไบจาน เส้นทางผ่านดูไบจึงน่าจะเหมาะสมที่สุด และเป็นที่น่ายินดีว่าในปัจจุบันประเทศไทยได้จัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าที่ดูไบ ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกอย่างมากสำหรับการทำการค้ากับประเทศในทรานคอเคซัคและเอเซียกลาง
สำหรับสินค้าจากประเทศไทยในอาเซอร์ไบจาน ในขณะนี้มีให้พบเห็นน้อยมาก ข้าวสารของไทยมีจำหน่ายบ้างในร้านขายของชำ (นำเข้าโดยผ่านดูไบ) ชาวอาเซอร์ไบจานบริโภคข้าวแต่ไม่ใช่อาหารหลัก (บริโภคเป็นบางมื้อ) สินค้าอุปโภคและบริโภคส่วนใหญ่อาเซอร์ไบจานนำเข้าจากจีน (เช่น ของใช้ในครัวเรือ ของเล่นเด็ก) และตุรกี (เช่น เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม) สินค้าพวกเครื่องสำอางนำเข้าจากยุโรป ยานยนต์ ในอดีตรถยนต์รัสเซียเคยครองตลาดในอาเซอร์ ไบจานมาโดยตลอดเนื่องจากมีราคาถูก อะไหล่หาง่ายและราคาไม่แพง ในปัจจุบันรถยนต์จากยุโรป เกาหลี ญี่ปุ่น และอิหร่าน (รถยุโรปที่ผลิตในอิหร่าน) เริ่มมีเข้ามาจำหน่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ
สินค้าอุปโภคและบริโภคส่วนใหญ่อาเซอร์ไบจานนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้น จึงค่อนข้างลำบากที่จะระบุให้แน่ชัดลงไปว่ามีสินค้าใดบ้างที่ไทยสามารถส่งออกไปอาเซอร์ไบจาน แต่เชื่อว่าสินค้าอุปโภคและบริโภคของไทยที่มีราคาและคุณภาพที่สามารถแข่งขันได้ มีโอกาสที่จะเข้าไปทำตลาดในอาเซอร์ไบจานได้ทั้งนั้น สิ่งที่สำคัญคือ ภาคเอกชนไทยต้องเข้าไปศึกษาตลาดด้วยตนเอง การขาดการติดต่อและข้อมูลระหว่างกัน ทำให้ผู้นำเข้าอาเซอร์ไบจานมักเลือกที่จะซื้อสินค้าจากประเทศที่ตนคุ้นเคย เช่น ประเทศในยุโรป และประเทศใกล้เคียง เช่น ตุรกี ยกตัวอย่างเช่น มีผู้ประกอบการผลิตเฟอร์นิเจอร์รายหนึ่ง (ซึ่งคิดว่าคงจะมีอยู่ไม่กี่รายในอาเซอร์ไบจาน) นำเข้าวัสดุที่ใช้ในการผลิตเฟอร์นิเจอร์จากเยอรมันและตุรกี เนื่องจากอาเซอร์ไบจานผลิตเองไม่ได้ วัสดุที่นำเข้าจากเยอรมันมีราคาแพง ในขณะที่ถ้านำเข้าจากประเทศไทยจะมีราคาที่ต่ำกว่าและมีคุณภาพที่ไม่ด้อยไปกว่ากัน สำหรับวัสดุที่นำเข้าจากตุรกีเชื่อว่าอาจมีบางส่วนนำเข้าจากไทยแล้วส่งไปขายให้อาเซอร์ไบจานอีกต่อหนึ่ง สินค้าประเภทวัสดุเฟอร์นิเจอร์เป็นเพียงตัวอย่างของสินค้ากลุ่มหนึ่งในอีกหลาย ๆ กลุ่มที่ไทยสามารถส่งขายในอาเซอร์ไบจานโดยตรง หากภาคเอกชนของทั้ง 2 ประเทศจะได้มีโอกาสที่จะรู้จักกันให้มากขึ้น
โอกาสทางการลงทุน
อาเซอร์ไบจานเป็นประเทศที่มีระดับการพัฒนาทางอุตสาหกรรมที่ค่อนข้างจะด้อยกว่าประเทศในทรานคอเคซัค อีก 2 ประเทศ คือ จอร์เจีย และอาร์เมเนีย ในช่วงที่อาเซอร์ไบจานยังเป็นสาธารณรัฐร่วมเครือสหภาพโซเวียต อาเซอร์ไบจานถูกกำหนดให้เป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมัน อาหาร และสินค้าเกษตร เช่น ฝ้ายและยาสูบ เพื่อส่งขายสาธารณรัฐอื่น ๆ ในสหภาพโซเวียต ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ภายหลังได้รับเอกราช อาเซอร์ไบจานจึงมีโครงสร้างพื้นฐานทางอุตสาหกรรมที่ค่อนข้างต่ำ (ยกเว้นอุตสาหกรรมน้ำมัน) ดังนั้น สินค้าอุปโภคและบริโภคส่วนใหญ่อาเซอร์ไบจานจึงต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลอาเซอร์ไบจานในปัจจุบันจึงให้ความสำคัญอย่างมากกับการลงทุนในอุตสาหกรรมอื่นที่มิใช่อุตสาหกรรมน้ำมัน ทั้งนี้เพราะอุตสาหกรรมน้ำมันเป็นอุตสาหกรรมหลักที่ได้รับความสนใจและเงินลงทุนจากต่างประเทศเป็นจำนวนมากพอสมควรแล้ว ในช่วงแรก ๆ ภายหลังได้รับเอกราชมีบริษัทต่างชาติสนใจเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมน้ำมันในอาเซอร์ไบจานเป็นจำนวนมาก ในระดับที่เรียกว่าเกินความพอดี (Overcrowded Investment) ซึ่งทำให้ในระยะหลัง ๆ มีบริษัทน้ำมันบางรายต้องประกาศถอนตัวออกไป ดังนั้น การลงทุนที่รัฐบาลอาเซอร์ไบจานให้ความสำคัญเป็นพิเศษในขณะนี้จึงมิใช่การลงทุนในอุตสาหกรรมน้ำมัน แต่เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมอื่น ๆ (Non- Oil Industries) ที่สำคัญได้แก่ อุตสาหกรรมการเกษตร
