ข้าว : ผลกระทบจากการปฏิรูปการจัดการตลาดร่วมสำหรับข้าวในสหภาพยุโรปต่อการส่งออกข้าวไทย
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรได้รับรายงานจากสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำกรุงบรัสเซล แจ้งว่า คณะกรรมาธิการตลาดร่วมยุโรปได้เสนอให้มีการปรับปรุงแก้ไขการจัดการตลาดร่วมสำหรับข้าว เนื่องจากขณะนี้สหภาพยุโรป (EU) กำลังประสบปัญหาผลผลิตข้าวมีมากเกินความต้องการ จากการที่ผลผลิตภายในเพิ่มและมีการนำเข้าเพิ่มขึ้น ในขณะที่ไม่สามารถส่งออกข้าวได้มากตามที่ต้องการ เนื่องจากติดขัดต่อระเบียบขององค์การการค้าโลก (WTO) จึงมีสต็อกคงเหลือเป็นจำนวนมาก ทำให้ต้องเสียงบประมาณในการเก็บรักษาสต็อกดังกล่าว คณะกรรมาธิการฯ จึงได้เสนอแนวทางการปฏิรูปเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งมีสาระสำคัญ คือ
1. ยกเลิกการแทรกแซงราคาข้าวเปลือกภายใน EU เพื่อแก้ปัญหาผลผลิตที่เพิ่มขึ้นเกินความต้องการ เนื่องจากราคาข้าวสูงกว่าความเป็นจริง
2. เพิ่มการอุดหนุนเกษตรกรโดยตรงจากปีละ 52.65 ยูโรต่อตัน เป็น 63 ยูโรต่อตัน หรือเพิ่มขึ้นตันละ 10.35 ยูโร เพื่อชดเชยการยกเลิกมาตรการแทรกแซงราคา ตามมาตรการปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวไปเป็นพืชอื่น
ผลจากการปฏิรูป
1. ด้านภาษี ปัจจุบัน EU ใช้ระบบราคาภาษีคงที่ผูกพันไว้กับ WTO เพื่อเก็บภาษีนำเข้าข้าว และเพิ่มระบบ Ceiling price ขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับเป็นฐานคำนวณภาษีนำเข้าข้าวกล้องซึ่ง EU มีการนำเข้ามาก โดยภาษีที่เก็บสำหรับข้าวกล้องคำนวณจากผลต่างของราคาในตลาดโลกและ Ceiling price (Ceiling price คำนวณมาจาก 180% ของราคาแทรกแซงข้าวเปลือกเมล็ดยาวภายใน EU) จะเห็นได้ว่า ถ้าราคาในตลาดโลกเพิ่มขึ้น ภาษีนำเข้าก็จะลดลง แต่ถ้าราคาในตลาดโลกลดลง ภาษีนำเข้าก็จะเพิ่มขึ้น แต่จะไม่เกินเกณฑ์ปกติที่ EU ผูกพันไว้กับ WTO ดังนั้น ประเทศที่ส่งออกข้าวราคาสูงก็จะได้เปรียบจากการที่ถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าประเทศที่ส่งออกข้าวในราคาต่ำ
แต่เมื่อ EU ยกเลิกการแทรกแซงราคา ระบบ Ceiling price ก็จะถูกยกเลิกด้วย โดย EU จะหันมาใช้ระบบราคาภาษีคงที่ตามที่ผูกพันไว้กับ WTO กับข้าวทุกชนิดแทน ซึ่งอาจเลือกใช้อัตราสูงสุดคือตันละ 264 ยูโรต่อตัน สำหรับข้าวกล้อง เพื่อปกป้องตลาดภายใน ดังนั้น ทุกประเทศจะเสียภาษีในอัตราเดียวกัน ประเทศที่ส่งออกข้าวราคาต่ำก็จะได้เปรียบในเชิงการแข่งขันด้านราคา
2. ด้านความต้องการนำเข้าข้าวของ EU เมื่อ EU ยกเลิกมาตรการแทรกแซงราคาแล้ว ราคาข้าวก็จะเป็นไปตามกลไกตลาดมากขึ้น กล่าวคือ ราคาข้าวใน EU จะลดลง ความสามารถในการแข่งขันจะดีขึ้น จึงเป็นไปได้ว่าความต้องการนำเข้าข้าวของ EU จะลดลง ในขณะเดียวกันผลผลิตข้าวคงจะต้องลดลงด้วยตามกลไกของราคาและนโยบายลดพื้นที่ปลูกข้าว ซึ่งจะทำให้ปริมาณผลผลิตข้าวมีความสมดุลมากขึ้น
