ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ระบุการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยในปี 48 อาจไม่เป็นไปตามที่ ธ.โลกประมาณการ
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงกรณีที่ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ประมาณการดุลบัญชีเดิน
สะพัดของไทยในปี 48 ว่าจะขาดดุล 2,700 ล.ดอลลาร์ สรอ.นั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก เนื่องจากในช่วง 9
เดือนที่ผ่านมาไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดไปแล้วถึง 5,056 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ดังนั้นไทยจะต้องเกินดุลในอีก 3
เดือนที่เหลือถึงประมาณ 2,400 ล.ดอลลาร์ สรอ. จึงจะเป็นไปตามประมาณการของ ธ.โลก ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่
ธปท.ได้ประมาณการฐานะดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยในปี 48 ว่าจะขาดดุลอยู่ในระดับประมาณ 3-4 พัน ล.
ดอลลาร์ สรอ. ส่วนดุลการค้าขาดดุลประมาณ 8-9 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. นอกจากนี้ ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวถึงกรณี
ที่ ก.พาณิชย์มีความเห็นว่าอัตราเงินเฟ้อปี 48 ที่ ธปท.คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 4.5-5% เป็นอัตราที่สูงเกินไปว่า
อัตราเงินเฟ้อในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาก็สูงเกินกว่า 6% แล้ว ถ้าหากช่วงเดือนที่เหลืออัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับ
6% อัตราเงินเฟ้อก็น่าจะอยู่ที่ระดับ 4.5-5% ตามที่ ธปท.คาดการณ์ได้ (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
2. คาดว่าตลาดหุ้นไทยปลายปี 48 มีแนวโน้มอยู่ในช่วงขาขึ้น นายอโศก วงศ์ชะอุ่ม รองกรรมการ
ผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยปลายปี 48 มีแนวโน้ม
อยู่ในช่วงขาขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของหุ้นที่มีมูลค่าตลาดรวม(มาร์เกตแคป)
สูง อย่างบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) โดย บลจ.กสิกรไทยประเมินว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงสิ้นปีคาดว่าจะสามารถ
ยืนอยู่ในระดับ 740 จุด นอกจากนี้ ราคาหุ้นต่ออัตราผลกำไร (P/E) ของตลาดหุ้นไทยเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาค
ถือว่าอยู่ในระดับต่ำ น่าจะเป็นตัวดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น สำหรับแนวโน้ม
ตลาดหุ้นไทยในปี 49 คาดว่า ดัชนีน่าจะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 48 เนื่องจากแนวโน้มการขยายตัวทาง
เศรษฐกิจในปีหน้าคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีนี้ที่แนวโน้มการขยายตัวชะลอลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
เนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และดอกเบี้ยขาขึ้น โดยแรงหนุนจะมาจากภาคการส่งออก
และการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) ของรัฐบาลที่จะเริ่มเห็นภาพการลงทุนชัดเจนในปีหน้า (ผู้จัดการรายวัน)
3. ก.คลังและ ธปท.ร่วมกันศึกษาแนวทางรองรับการเคลื่อนย้ายทุนระหว่างประเทศที่มีแนวโน้ม
เคลื่อนไหวเพิ่มขึ้น รายงานข่าวจาก ก.คลัง เปิดเผยว่า ก.คลังและ ธปท. ได้ร่วมกันศึกษาแนวทางการหา
มาตรการรองรับการเคลื่อนย้ายทุนระหว่างประเทศในยุคโลกาภิวัฒน์ ซึ่งมีแนวโน้มจะเคลื่อนไหวรวดเร็วมากขึ้นใน
ระยะ 10-15 ปีข้างหน้า เพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย โดยผลการศึกษาได้กำหนดเป้า
หมายการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจระยะสั้น คือ ไทยอาจขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในช่วงการลงทุนโครงการขนาด
ใหญ่(เมกะโปรเจกต์) ได้สูงสุดไม่เกิน 2-2.5% ของจีดีพี มีเงินสำรองระหว่างประเทศมากกว่า 3.5 เท่าของหนี้
ต่างประเทศระยะสั้น อันดับความเชื่อถือ(เครดิตเรตติ้ง)ไม่ลดลง และควรเพิ่มขึ้น 2 อันดับใน 4 ปีข้างหน้า และมี
ดุลการคลังที่สมดุล (มติชน)
4. ยอดการจำหน่ายรถยนต์ในประเทศในปี 48 ต่ำกว่าเป้าหมาย ขณะที่ยอดการส่งออกเพิ่มขึ้น
ผอ.สถาบันยานยนต์ เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 48 จะต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ 690,000 คัน
เหลือเพียง 660,000-670,000 คัน โดยเฉพาะรถยนต์นั่งที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง หลังได้รับผลจากราคา
น้ำมันที่สูงขึ้น ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่มีอัตราการเติบโตได้เล็กน้อย และอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มขยับขึ้น
ในขณะที่ยอดการส่งออกจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 15% ส่วนยอดการผลิตคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1.1 ล้านคันตามเป้าหมาย
เดิม เนื่องจากตลาดต่างประเทศมีความต้องการเพิ่มขึ้น (ข่าวสด)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ดัชนีชี้วัดเงินเฟ้อในอนาคตของ สรอ.เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุดในรอบกว่า 5 ปี รายงานจาก
นิวยอร์ค เมื่อ 4 พ.ย.48 ดัชนีชี้วัดเงินเฟ้อในอนาคตซึ่งสำรวจโดยสถาบันวิจัยวงจรเศรษฐกิจหรือ ECRI เพิ่มขึ้น
มาอยู่ที่ระดับ 124 ในเดือน ต.ค.48 จากระดับ 123.7 ในเดือน ก.ย.48 สูงสุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย.43 ซึ่งอยู่
ที่ระดับ 125.4 จากปัจจัยอื่นนอกจากราคาน้ำมัน แม้จะมีสัญญาณว่าเศรษฐกิจชะลอตัวลงแล้วก็ตาม โดยดัชนีมีค่าสูง
ขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ก่อนที่ราคาน้ำมันจะสูงขึ้นอย่างมากในช่วงต้นปีนี้และยังคงสูงขึ้นอย่างต่อ
เนื่องแม้ว่าราคาน้ำมันได้ชะลอตัวลงจากระดับสูงสุดหลังเกิดพายุเฮอริเคนแคทรินาในปลายเดือน ส.ค.48 แล้วก็
ตาม โดยผลสำรวจรอยเตอร์คาดว่า ธ.กลาง สรอ.จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกอย่างน้อยจนกระทั่งถึงเดือน ม.ค.49
นี้ หลังจากเมื่อวันที่ 2 พ.ย.48 ที่ผ่านมาได้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25 เป็นครั้งที่ 12 ติดต่อกันทำ
ให้อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 4.0 (รอยเตอร์)
2. การจ้างงานของ สรอ. เดือน ต.ค.48 เพิ่มขึ้นเพียง 56,000 อัตรา น้อยกว่าที่คาดการณ์
ไว้ รายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศ สรอ. เมื่อวันที่ 5 พ.ย.48 รายงานข่าวจากรัฐบาล สรอ. เปิดเผย
ว่า ตัวเลขการจ้างงานของ สรอ. ในเดือน ต.ค.48 เพิ่มขึ้นเพียง 56,000 อัตรา ต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์
ของ Wall Street คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 100,000 อัตรา เนื่องจากผลกระทบจากพายุเฮอริเคนแคทรีนา
เริ่มลดลง และคาดว่าน่าจะมาจากการที่ ก.แรงงานมีการปรับตัวเลขการเติบโตของการจ้างงานสุทธิลดลงสำหรับ
ช่วง 2 เดือนก่อน อย่างไรก็ตาม อัตราการว่างงานของทั้งประเทศในเดือน ต.ค.48 ลดลงเหลือร้อยละ 5 จาก
ร้อยละ 5.1 ในขณะที่อัตราค่าจ้างเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง โดยรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5
เป็น 16.27 ดอลลลาร์ สรอ. ต่อ ช.ม. จากระดับ 16.19 ดอลลาร์ สรอ. ต่อ ช.ม. ในเดือน ก.ย. และนับ