หากพิจารณาจากขนาดของตลาดซึ่งมีประชากรประมาณ 8 ล้านคน การนำเข้าสินค้าอุปโภคจากต่างประเทศ เช่น เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และของใช้ในชีวิตประจำวัน ก็มิใช่เรื่องเสียหายอะไร เพราะสามารถนำเข้าได้ในราคาที่ถูกกว่าผลิตเองในประเทศ อย่างไรก็ตาม การนำเข้าสินค้าบริโภคจำพวกอาหารและเนื้อสัตว์ เช่น ไก่จากต่างประเทศ (เช่น จากฮังการี รัสเซีย และสหรัฐฯ) เป็นเรื่องที่น่าคิด เพราะเป็นสิ่งที่น่าจะสามารถผลิตได้เองในประเทศ ในราคาที่น่าจะถูกกว่าการนำเข้า อาหารเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต และประชากรทั่วไปยังยากจน (รายได้ต่อหัวของประชากรเพียงประมาณ 564 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 1998) ควรที่จะผลิตบริโภคเองในประเทศ
ดังนั้น อุตสาหกรรมประเภทอาหารและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น อาหารสัตว์ จึงเป็นอุตสาหกรรมที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับภาคเอกชนไทย ทั้งนี้เนื่องจากเหตุผลหลายประการดังต่อไปนี้.-
1). การแข่งขันยังมีน้อย อาเซอร์ไบจานแม้จะเป็นตลาดที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก แต่ก็เป็นตลาดที่มีคู่แข่งขันน้อย ผู้ประกอบการท้องถิ่นยังขาดทั้งความรู้ ประสบการณ์ และเงินทุน
2). อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารเป็นอุตสาหกรรมที่ภาคเอกชนไทยมีความชำนาญ โดยเฉพาะอุตสาห-กรรมผลิตเนื้อไก่ อาหารสัตว์ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง จึงน่าจะสามารถแข่งขันได้ดีในตลาดอาเซอร์ไบจาน
3). ปริมาณ และคุณภาพในการบริโภคอาหารของประชาชนในอาเซอร์ไบจานคงจะเพิ่มตามภาวะเศรษฐกิจที่กำลังมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ตามสถิติของทางการอาเซอร์ไบจานปริมาณการบริโภคเนื้อสัตว์ของชาวอาเซอร์ไบจานลดลงจาก 32 กิโลกรัมต่อคนต่อปีในปี 1990 ลงมาเหลือเพียง 15 กิโลกรัมต่อคนต่อปีในปี 1995 ปริมาณการบริโภคไข่ของชาวอาเซอร์ไบจานลดลงจาก 114 ฟองต่อคนต่อปีในปี 1990 ลงมาเหลือเพียง 76 ฟองต่อคนต่อปีในปี 1995 ทั้งนี้เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ คาดว่าเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้นการใช้จ่ายและการบริโภคของประชาชนคงจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
4). สาธารณูปโภคในกรุงบากูและบริเวณชานกรุงบากูอยู่ในระดับค่อนข้างดีมาก ถนนหนทางกว้างขวางอยู่ในสภาพดี การคมนาคมจึงเป็นไปอย่างสะดวกสบาย การตั้งโรงงานผลิตอาหารในบริเวณชานกรุงบากูจึงน่าจะสามารถกระทำได้สะดวกและมีตลาดขนาดใหญ่รองรับ เฉพาะในกรุงบากูมีประชากรประมาณ 3 ล้านคน (ตัวเลขทางการประมาณ 1.8 ล้านคน)
5). เมื่อคำนึงถึงสภาพที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของอาเซอร์ไบจานซึ่งเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลเปิด อาหารซึ่งผลิตได้ในประเทศน่าจะมีความได้เปรียบกว่าสินค้านำเข้า ซึ่งมีต้นทุนค่าขนส่งที่สูงกว่าและต้องเสียภาษีนำเข้า
6). เงื่อนไขในการลงทุนจากต่างประเทศโดยทั่วไปไม่เข้มงวด รัฐบาลอาเซอร์ไบจานมิได้ตั้งข้อจำกัดในเรื่อง Foreign Ownership ในธุรกิจทั่วไป บริษัทเอกชนที่มีชาวต่างประเทศเป็นเจ้าของ 100% ได้รับอนุญาตให้ซื้อหรือเช่าที่ดินและตัวอาคาร
7). แม้ว่าจะมีนักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนในอาเซอร์ไบจานเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลสำหรับนักลงทุนไทย เพราะเป็นการลงทุนคนละกลุ่ม นักลงทุนจากต่างประเทศในอาเซอร์ไบจานสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
(1) นักลงทุนจากชาติตะวันตก นักลงทุนเหล่านี้ส่วนใหญ่ ได้แก่ บริษัทน้ำมันจากยุโรปและสหรัฐฯ