ผลกระทบต่อการส่งออกข้าวของไทย
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ได้วิเคราะห์ผลกระทบต่อการส่งออกข้าวของไทย ดังนี้
1. ผลกระทบเกี่ยวกับภาษี ปัจจุบันการส่งออกข้าวของไทยไป EU ส่วนใหญ่เสียภาษีในอัตราที่ใกล้เคียงปกติอยู่แล้ว คือ ประมาณตันละ 200 ยูโร
ดังนั้น จึงไม่น่าจะได้รับผลกระทบมากนัก ในทางตรงข้ามน่าจะส่งผลกระทบในด้านดี คือ เมื่อไม่มีความเหลื่อมล้ำด้านภาษีจะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยดีขึ้น เนื่องจากราคาข้าวของไทยต่ำกว่าประเทศผู้ส่งออกข้าวคุณภาพดีรายอื่น ๆ
2. ผลกระทบเกี่ยวกับโอกาสในการส่งออกข้าวไป EU ถ้าราคาข้าวภายใน EU ลดลง ความต้องการนำเข้าข้าวอาจลดลงด้วย ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย โดยเฉพาะข้าวเมล็ดยาวซึ่ง EU สามารถผลิตเองได้ ไทยจึงควรเตรียมหามาตรการไว้รองรับ เพื่อรักษาส่วนแบ่งในตลาด EU ไว้ เช่น ควรหันมาเน้นการผลิตและส่งออกข้าวหอมมะลิ ซึ่งตลาด EU มีความต้องการแต่ไม่มีศักยภาพในการผลิต การรักษาระดับมาตรฐานข้าวของไทยไว้ทั้งด้านคุณภาพและสุขอนามัย หรือการพัฒนาการผลิตหรือแปรรูปในลักษณะผลิตภัณฑ์อินทรีย์ (Organic product) น่าจะเป็นจุดขายได้ดี นอกจากนี้ควรเร่งรัดพัฒนาการผลิตข้าวคุณภาพดีอื่น ๆ ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อลดต้นทุนการผลิตซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้านราคา
อ้อย : การระบาดของโรคใบขาวและหนอนกออ้อย
จากการที่โรคใบขาวและหนอนกออ้อยได้มีการระบาดอย่างหนักในเขตอำเภอกุมภวาปี ภู่แก้ว โนนสะอาด ศรีธาตุ และหนองแสง จังหวัดอุดรธานีและในจังหวัดใกล้เคียงได้แก่ บุรีรัมย์ ขอนแก่น นครราชสีมา และชัยภูมิ รวมทั้งในภาคกลางที่จังหวัดกาญจนบุรี และราชบุรี จากการประเมินในเบื้องต้นของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าพื้นที่ที่ได้รับการระบาดของโรคดังกล่าวจะมีพื้นที่ประมาณ 260,000ไร่ และผลผลิตที่อาจมีความเสียหายได้ถึง 1 ล้านตัน ซึ่งในขณะนี้กรมส่งเสริมการเกษตรและกรมวิชาการเกษตร กำลังเตรียมหาแนวทางการช่วยเหลือในเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน
สำหรับผลผลิตอ้อยในปี 2543/44 ซึ่งจะเริ่มเก็บเกี่ยวเข้าโรงงานในราวเดือนพฤศจิกายนนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรคาดว่าจะมีผลผลิตทั้งสิ้นประมาณ 51.21 ล้านตัน จากพื้นที่ปลูก 5.51 ล้านไร่ ทั้งผลผลิตและพื้นที่ปลูกลดลงจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 4.27 และ 2.38 ตามลำดับ