เป็นอัตราเพิ่มสูงสุดตั้งแต่เดือน ก.พ.46 ด้านนักเศรษฐศาสตร์มองว่าแนวโน้มการเติบโตของการจ้างงานจะยังอยู่
ที่ระดับ 200,000 อัตรา ต่อเดือน (รอยเตอร์)
3. ดัชนีความเชื่อมั่นภาวะธุรกิจของอังกฤษในเดือน ต.ค.48 ปรับตัวสูงสุดในรอบ 3 ไตรมาสที่ร้อย
ละ 33 รายงานจากลอนดอน เมื่อ 7 พ.ย.48 The Institute of Directors (IoD) เปิดเผยว่า ดัชนี
ความเชื่อมั่นภาวะธุรกิจของอังกฤษในรอบ 3 เดือนถึงเดือน ต.ค.48 ปรับตัวสูงขึ้นถึงร้อยละ 33 จากร้อยละ 19
ในรอบ 3 เดือนก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 ไตรมาส ทั้งนี้ จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้อำนวย
การบริษัท 500 แห่ง พบว่าในผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการผลิตที่มีมุมมองด้านบวกว่าธุรกิจจะกลับมาแข็งแกร่งเพิ่ม
ขึ้นอยู่ที่ระดับร้อยละ 8.0 จากร้อยละ —8.0 ขณะที่ความเห็นเกี่ยวกับภาพรวมของการดำเนินธุรกิจปัจจุบันที่คิดว่าดี
ขึ้นมากกว่าเลวลงลดลงอยู่ที่ร้อยละ 70 จากร้อยละ 72 โดยในสัดส่วนนี้ ภาคอุตสาหกรรมการผลิตลดลงร้อยละ
61 จากร้อยละ 64 รวมทั้งธุรกิจร้านค้าและการท่องเที่ยวก็ยังซบเซา เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคชะลอตัว
จึงส่งผลกระทบถึงการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ยังมีมุมมองที่สดใสอีกด้านหนึ่ง คือ ยอดขาย
ปลีกและความเชื่อมั่นภาคการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 30 จากก่อนหน้านี้ที่อยู่ที่ร้อยละ 13 (รอยเตอร์)
4. ธ.กลางญี่ปุ่นจะไม่เปลี่ยนแปลงการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนปรนอย่างฉับพลัน รายงาน
จาก Basel สวิสเซอร์แลนด์เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 48 ผวก.ธ.กลางญี่ปุ่นกล่าวกับนักข่าวในการประชุมราย 2 เดือน
ระดับผวก.ของประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ G10 ว่าจะยังไม่เปลี่ยนแปลงการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย
ที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลา 4 ปี อย่างฉับพลัน และหากจะมีการเปลี่ยนแปลงจะต้องพิจารณาด้วย
ความรอบคอบและระมัดระวัง ซึ่งคณะกรรมาธิการต้องการข้อมูลมากกว่านี้ เขาเห็นว่าเศรษฐกิจโลกยังคงเติบโตดี
แม้ว่าจะมีความเสี่ยงจากภาวะราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นก็ตาม ทั้งนี้เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบจากภาวะราคาน้ำมันที่
สูงขึ้นแต่ยังคงมีปัจจัยอื่นที่สำคัญเช่นกัน นั่นคือการขยายตัวของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อที่เป็นผลกระทบทางอ้อมที่
ญี่ปุ่นได้รับจากประเทศกำลังพัฒนาในแถบเอเซีย นอกจากนั้นยังมีการคาดการณ์กันว่าธ.กลางญี่ปุ่นจะสิ้นสุดการดำเนิน
นโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายในปีหน้าเนื่องจากตลาดการเงินมีสภาพคล่องสูง เศรษฐกิจฟื้นตัวและส่งผลให้
ภาวะเงินฝืดของญี่ปุ่นที่มีมาอย่างยาวนานมากกว่า 7 ปี สิ้นสุดลง (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 7 พ.ย. 48 3 พ.ย. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 40.888 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.6873/40.8771 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.80333 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 706.23/ 15.41 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,900/9,000 8,950/9,050 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 52.33 52.38 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับลด 50 สตางค์ เมื่อ 1 พ.ย. 48 25.64*/23.39** 25.64*/23.39** 16.99/14.59 ปตท.