(2) นักลงทุนจากเกาหลีและญี่ปุ่น นักลงทุนกลุ่มนี้จะเน้นขายสินค้าประเภทยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องอิเลกโทรนิค
(3) นักลงทุนจากตุรกีเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุด (แต่ไม่ใช่กลุ่มที่ลงทุนมากที่สุด) เนื่องจากความใกล้ชิดทางภาษา เชื้อชาติ และศาสนา นักลงทุนชาวตุรกีจึงเข้าไปลงทุนในประเทศ Turkic States รวมทั้ง อาเซอร์ไบจานเป็นจำนวนมาก และเป็นกลุ่มนักธุรกิจที่สามารถเข้าถึงโครงการลงทุนในระดับล่างได้
ในขณะที่นักลงทุนชาติตะวันตกจะจำกัดอยู่เฉพาะการลงทุนระดับบน เช่น อุตสาหกรรมน้ำมัน ในอาเซอร์ไบจานสามารถพบเห็นโครงการลงทุนของนักธุรกิจตุรกีมากมาย เช่น โครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัย ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เกต เป็นต้น การลงทุนของนักธุรกิจตุรกีส่วนใหญ่จะเป็นโครงการลงทุนขนาดกลางและเล็ก (Small and Medium-size Businesses)
ในปัจจุบันมีบริษัทต่างประเทศในอาเซอร์ไบจานประมาณ 3,000 บริษัท เป็นบริษัทของสหรัฐฯ ประมาณ 60 บริษัท บริษัทของอังกฤษประมาณ 70 บริษัท บริษัทของตุรกีประมาณ 1,000 บริษัท
บทสรุป
ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมามีประเทศเกิดใหม่มากมายหลายประเทศ ในจำนวนนี้มีหลายประเทศต้องต่อสู้อย่างหนักเพื่อความอยู่รอดทางเศรษฐกิจ หลายประเทศเป็นประเทศเล็กที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจต่ำ (ตลาดมีขนาดเล็ก และ/หรือไม่มีอุตสาหกรรมหลักที่สามารถค้ำจุนเศรษฐกิจของประเทศได้) บางประเทศต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากต่างประเทศเพื่อความอยู่รอดทางเศรษฐกิจ บางประเทศต้องพยายามเข้าไปรวมกลุ่มเศรษฐกิจกับประเทศอื่นที่แข็งแรงกว่า และมีตลาดที่ใหญ่กว่า มีประเทศเกิดใหม่ไม่กี่ประเทศที่มีศักยภาพในทางเศรษฐกิจที่ดีในระยะปานกลางและระยะยาว อาเซอร์ไบจานเป็นหนึ่งในประเทศนี้ ทั้งนี้เนื่องจากมีอุตสาหกรรมด้านพลังงานที่เข้มแข็งพอเพียง และรัฐบาลมีความจริงจังพอสมควรในการปฏิรูปเศรษฐกิจ
ตามที่กล่าวแล้ว แหล่งพลังงานสำรองในบริเวณทะเลสาบแคสเปียนมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการสำรวจและพัฒนา ล่าสุดเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2543 มีรายงานข่าวว่ามีการสำรวจพบแหล่งน้ำมันสำรองขนาดใหญ่ใกล้ชายฝั่งของคาซักสถาน ซึ่งเชื่อว่าอาจมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตามการประเมินเบื้องต้นคาดว่าอาจมีปริมาณน้ำมันสำรองสูงถึง 30 พันล้านบาร์เรล ซึ่งจะทำให้คาซักสถานกลายเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของโลก โดยคาดว่าในปี 2015 คาซักสถานอาจสามารถผลิตออกน้ำมันได้ถึงวันละประมาณ 8 ล้านบาร์เรล ซึ่งจะมากกว่าปริมาณน้ำมันในปัจจุบันที่นอรเวย์ผลิตได้จากทะเลเหนือวันละประมาณ 3.2 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากเป็นอันดับสองของโลก
สำหรับอาเซอร์ไบจานการสำรวจแหล่งพลังงานสำรองกำลังดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง เมื่อเดือนมิถุนายน 2542 ได้มีการสำรวจพบแหล่งแก๊สขนาดใหญ่ซึ่งคาดว่ามีปริมาณแก๊สสำรองประมาณ 700 พันล้านคิวบิกเมตร ซึ่งจะทำให้อาเซอร์ไบจานกลายเป็นประเทศผู้ส่งออกแก๊ส นอกเหนือจากการเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันเช่นที่เคยเป็นมา