--ข่าวการผลิต การตลาด ผลิตผลการเกษตร ฉบับที่ 36 ประจำวันที่ 11-17 ก.ย. 2543--
-สส-
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรได้รับรายงานจากสำนักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจำกรุงบรัสเซล แจ้งว่า คณะกรรมาธิการตลาดร่วมยุโรปได้เสนอให้มีการปรับปรุงแก้ไขการจัดการตลาดร่วมสำหรับข้าว เนื่องจากขณะนี้สหภาพยุโรป (EU) กำลังประสบปัญหาผลผลิตข้าวมีมากเกินความต้องการ จากการที่ผลผลิตภายในเพิ่มและมีการนำเข้าเพิ่มขึ้น ในขณะที่ไม่สามารถส่งออกข้าวได้มากตามที่ต้องการ เนื่องจากติดขัดต่อระเบียบขององค์การการค้าโลก (WTO) จึงมีสต็อกคงเหลือเป็นจำนวนมาก ทำให้ต้องเสียงบประมาณในการเก็บรักษาสต็อกดังกล่าว คณะกรรมาธิการฯ จึงได้เสนอแนวทางการปฏิรูปเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งมีสาระสำคัญ คือ
1. ยกเลิกการแทรกแซงราคาข้าวเปลือกภายใน EU เพื่อแก้ปัญหาผลผลิตที่เพิ่มขึ้นเกินความต้องการ เนื่องจากราคาข้าวสูงกว่าความเป็นจริง
2. เพิ่มการอุดหนุนเกษตรกรโดยตรงจากปีละ 52.65 ยูโรต่อตัน เป็น 63 ยูโรต่อตัน หรือเพิ่มขึ้นตันละ 10.35 ยูโร เพื่อชดเชยการยกเลิกมาตรการแทรกแซงราคา ตามมาตรการปรับเปลี่ยนพื้นที่ปลูกข้าวไปเป็นพืชอื่น
ผลจากการปฏิรูป
1. ด้านภาษี ปัจจุบัน EU ใช้ระบบราคาภาษีคงที่ผูกพันไว้กับ WTO เพื่อเก็บภาษีนำเข้าข้าว และเพิ่มระบบ Ceiling price ขึ้นมาเป็นพิเศษสำหรับเป็นฐานคำนวณภาษีนำเข้าข้าวกล้องซึ่ง EU มีการนำเข้ามาก โดยภาษีที่เก็บสำหรับข้าวกล้องคำนวณจากผลต่างของราคาในตลาดโลกและ Ceiling price (Ceiling price คำนวณมาจาก 180% ของราคาแทรกแซงข้าวเปลือกเมล็ดยาวภายใน EU) จะเห็นได้ว่า ถ้าราคาในตลาดโลกเพิ่มขึ้น ภาษีนำเข้าก็จะลดลง แต่ถ้าราคาในตลาดโลกลดลง ภาษีนำเข้าก็จะเพิ่มขึ้น แต่จะไม่เกินเกณฑ์ปกติที่ EU ผูกพันไว้กับ WTO ดังนั้น ประเทศที่ส่งออกข้าวราคาสูงก็จะได้เปรียบจากการที่ถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำกว่าประเทศที่ส่งออกข้าวในราคาต่ำ
แต่เมื่อ EU ยกเลิกการแทรกแซงราคา ระบบ Ceiling price ก็จะถูกยกเลิกด้วย โดย EU จะหันมาใช้ระบบราคาภาษีคงที่ตามที่ผูกพันไว้กับ WTO กับข้าวทุกชนิดแทน ซึ่งอาจเลือกใช้อัตราสูงสุดคือตันละ 264 ยูโรต่อตัน สำหรับข้าวกล้อง เพื่อปกป้องตลาดภายใน ดังนั้น ทุกประเทศจะเสียภาษีในอัตราเดียวกัน ประเทศที่ส่งออกข้าวราคาต่ำก็จะได้เปรียบในเชิงการแข่งขันด้านราคา
2. ด้านความต้องการนำเข้าข้าวของ EU เมื่อ EU ยกเลิกมาตรการแทรกแซงราคาแล้ว ราคาข้าวก็จะเป็นไปตามกลไกตลาดมากขึ้น กล่าวคือ ราคาข้าวใน EU จะลดลง ความสามารถในการแข่งขันจะดีขึ้น จึงเป็นไปได้ว่าความต้องการนำเข้าข้าวของ EU จะลดลง ในขณะเดียวกันผลผลิตข้าวคงจะต้องลดลงด้วยตามกลไกของราคาและนโยบายลดพื้นที่ปลูกข้าว ซึ่งจะทำให้ปริมาณผลผลิตข้าวมีความสมดุลมากขึ้น