** ปรับลด 40 สตางค์ เมื่อ 1 พ.ย. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ธปท.ระบุการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยในปี 48 อาจไม่เป็นไปตามที่ ธ.โลกประมาณการ
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงกรณีที่ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ประมาณการดุลบัญชีเดิน
สะพัดของไทยในปี 48 ว่าจะขาดดุล 2,700 ล.ดอลลาร์ สรอ.นั้น เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก เนื่องจากในช่วง 9
เดือนที่ผ่านมาไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดไปแล้วถึง 5,056 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ดังนั้นไทยจะต้องเกินดุลในอีก 3
เดือนที่เหลือถึงประมาณ 2,400 ล.ดอลลาร์ สรอ. จึงจะเป็นไปตามประมาณการของ ธ.โลก ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่
ธปท.ได้ประมาณการฐานะดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยในปี 48 ว่าจะขาดดุลอยู่ในระดับประมาณ 3-4 พัน ล.
ดอลลาร์ สรอ. ส่วนดุลการค้าขาดดุลประมาณ 8-9 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. นอกจากนี้ ผู้ว่าการ ธปท.กล่าวถึงกรณี
ที่ ก.พาณิชย์มีความเห็นว่าอัตราเงินเฟ้อปี 48 ที่ ธปท.คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 4.5-5% เป็นอัตราที่สูงเกินไปว่า
อัตราเงินเฟ้อในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาก็สูงเกินกว่า 6% แล้ว ถ้าหากช่วงเดือนที่เหลืออัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับ
6% อัตราเงินเฟ้อก็น่าจะอยู่ที่ระดับ 4.5-5% ตามที่ ธปท.คาดการณ์ได้ (กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
2. คาดว่าตลาดหุ้นไทยปลายปี 48 มีแนวโน้มอยู่ในช่วงขาขึ้น นายอโศก วงศ์ชะอุ่ม รองกรรมการ
ผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยปลายปี 48 มีแนวโน้ม
อยู่ในช่วงขาขึ้น โดยได้รับแรงหนุนจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของหุ้นที่มีมูลค่าตลาดรวม(มาร์เกตแคป)
สูง อย่างบริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) โดย บลจ.กสิกรไทยประเมินว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงสิ้นปีคาดว่าจะสามารถ
ยืนอยู่ในระดับ 740 จุด นอกจากนี้ ราคาหุ้นต่ออัตราผลกำไร (P/E) ของตลาดหุ้นไทยเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาค
ถือว่าอยู่ในระดับต่ำ น่าจะเป็นตัวดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น สำหรับแนวโน้ม
ตลาดหุ้นไทยในปี 49 คาดว่า ดัชนีน่าจะปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปี 48 เนื่องจากแนวโน้มการขยายตัวทาง
เศรษฐกิจในปีหน้าคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีนี้ที่แนวโน้มการขยายตัวชะลอลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
เนื่องจากได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และดอกเบี้ยขาขึ้น โดยแรงหนุนจะมาจากภาคการส่งออก
และการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) ของรัฐบาลที่จะเริ่มเห็นภาพการลงทุนชัดเจนในปีหน้า (ผู้จัดการรายวัน)
3. ก.คลังและ ธปท.ร่วมกันศึกษาแนวทางรองรับการเคลื่อนย้ายทุนระหว่างประเทศที่มีแนวโน้ม
เคลื่อนไหวเพิ่มขึ้น รายงานข่าวจาก ก.คลัง เปิดเผยว่า ก.คลังและ ธปท. ได้ร่วมกันศึกษาแนวทางการหา
มาตรการรองรับการเคลื่อนย้ายทุนระหว่างประเทศในยุคโลกาภิวัฒน์ ซึ่งมีแนวโน้มจะเคลื่อนไหวรวดเร็วมากขึ้นใน
ระยะ 10-15 ปีข้างหน้า เพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย โดยผลการศึกษาได้กำหนดเป้า
หมายการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจระยะสั้น คือ ไทยอาจขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในช่วงการลงทุนโครงการขนาด
ใหญ่(เมกะโปรเจกต์) ได้สูงสุดไม่เกิน 2-2.5% ของจีดีพี มีเงินสำรองระหว่างประเทศมากกว่า 3.5 เท่าของหนี้
ต่างประเทศระยะสั้น อันดับความเชื่อถือ(เครดิตเรตติ้ง)ไม่ลดลง และควรเพิ่มขึ้น 2 อันดับใน 4 ปีข้างหน้า และมี
ดุลการคลังที่สมดุล (มติชน)
4. ยอดการจำหน่ายรถยนต์ในประเทศในปี 48 ต่ำกว่าเป้าหมาย ขณะที่ยอดการส่งออกเพิ่มขึ้น
ผอ.สถาบันยานยนต์ เปิดเผยว่า ยอดขายรถยนต์ในประเทศปี 48 จะต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ 690,000 คัน
เหลือเพียง 660,000-670,000 คัน โดยเฉพาะรถยนต์นั่งที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง หลังได้รับผลจากราคา
น้ำมันที่สูงขึ้น ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่มีอัตราการเติบโตได้เล็กน้อย และอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มขยับขึ้น
ในขณะที่ยอดการส่งออกจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 15% ส่วนยอดการผลิตคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1.1 ล้านคันตามเป้าหมาย
เดิม เนื่องจากตลาดต่างประเทศมีความต้องการเพิ่มขึ้น (ข่าวสด)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ดัชนีชี้วัดเงินเฟ้อในอนาคตของ สรอ.เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุดในรอบกว่า 5 ปี รายงานจาก
นิวยอร์ค เมื่อ 4 พ.ย.48 ดัชนีชี้วัดเงินเฟ้อในอนาคตซึ่งสำรวจโดยสถาบันวิจัยวงจรเศรษฐกิจหรือ ECRI เพิ่มขึ้น
มาอยู่ที่ระดับ 124 ในเดือน ต.ค.48 จากระดับ 123.7 ในเดือน ก.ย.48 สูงสุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย.43 ซึ่งอยู่
ที่ระดับ 125.4 จากปัจจัยอื่นนอกจากราคาน้ำมัน แม้จะมีสัญญาณว่าเศรษฐกิจชะลอตัวลงแล้วก็ตาม โดยดัชนีมีค่าสูง
ขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ก่อนที่ราคาน้ำมันจะสูงขึ้นอย่างมากในช่วงต้นปีนี้และยังคงสูงขึ้นอย่างต่อ
เนื่องแม้ว่าราคาน้ำมันได้ชะลอตัวลงจากระดับสูงสุดหลังเกิดพายุเฮอริเคนแคทรินาในปลายเดือน ส.ค.48 แล้วก็
ตาม โดยผลสำรวจรอยเตอร์คาดว่า ธ.กลาง สรอ.จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกอย่างน้อยจนกระทั่งถึงเดือน ม.ค.49
นี้ หลังจากเมื่อวันที่ 2 พ.ย.48 ที่ผ่านมาได้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25 เป็นครั้งที่ 12 ติดต่อกันทำ
ให้อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 4.0 (รอยเตอร์)
2. การจ้างงานของ สรอ. เดือน ต.ค.48 เพิ่มขึ้นเพียง 56,000 อัตรา น้อยกว่าที่คาดการณ์
ไว้ รายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศ สรอ. เมื่อวันที่ 5 พ.ย.48 รายงานข่าวจากรัฐบาล สรอ. เปิดเผย
ว่า ตัวเลขการจ้างงานของ สรอ. ในเดือน ต.ค.48 เพิ่มขึ้นเพียง 56,000 อัตรา ต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์
ของ Wall Street คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 100,000 อัตรา เนื่องจากผลกระทบจากพายุเฮอริเคนแคทรีนา
เริ่มลดลง และคาดว่าน่าจะมาจากการที่ ก.แรงงานมีการปรับตัวเลขการเติบโตของการจ้างงานสุทธิลดลงสำหรับ
ช่วง 2 เดือนก่อน อย่างไรก็ตาม อัตราการว่างงานของทั้งประเทศในเดือน ต.ค.48 ลดลงเหลือร้อยละ 5 จาก
ร้อยละ 5.1 ในขณะที่อัตราค่าจ้างเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 2 ปีครึ่ง โดยรายได้เฉลี่ยต่อชั่วโมงเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5
เป็น 16.27 ดอลลลาร์ สรอ. ต่อ ช.ม. จากระดับ 16.19 ดอลลาร์ สรอ. ต่อ ช.ม. ในเดือน ก.ย. และนับ
เป็นอัตราเพิ่มสูงสุดตั้งแต่เดือน ก.พ.46 ด้านนักเศรษฐศาสตร์มองว่าแนวโน้มการเติบโตของการจ้างงานจะยังอยู่