สำหรับประเทศไทยการขยายการติดต่อการค้าและการลงทุนในประเทศอาเซอร์ไบจาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงระยะเริ่มแรกของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอาเซอร์ไบจานถือเป็นช่วงโอกาสที่ดีที่สุด เพราะการแข่งขันยังมีน้อย แม้ว่าจะมีอุปสรรคในด้านภูมิศาสตร์และการขนส่งอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ในการส่งเสริมการติดต่อระหว่างกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดในขณะนี้คือการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันเพื่อจะได้รู้จักศักยภาพของกันและกันให้มากขึ้น การเยือนของคณะสำรวจของสถานเอกอัครราชทูตฯ ระหว่างวันที่ 1 - 7 พฤษภาคม 2543 ถือเป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญในการเปิดประตูเพื่อรู้จักกันให้มากขึ้น นอกจากประเทศไทยแล้วยังมีประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศที่แสดงความสนใจจะเข้าไปทำการค้าและลงทุนในอาเซอร์ไบจานเช่นกัน เมื่อไม่นานมานี้อิสราเอลได้ส่งคณะเจ้าหน้าที่ของรัฐและตัวแทนภาคเอกชนไปเยือนอาเซอร์ไบจาน เพื่อแสวงหาลู่ทางการค้าและการลงทุนในด้านโทรคมนาคม เกษตร สาธารณูปโภคพื้นฐานและพลังงาน ดังนั้น ภาคเอกชนไทยควรที่จะเร่งทำการสำรวจตลาดอาเซอร์ไบจานด้วยตนเอง
ความสงบและความมั่นคงทางการเมืองในช่วง 5 - 6 ปีที่ผ่านมา ทำให้อาเซอร์ไบจานมีเวลาที่จะทุ่มเทให้กับการพัฒนาประเทศได้อย่างเต็มที่ เงินลงทุนจากต่างประเทศจำนวนมหาศาลไหลสู่อุตสาหกรรมน้ำมันจะทำให้อาเซอร์ไบจานกลับมารุ่งเรืองเฟื่องฟูอีกครั้งในช่วงระหว่างปี 1899 - 1901 อาเซอร์ไบจานผลิตน้ำมันได้มากที่สุดในโลก ประมาณครึ่งหนึ่งของปริมาณน้ำมันที่ผลิตได้ในโลกขณะนั้น อาคารบ้านเรือนในบริเวณ "Old Town" ซึ่งเป็นย่านใจกลางเมืองของกรุงบากู มีความสวยงามตามแบบสถาปัตยกรรมยุโรป (แม้ว่าในปัจจุบันอาคารเหล่านี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในสภาพที่ชำรุดทรุดโทรม) เป็นประจักษ์พยานที่แสดงถึงความรุ่งเรืองเฟื่องฟูของอาเซอร์ไบจานในอดีต อาคารเหล่านี้ส่วนใหญ่สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นช่วงที่อาเซอร์ไบจานเป็นแหล่งผลิตน้ำมันที่สำคัญของโลก ปัจจุบันการก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่มีให้เห็นทั่วไปในกรุงบากู เป็นเครื่องบ่งชี้ว่ายุคแห่งความรุ่งเรืองของอาเซอร์ไบจานกำลังจะกลับมาอีกครั้ง อุตสาหกรรมน้ำมันของอาเซอร์ไบจานกำลังจะกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง ภาคเอกชนไทยไม่ควรที่จะพลาดโอกาสในการติดต่อค้าขายกับประเทศเล็ก แต่มั่นคงด้วยทรัพยากรประเทศนี้
(ที่มา : กระทรวงการต่างประเทศ)
--วารสาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 13/2543 วันที่ 15 กรกฎาคม 2543--
-อน-
การค้าระหว่างประเทศ
มูลค่าการค้าของอาเซอร์ไบจานยังมีปริมาณไม่สูงนักเพียงประมาณพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งนี้เนื่องจากอาเซอร์ไบจานเพิ่งฟื้นจากภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในช่วง 3 - 4 ปีแรกภายหลังได้รับเอกราช (ระหว่างปี 1992 - 1995) นับตั้งแต่ปี 1996 เป็นต้นมา เศรษฐกิจของอาเซอร์ไบจานเริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้นเป็นลำดับ อุตสาหกรรมน้ำมันซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักที่นำรายได้เข้าประเทศมากที่สุด (ประมาณเกือบร้อยละ 80 ของรายได้จากการส่งออกทั้งหมด) คาดว่าในปี 2008 - 2010 อาเซอร์ไบจานจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันได้ถึงวันละประมาณ 8 แสน - 1 ล้านบาร์เรล จากประมาณ 2 แสนบาร์เรลต่อวันในปัจจุบัน การที่อาเซอร์ไบจานสามารถส่งออกน้ำมันได้มากขึ้นจะทำให้อาเซอร์ไบจานมีรายได้มากขึ้นและสามารถนำเข้าสินค้าได้มากขึ้นตามไปด้วย โครงสร้างเศรษฐกิจของอาเซอร์ไบจานมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับประเทศผู้ส่งออกน้ำมันในตะวันออกกลางในแง่ที่ผลิตน้ำมันขายเป็นหลัก และนำเข้าสินค้าอุปโภคและบริโภคจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ สินค้าเหล่านี้ส่วนใหญ่นำเข้าจากตุรกี ยุโรป รัสเซีย และจีน เป็นต้น การค้าระหว่างไทยกับอาเซอร์ไบจานมีปริมาณที่น้อยมาก ตามตัวเลขสถิติของกรมการค้าต่างประเทศในช่วงไตรมาสแรกของปี 2542 ไทยส่งออกไปยังอาเซอร์ไบจานมีมูลค่าเพียงประมาณ 2 ล้านบาทเท่านั้น ทั้งนี้อาจมีสาเหตุมาจากปัจจัยสำคัญ 2 ประการ คือ