ผลกระทบต่อการส่งออกข้าวของไทย
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ได้วิเคราะห์ผลกระทบต่อการส่งออกข้าวของไทย ดังนี้
1. ผลกระทบเกี่ยวกับภาษี ปัจจุบันการส่งออกข้าวของไทยไป EU ส่วนใหญ่เสียภาษีในอัตราที่ใกล้เคียงปกติอยู่แล้ว คือ ประมาณตันละ 200 ยูโร
ดังนั้น จึงไม่น่าจะได้รับผลกระทบมากนัก ในทางตรงข้ามน่าจะส่งผลกระทบในด้านดี คือ เมื่อไม่มีความเหลื่อมล้ำด้านภาษีจะทำให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยดีขึ้น เนื่องจากราคาข้าวของไทยต่ำกว่าประเทศผู้ส่งออกข้าวคุณภาพดีรายอื่น ๆ
2. ผลกระทบเกี่ยวกับโอกาสในการส่งออกข้าวไป EU ถ้าราคาข้าวภายใน EU ลดลง ความต้องการนำเข้าข้าวอาจลดลงด้วย ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย โดยเฉพาะข้าวเมล็ดยาวซึ่ง EU สามารถผลิตเองได้ ไทยจึงควรเตรียมหามาตรการไว้รองรับ เพื่อรักษาส่วนแบ่งในตลาด EU ไว้ เช่น ควรหันมาเน้นการผลิตและส่งออกข้าวหอมมะลิ ซึ่งตลาด EU มีความต้องการแต่ไม่มีศักยภาพในการผลิต การรักษาระดับมาตรฐานข้าวของไทยไว้ทั้งด้านคุณภาพและสุขอนามัย หรือการพัฒนาการผลิตหรือแปรรูปในลักษณะผลิตภัณฑ์อินทรีย์ (Organic product) น่าจะเป็นจุดขายได้ดี นอกจากนี้ควรเร่งรัดพัฒนาการผลิตข้าวคุณภาพดีอื่น ๆ ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อลดต้นทุนการผลิตซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันด้านราคา
อ้อย : การระบาดของโรคใบขาวและหนอนกออ้อย
จากการที่โรคใบขาวและหนอนกออ้อยได้มีการระบาดอย่างหนักในเขตอำเภอกุมภวาปี ภู่แก้ว โนนสะอาด ศรีธาตุ และหนองแสง จังหวัดอุดรธานีและในจังหวัดใกล้เคียงได้แก่ บุรีรัมย์ ขอนแก่น นครราชสีมา และชัยภูมิ รวมทั้งในภาคกลางที่จังหวัดกาญจนบุรี และราชบุรี จากการประเมินในเบื้องต้นของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร คาดว่าพื้นที่ที่ได้รับการระบาดของโรคดังกล่าวจะมีพื้นที่ประมาณ 260,000ไร่ และผลผลิตที่อาจมีความเสียหายได้ถึง 1 ล้านตัน ซึ่งในขณะนี้กรมส่งเสริมการเกษตรและกรมวิชาการเกษตร กำลังเตรียมหาแนวทางการช่วยเหลือในเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน
สำหรับผลผลิตอ้อยในปี 2543/44 ซึ่งจะเริ่มเก็บเกี่ยวเข้าโรงงานในราวเดือนพฤศจิกายนนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรคาดว่าจะมีผลผลิตทั้งสิ้นประมาณ 51.21 ล้านตัน จากพื้นที่ปลูก 5.51 ล้านไร่ ทั้งผลผลิตและพื้นที่ปลูกลดลงจากปีที่ผ่านมาร้อยละ 4.27 และ 2.38 ตามลำดับ
--ข่าวการผลิต การตลาด ผลิตผลการเกษตร ฉบับที่ 36 ประจำวันที่ 11-17 ก.ย. 2543--
-สส-