ที่ระดับ 200,000 อัตรา ต่อเดือน (รอยเตอร์)
3. ดัชนีความเชื่อมั่นภาวะธุรกิจของอังกฤษในเดือน ต.ค.48 ปรับตัวสูงสุดในรอบ 3 ไตรมาสที่ร้อย
ละ 33 รายงานจากลอนดอน เมื่อ 7 พ.ย.48 The Institute of Directors (IoD) เปิดเผยว่า ดัชนี
ความเชื่อมั่นภาวะธุรกิจของอังกฤษในรอบ 3 เดือนถึงเดือน ต.ค.48 ปรับตัวสูงขึ้นถึงร้อยละ 33 จากร้อยละ 19
ในรอบ 3 เดือนก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 ไตรมาส ทั้งนี้ จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้อำนวย
การบริษัท 500 แห่ง พบว่าในผู้ประกอบการอุตสาหกรรมการผลิตที่มีมุมมองด้านบวกว่าธุรกิจจะกลับมาแข็งแกร่งเพิ่ม
ขึ้นอยู่ที่ระดับร้อยละ 8.0 จากร้อยละ —8.0 ขณะที่ความเห็นเกี่ยวกับภาพรวมของการดำเนินธุรกิจปัจจุบันที่คิดว่าดี
ขึ้นมากกว่าเลวลงลดลงอยู่ที่ร้อยละ 70 จากร้อยละ 72 โดยในสัดส่วนนี้ ภาคอุตสาหกรรมการผลิตลดลงร้อยละ
61 จากร้อยละ 64 รวมทั้งธุรกิจร้านค้าและการท่องเที่ยวก็ยังซบเซา เนื่องจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคชะลอตัว
จึงส่งผลกระทบถึงการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ยังมีมุมมองที่สดใสอีกด้านหนึ่ง คือ ยอดขาย
ปลีกและความเชื่อมั่นภาคการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 30 จากก่อนหน้านี้ที่อยู่ที่ร้อยละ 13 (รอยเตอร์)
4. ธ.กลางญี่ปุ่นจะไม่เปลี่ยนแปลงการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนปรนอย่างฉับพลัน รายงาน
จาก Basel สวิสเซอร์แลนด์เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 48 ผวก.ธ.กลางญี่ปุ่นกล่าวกับนักข่าวในการประชุมราย 2 เดือน
ระดับผวก.ของประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ G10 ว่าจะยังไม่เปลี่ยนแปลงการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย
ที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลา 4 ปี อย่างฉับพลัน และหากจะมีการเปลี่ยนแปลงจะต้องพิจารณาด้วย
ความรอบคอบและระมัดระวัง ซึ่งคณะกรรมาธิการต้องการข้อมูลมากกว่านี้ เขาเห็นว่าเศรษฐกิจโลกยังคงเติบโตดี
แม้ว่าจะมีความเสี่ยงจากภาวะราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นก็ตาม ทั้งนี้เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบจากภาวะราคาน้ำมันที่
สูงขึ้นแต่ยังคงมีปัจจัยอื่นที่สำคัญเช่นกัน นั่นคือการขยายตัวของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อที่เป็นผลกระทบทางอ้อมที่
ญี่ปุ่นได้รับจากประเทศกำลังพัฒนาในแถบเอเซีย นอกจากนั้นยังมีการคาดการณ์กันว่าธ.กลางญี่ปุ่นจะสิ้นสุดการดำเนิน
นโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายในปีหน้าเนื่องจากตลาดการเงินมีสภาพคล่องสูง เศรษฐกิจฟื้นตัวและส่งผลให้
ภาวะเงินฝืดของญี่ปุ่นที่มีมาอย่างยาวนานมากกว่า 7 ปี สิ้นสุดลง (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 7 พ.ย. 48 3 พ.ย. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 40.888 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.6873/40.8771 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.80333 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 706.23/ 15.41 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,900/9,000 8,950/9,050 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 52.33 52.38 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับลด 50 สตางค์ เมื่อ 1 พ.ย. 48 25.64*/23.39** 25.64*/23.39** 16.99/14.59 ปตท.
** ปรับลด 40 สตางค์ เมื่อ 1 พ.ย. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--