(1) ทั้งสองประเทศยังรู้จักและติดต่อกันน้อยมาก ไทยและอาเซอร์ไบจานเพิ่งจะมีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงอังการา (นายยิ่งพงศ์ นฤมิตรเรขการ) ได้เดินทางไปยื่นพระราช- สาสน์ตราตั้งเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2540 การเยือนระหว่างภาครัฐและเอกชนยังมีน้อยมาก เท่าที่ทราบเคยมีเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลอาเซอร์ไบจานเดินทางไปประชุม ESCAP ที่ประเทศไทย แต่การเยือนในลักษณะทวิภาคียังไม่เคยมี ในเดือนพฤษภาคม 2543 คณะสำรวจของสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอังการา ได้เดินทางไปสำรวจตลาดและศึกษาลู่ทางการค้าและการลงทุนที่ประเทศอาเซอร์ไบจาน ถือเป็นคณะทางการคณะแรกจากประเทศไทยที่เดินทางไปถึงประเทศอาเซอร์ไบจาน
(2) สภาพที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ทำให้การติดต่อค้าขายระหว่างไทยกับอาเซอร์ไบจานกระทำได้ค่อนข้างลำบาก ประเทศคู่ค้าหลักของอาเซอร์ไบจานส่วนใหญ่คือประเทศใกล้เคียง ได้แก่ รัสเซีย ตุรกี และอิหร่าน สินค้านำเข้าไปยังอาเซอร์ไบจานส่วนใหญ่ขนส่งผ่านเส้นทางหลัก 2 เส้นทาง คือ
สินค้าจากยุโรปขนส่งผ่านทะเลดำแล้วขนส่งทางบกผ่านจอร์เจียสำหรับสินค้าที่จะส่งต่อไปยังเอเซียกลางจะถูกขนส่งลงเรือผ่านท่าเรือของกรุงบากู
สินค้าจากเอเซียส่วนใหญ่จะนำเข้าโดยผ่านดูไบแล้วขนส่งทางเรือผ่านอ่าวเปอร์เซียและทางบกผ่านอิหร่าน
ดังนั้น ในด้านการขนส่งสินค้าจากประเทศไทยไปยังอาเซอร์ไบจาน เส้นทางผ่านดูไบจึงน่าจะเหมาะสมที่สุด และเป็นที่น่ายินดีว่าในปัจจุบันประเทศไทยได้จัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าที่ดูไบ ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกอย่างมากสำหรับการทำการค้ากับประเทศในทรานคอเคซัคและเอเซียกลาง
สำหรับสินค้าจากประเทศไทยในอาเซอร์ไบจาน ในขณะนี้มีให้พบเห็นน้อยมาก ข้าวสารของไทยมีจำหน่ายบ้างในร้านขายของชำ (นำเข้าโดยผ่านดูไบ) ชาวอาเซอร์ไบจานบริโภคข้าวแต่ไม่ใช่อาหารหลัก (บริโภคเป็นบางมื้อ) สินค้าอุปโภคและบริโภคส่วนใหญ่อาเซอร์ไบจานนำเข้าจากจีน (เช่น ของใช้ในครัวเรือ ของเล่นเด็ก) และตุรกี (เช่น เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม) สินค้าพวกเครื่องสำอางนำเข้าจากยุโรป ยานยนต์ ในอดีตรถยนต์รัสเซียเคยครองตลาดในอาเซอร์ ไบจานมาโดยตลอดเนื่องจากมีราคาถูก อะไหล่หาง่ายและราคาไม่แพง ในปัจจุบันรถยนต์จากยุโรป เกาหลี ญี่ปุ่น และอิหร่าน (รถยุโรปที่ผลิตในอิหร่าน) เริ่มมีเข้ามาจำหน่ายมากขึ้นเรื่อย ๆ
สินค้าอุปโภคและบริโภคส่วนใหญ่อาเซอร์ไบจานนำเข้าจากต่างประเทศ ดังนั้น จึงค่อนข้างลำบากที่จะระบุให้แน่ชัดลงไปว่ามีสินค้าใดบ้างที่ไทยสามารถส่งออกไปอาเซอร์ไบจาน แต่เชื่อว่าสินค้าอุปโภคและบริโภคของไทยที่มีราคาและคุณภาพที่สามารถแข่งขันได้ มีโอกาสที่จะเข้าไปทำตลาดในอาเซอร์ไบจานได้ทั้งนั้น สิ่งที่สำคัญคือ ภาคเอกชนไทยต้องเข้าไปศึกษาตลาดด้วยตนเอง การขาดการติดต่อและข้อมูลระหว่างกัน ทำให้ผู้นำเข้าอาเซอร์ไบจานมักเลือกที่จะซื้อสินค้าจากประเทศที่ตนคุ้นเคย เช่น ประเทศในยุโรป และประเทศใกล้เคียง เช่น ตุรกี ยกตัวอย่างเช่น มีผู้ประกอบการผลิตเฟอร์นิเจอร์รายหนึ่ง (ซึ่งคิดว่าคงจะมีอยู่ไม่กี่รายในอาเซอร์ไบจาน) นำเข้าวัสดุที่ใช้ในการผลิตเฟอร์นิเจอร์จากเยอรมันและตุรกี เนื่องจากอาเซอร์ไบจานผลิตเองไม่ได้ วัสดุที่นำเข้าจากเยอรมันมีราคาแพง ในขณะที่ถ้านำเข้าจากประเทศไทยจะมีราคาที่ต่ำกว่าและมีคุณภาพที่ไม่ด้อยไปกว่ากัน สำหรับวัสดุที่นำเข้าจากตุรกีเชื่อว่าอาจมีบางส่วนนำเข้าจากไทยแล้วส่งไปขายให้อาเซอร์ไบจานอีกต่อหนึ่ง สินค้าประเภทวัสดุเฟอร์นิเจอร์เป็นเพียงตัวอย่างของสินค้ากลุ่มหนึ่งในอีกหลาย ๆ กลุ่มที่ไทยสามารถส่งขายในอาเซอร์ไบจานโดยตรง หากภาคเอกชนของทั้ง 2 ประเทศจะได้มีโอกาสที่จะรู้จักกันให้มากขึ้น
โอกาสทางการลงทุน
อาเซอร์ไบจานเป็นประเทศที่มีระดับการพัฒนาทางอุตสาหกรรมที่ค่อนข้างจะด้อยกว่าประเทศในทรานคอเคซัค อีก 2 ประเทศ คือ จอร์เจีย และอาร์เมเนีย ในช่วงที่อาเซอร์ไบจานยังเป็นสาธารณรัฐร่วมเครือสหภาพโซเวียต อาเซอร์ไบจานถูกกำหนดให้เป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมัน อาหาร และสินค้าเกษตร เช่น ฝ้ายและยาสูบ เพื่อส่งขายสาธารณรัฐอื่น ๆ ในสหภาพโซเวียต ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ภายหลังได้รับเอกราช อาเซอร์ไบจานจึงมีโครงสร้างพื้นฐานทางอุตสาหกรรมที่ค่อนข้างต่ำ (ยกเว้นอุตสาหกรรมน้ำมัน) ดังนั้น สินค้าอุปโภคและบริโภคส่วนใหญ่อาเซอร์ไบจานจึงต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลอาเซอร์ไบจานในปัจจุบันจึงให้ความสำคัญอย่างมากกับการลงทุนในอุตสาหกรรมอื่นที่มิใช่อุตสาหกรรมน้ำมัน ทั้งนี้เพราะอุตสาหกรรมน้ำมันเป็นอุตสาหกรรมหลักที่ได้รับความสนใจและเงินลงทุนจากต่างประเทศเป็นจำนวนมากพอสมควรแล้ว ในช่วงแรก ๆ ภายหลังได้รับเอกราชมีบริษัทต่างชาติสนใจเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมน้ำมันในอาเซอร์ไบจานเป็นจำนวนมาก ในระดับที่เรียกว่าเกินความพอดี (Overcrowded Investment) ซึ่งทำให้ในระยะหลัง ๆ มีบริษัทน้ำมันบางรายต้องประกาศถอนตัวออกไป ดังนั้น การลงทุนที่รัฐบาลอาเซอร์ไบจานให้ความสำคัญเป็นพิเศษในขณะนี้จึงมิใช่การลงทุนในอุตสาหกรรมน้ำมัน แต่เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมอื่น ๆ (Non- Oil Industries) ที่สำคัญได้แก่ อุตสาหกรรมการเกษตร
หากพิจารณาจากขนาดของตลาดซึ่งมีประชากรประมาณ 8 ล้านคน การนำเข้าสินค้าอุปโภคจากต่างประเทศ เช่น เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า และของใช้ในชีวิตประจำวัน ก็มิใช่เรื่องเสียหายอะไร เพราะสามารถนำเข้าได้ในราคาที่ถูกกว่าผลิตเองในประเทศ อย่างไรก็ตาม การนำเข้าสินค้าบริโภคจำพวกอาหารและเนื้อสัตว์ เช่น ไก่จากต่างประเทศ (เช่น จากฮังการี รัสเซีย และสหรัฐฯ) เป็นเรื่องที่น่าคิด เพราะเป็นสิ่งที่น่าจะสามารถผลิตได้เองในประเทศ ในราคาที่น่าจะถูกกว่าการนำเข้า อาหารเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต และประชากรทั่วไปยังยากจน (รายได้ต่อหัวของประชากรเพียงประมาณ 564 ดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 1998) ควรที่จะผลิตบริโภคเองในประเทศ
ดังนั้น อุตสาหกรรมประเภทอาหารและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น อาหารสัตว์ จึงเป็นอุตสาหกรรมที่น่าสนใจอย่างมากสำหรับภาคเอกชนไทย ทั้งนี้เนื่องจากเหตุผลหลายประการดังต่อไปนี้.-
1). การแข่งขันยังมีน้อย อาเซอร์ไบจานแม้จะเป็นตลาดที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก แต่ก็เป็นตลาดที่มีคู่แข่งขันน้อย ผู้ประกอบการท้องถิ่นยังขาดทั้งความรู้ ประสบการณ์ และเงินทุน
2). อุตสาหกรรมเกษตรและอาหารเป็นอุตสาหกรรมที่ภาคเอกชนไทยมีความชำนาญ โดยเฉพาะอุตสาห-กรรมผลิตเนื้อไก่ อาหารสัตว์ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง จึงน่าจะสามารถแข่งขันได้ดีในตลาดอาเซอร์ไบจาน
3). ปริมาณ และคุณภาพในการบริโภคอาหารของประชาชนในอาเซอร์ไบจานคงจะเพิ่มตามภาวะเศรษฐกิจที่กำลังมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ตามสถิติของทางการอาเซอร์ไบจานปริมาณการบริโภคเนื้อสัตว์ของชาวอาเซอร์ไบจานลดลงจาก 32 กิโลกรัมต่อคนต่อปีในปี 1990 ลงมาเหลือเพียง 15 กิโลกรัมต่อคนต่อปีในปี 1995 ปริมาณการบริโภคไข่ของชาวอาเซอร์ไบจานลดลงจาก 114 ฟองต่อคนต่อปีในปี 1990 ลงมาเหลือเพียง 76 ฟองต่อคนต่อปีในปี 1995 ทั้งนี้เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ คาดว่าเมื่อเศรษฐกิจดีขึ้นการใช้จ่ายและการบริโภคของประชาชนคงจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
4). สาธารณูปโภคในกรุงบากูและบริเวณชานกรุงบากูอยู่ในระดับค่อนข้างดีมาก ถนนหนทางกว้างขวางอยู่ในสภาพดี การคมนาคมจึงเป็นไปอย่างสะดวกสบาย การตั้งโรงงานผลิตอาหารในบริเวณชานกรุงบากูจึงน่าจะสามารถกระทำได้สะดวกและมีตลาดขนาดใหญ่รองรับ เฉพาะในกรุงบากูมีประชากรประมาณ 3 ล้านคน (ตัวเลขทางการประมาณ 1.8 ล้านคน)
5). เมื่อคำนึงถึงสภาพที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของอาเซอร์ไบจานซึ่งเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลเปิด อาหารซึ่งผลิตได้ในประเทศน่าจะมีความได้เปรียบกว่าสินค้านำเข้า ซึ่งมีต้นทุนค่าขนส่งที่สูงกว่าและต้องเสียภาษีนำเข้า
6). เงื่อนไขในการลงทุนจากต่างประเทศโดยทั่วไปไม่เข้มงวด รัฐบาลอาเซอร์ไบจานมิได้ตั้งข้อจำกัดในเรื่อง Foreign Ownership ในธุรกิจทั่วไป บริษัทเอกชนที่มีชาวต่างประเทศเป็นเจ้าของ 100% ได้รับอนุญาตให้ซื้อหรือเช่าที่ดินและตัวอาคาร
7). แม้ว่าจะมีนักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนในอาเซอร์ไบจานเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่ากังวลสำหรับนักลงทุนไทย เพราะเป็นการลงทุนคนละกลุ่ม นักลงทุนจากต่างประเทศในอาเซอร์ไบจานสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
(1) นักลงทุนจากชาติตะวันตก นักลงทุนเหล่านี้ส่วนใหญ่ ได้แก่ บริษัทน้ำมันจากยุโรปและสหรัฐฯ
(2) นักลงทุนจากเกาหลีและญี่ปุ่น นักลงทุนกลุ่มนี้จะเน้นขายสินค้าประเภทยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และเครื่องอิเลกโทรนิค
(3) นักลงทุนจากตุรกีเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมากที่สุด (แต่ไม่ใช่กลุ่มที่ลงทุนมากที่สุด) เนื่องจากความใกล้ชิดทางภาษา เชื้อชาติ และศาสนา นักลงทุนชาวตุรกีจึงเข้าไปลงทุนในประเทศ Turkic States รวมทั้ง อาเซอร์ไบจานเป็นจำนวนมาก และเป็นกลุ่มนักธุรกิจที่สามารถเข้าถึงโครงการลงทุนในระดับล่างได้
ในขณะที่นักลงทุนชาติตะวันตกจะจำกัดอยู่เฉพาะการลงทุนระดับบน เช่น อุตสาหกรรมน้ำมัน ในอาเซอร์ไบจานสามารถพบเห็นโครงการลงทุนของนักธุรกิจตุรกีมากมาย เช่น โครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัย ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เกต เป็นต้น การลงทุนของนักธุรกิจตุรกีส่วนใหญ่จะเป็นโครงการลงทุนขนาดกลางและเล็ก (Small and Medium-size Businesses)
ในปัจจุบันมีบริษัทต่างประเทศในอาเซอร์ไบจานประมาณ 3,000 บริษัท เป็นบริษัทของสหรัฐฯ ประมาณ 60 บริษัท บริษัทของอังกฤษประมาณ 70 บริษัท บริษัทของตุรกีประมาณ 1,000 บริษัท
บทสรุป
ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมามีประเทศเกิดใหม่มากมายหลายประเทศ ในจำนวนนี้มีหลายประเทศต้องต่อสู้อย่างหนักเพื่อความอยู่รอดทางเศรษฐกิจ หลายประเทศเป็นประเทศเล็กที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจต่ำ (ตลาดมีขนาดเล็ก และ/หรือไม่มีอุตสาหกรรมหลักที่สามารถค้ำจุนเศรษฐกิจของประเทศได้) บางประเทศต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากต่างประเทศเพื่อความอยู่รอดทางเศรษฐกิจ บางประเทศต้องพยายามเข้าไปรวมกลุ่มเศรษฐกิจกับประเทศอื่นที่แข็งแรงกว่า และมีตลาดที่ใหญ่กว่า มีประเทศเกิดใหม่ไม่กี่ประเทศที่มีศักยภาพในทางเศรษฐกิจที่ดีในระยะปานกลางและระยะยาว อาเซอร์ไบจานเป็นหนึ่งในประเทศนี้ ทั้งนี้เนื่องจากมีอุตสาหกรรมด้านพลังงานที่เข้มแข็งพอเพียง และรัฐบาลมีความจริงจังพอสมควรในการปฏิรูปเศรษฐกิจ
ตามที่กล่าวแล้ว แหล่งพลังงานสำรองในบริเวณทะเลสาบแคสเปียนมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการสำรวจและพัฒนา ล่าสุดเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2543 มีรายงานข่าวว่ามีการสำรวจพบแหล่งน้ำมันสำรองขนาดใหญ่ใกล้ชายฝั่งของคาซักสถาน ซึ่งเชื่อว่าอาจมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตามการประเมินเบื้องต้นคาดว่าอาจมีปริมาณน้ำมันสำรองสูงถึง 30 พันล้านบาร์เรล ซึ่งจะทำให้คาซักสถานกลายเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของโลก โดยคาดว่าในปี 2015 คาซักสถานอาจสามารถผลิตออกน้ำมันได้ถึงวันละประมาณ 8 ล้านบาร์เรล ซึ่งจะมากกว่าปริมาณน้ำมันในปัจจุบันที่นอรเวย์ผลิตได้จากทะเลเหนือวันละประมาณ 3.2 ล้านบาร์เรล ซึ่งมากเป็นอันดับสองของโลก
สำหรับอาเซอร์ไบจานการสำรวจแหล่งพลังงานสำรองกำลังดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง เมื่อเดือนมิถุนายน 2542 ได้มีการสำรวจพบแหล่งแก๊สขนาดใหญ่ซึ่งคาดว่ามีปริมาณแก๊สสำรองประมาณ 700 พันล้านคิวบิกเมตร ซึ่งจะทำให้อาเซอร์ไบจานกลายเป็นประเทศผู้ส่งออกแก๊ส นอกเหนือจากการเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันเช่นที่เคยเป็นมา
สำหรับประเทศไทยการขยายการติดต่อการค้าและการลงทุนในประเทศอาเซอร์ไบจาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงระยะเริ่มแรกของการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอาเซอร์ไบจานถือเป็นช่วงโอกาสที่ดีที่สุด เพราะการแข่งขันยังมีน้อย แม้ว่าจะมีอุปสรรคในด้านภูมิศาสตร์และการขนส่งอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ในการส่งเสริมการติดต่อระหว่างกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดในขณะนี้คือการแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างกันเพื่อจะได้รู้จักศักยภาพของกันและกันให้มากขึ้น การเยือนของคณะสำรวจของสถานเอกอัครราชทูตฯ ระหว่างวันที่ 1 - 7 พฤษภาคม 2543 ถือเป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญในการเปิดประตูเพื่อรู้จักกันให้มากขึ้น นอกจากประเทศไทยแล้วยังมีประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศที่แสดงความสนใจจะเข้าไปทำการค้าและลงทุนในอาเซอร์ไบจานเช่นกัน เมื่อไม่นานมานี้อิสราเอลได้ส่งคณะเจ้าหน้าที่ของรัฐและตัวแทนภาคเอกชนไปเยือนอาเซอร์ไบจาน เพื่อแสวงหาลู่ทางการค้าและการลงทุนในด้านโทรคมนาคม เกษตร สาธารณูปโภคพื้นฐานและพลังงาน ดังนั้น ภาคเอกชนไทยควรที่จะเร่งทำการสำรวจตลาดอาเซอร์ไบจานด้วยตนเอง
ความสงบและความมั่นคงทางการเมืองในช่วง 5 - 6 ปีที่ผ่านมา ทำให้อาเซอร์ไบจานมีเวลาที่จะทุ่มเทให้กับการพัฒนาประเทศได้อย่างเต็มที่ เงินลงทุนจากต่างประเทศจำนวนมหาศาลไหลสู่อุตสาหกรรมน้ำมันจะทำให้อาเซอร์ไบจานกลับมารุ่งเรืองเฟื่องฟูอีกครั้งในช่วงระหว่างปี 1899 - 1901 อาเซอร์ไบจานผลิตน้ำมันได้มากที่สุดในโลก ประมาณครึ่งหนึ่งของปริมาณน้ำมันที่ผลิตได้ในโลกขณะนั้น อาคารบ้านเรือนในบริเวณ "Old Town" ซึ่งเป็นย่านใจกลางเมืองของกรุงบากู มีความสวยงามตามแบบสถาปัตยกรรมยุโรป (แม้ว่าในปัจจุบันอาคารเหล่านี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในสภาพที่ชำรุดทรุดโทรม) เป็นประจักษ์พยานที่แสดงถึงความรุ่งเรืองเฟื่องฟูของอาเซอร์ไบจานในอดีต อาคารเหล่านี้ส่วนใหญ่สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นช่วงที่อาเซอร์ไบจานเป็นแหล่งผลิตน้ำมันที่สำคัญของโลก ปัจจุบันการก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่มีให้เห็นทั่วไปในกรุงบากู เป็นเครื่องบ่งชี้ว่ายุคแห่งความรุ่งเรืองของอาเซอร์ไบจานกำลังจะกลับมาอีกครั้ง อุตสาหกรรมน้ำมันของอาเซอร์ไบจานกำลังจะกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง ภาคเอกชนไทยไม่ควรที่จะพลาดโอกาสในการติดต่อค้าขายกับประเทศเล็ก แต่มั่นคงด้วยทรัพยากรประเทศนี้
(ที่มา : กระทรวงการต่างประเทศ)
--วารสาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 13/2543 วันที่ 15 กรกฎาคม 2543--
-อน-