สมาคมผู้นำเข้าและส่งออกผักผลไม้สดสิงคโปร์ (Singapore Fruits & vegetables Importers & Exporters Association) ได้แจ้งสำนักงานส่งเสริมการค้า ณ กรุงสิงคโปร์ ถึง แนวโน้มการทดแทนลำไยไทยโดยลำไยจากประเทศจีนในอนาคต เนื่องจากเหตผลใหญ่ๆ ดังนี้
1. ขณะนี้ลำไยของไทยถูกตรวจพบปริมาณสาร ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2)
ตกค้างในเนื้อลำไย บ่อยครั้งขึ้น ในช่วงตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ถูก Reject ไปแล้วประมาณ 200 ตัน หรือ 10 ตู้ เท่ากับประมาณ 20%ของการนำเข้าทั้งหมด ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากที่รัฐบาลสิงคโปร์ไม่อนุญาติให้มีปริมาณสาร SO2 ตกค้างในเนื้อลำไยเลย (ต้องเท่ากับ 0) ส่วนในเปลือกให้ตกค้างได่ไม่เกิน 350 ppm (part per million)
2. สมาคมฯผักผลไม้สิงคโปร์ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมตลาดสินค้าเกษตรประเทศจีนเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และแจ้งว่าขณะนี้พื้นที่กว่า 40 กม. เส้นทางจากกวางโจว ถึงฟูเกี๊ยนมีการปลูกลำไย และลิ้นจี่จำนวนมากนับล้านต้น และปัจุบันประเทศจีนได้พัฒนาคุณภาพลำไยและเทคนิคการรมควันโดยใช้แกส เพื่อมิให้สารตกค้างซึมเข้าในเนื้อผลไม้ ได้เป็นที่น่าพอใจ
ดังนั้นจึงเป็นที่น่าเป็นห่วงว่า ในอนาคตตลาดลำไยสดของไทยในสิงคโปร์ที่ไม่เคยมีคู่แข่งมาก่อนจะถูกจีนแย่งตลาดไป ในที่สุด หากประเทศไทยไม่เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาสารตกค้าง SO2 โดยปรับเปลี่ยนวิธีการอบลำไยใหม่ และให้ความรู้แก่เกษตรกรให้มากขึ้น
ความต้องการของตลาด แม้สิงคโปร์จะเป็นตลาดเล็ก แต่การบริโภคต่อปีประมาณ 8,500 — 10,000 ตัน โดยไทยเป็นผู้ครองตลาด ในปีที่ผ่านมามีการนำเข้าปริมาณ 8,518 ตันมูลค่า 5.464 ล้านเหรียญสิงคโปร์ ในปี 2544 (มค.-พค.) มีการนำเข้ามาแล้ว เป็นปริมาณ 338 ตันมูลค่า 785,000 เหรียญสิงคโปร์ นอกจากบริโภคในประเทศแล้วยังมีการ Re-export ไปประเทศข้างเคียง เช่นบรูไนประมาณ ร้อยละ 3-4 ของปริมาณการนำเข้าทั้งสิ้นของสิงคโปร์
ความนิยมบริโภค ลำไยเป็นผลไม้ที่มีความนิยมมากไม่แพ้ทุเรียน ผู้นำเข้าเชื่อมั่นว่าตลาดสิงคโปร์สามารถรับซื้อลำไยจากประเทศไทยได้เพิ่มขึ้นถึงกว่า 2 เท่า หากสามารถแก้ไขปัญหาสารตกค้างในเนื้อลำไยได้ เนื่องจากตลาดนิยมให้ลำไยมีผิวสีขาวนวล ดังนั้นจึงมักใช้วิธีรมด้วยสาร Sulfer DiOxide(SO2) และสาเหตุสำคัญของสารตกค้างก็มาจากกระบวนการดังกล่าว ซึ่งวิธีที่ชาวสวนไทยใช้เป็นวิธีที่ล้าหลัง สาร SO2 ไม่สามารถกระจายได้ทั่วถึง ทำให้ลำไยที่ใกล้บริเวณซึมซับ สาร SO2 ไว้ในปริมาณมาก วิธีสมัยใหม่ที่ใช้กันคือ การรมด้วยแก๊ส ซึ่งจะกระจายทั่วถึงกันหมด และไม่ทำให้เกิดปัญหา การแก้ไขจะต้องให้ความรู้แก่เกษตรกรให้กว้างขวาง และทราบถึงปัญหาของสารตกค้าง ซึ่งนับวันจะเข้มงวดขึ้น
สำนักงานส่งเสริมการค้า ณ สิงคโปร์ เห็นว่าเพื่อเป็นการเตือนผู้ผลิตไทยให้เข้าใจถึงปัญหาทางการตลาด ก่อนที่ไทยจะสูญเสียตลาดลำไยสดให้กับจีน เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดให้การอบรมเกษตรกร/ผู้ส่งออก ไม่ให้ละเลยเรื่องของคุณภาพ และ สารตกค้าง โดยการพัฒนาการอบที่ถูกต้องและเผยแพร่ให้เกษตรกรมาใช้บริการ เพราะผลที่จะได้รับคือการขยายการส่งออกได้เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 2 เท่า
สำนักงานส่งเสริมการส่งออก ณ สิงคโปร์
--สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ กรมส่งเสริมการส่งออก กรกฎาคม 2544--
-อน-
1. ขณะนี้ลำไยของไทยถูกตรวจพบปริมาณสาร ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2)
ตกค้างในเนื้อลำไย บ่อยครั้งขึ้น ในช่วงตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ถูก Reject ไปแล้วประมาณ 200 ตัน หรือ 10 ตู้ เท่ากับประมาณ 20%ของการนำเข้าทั้งหมด ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากที่รัฐบาลสิงคโปร์ไม่อนุญาติให้มีปริมาณสาร SO2 ตกค้างในเนื้อลำไยเลย (ต้องเท่ากับ 0) ส่วนในเปลือกให้ตกค้างได่ไม่เกิน 350 ppm (part per million)
2. สมาคมฯผักผลไม้สิงคโปร์ ได้เดินทางไปเยี่ยมชมตลาดสินค้าเกษตรประเทศจีนเมื่อต้นปีที่ผ่านมา และแจ้งว่าขณะนี้พื้นที่กว่า 40 กม. เส้นทางจากกวางโจว ถึงฟูเกี๊ยนมีการปลูกลำไย และลิ้นจี่จำนวนมากนับล้านต้น และปัจุบันประเทศจีนได้พัฒนาคุณภาพลำไยและเทคนิคการรมควันโดยใช้แกส เพื่อมิให้สารตกค้างซึมเข้าในเนื้อผลไม้ ได้เป็นที่น่าพอใจ
ดังนั้นจึงเป็นที่น่าเป็นห่วงว่า ในอนาคตตลาดลำไยสดของไทยในสิงคโปร์ที่ไม่เคยมีคู่แข่งมาก่อนจะถูกจีนแย่งตลาดไป ในที่สุด หากประเทศไทยไม่เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาสารตกค้าง SO2 โดยปรับเปลี่ยนวิธีการอบลำไยใหม่ และให้ความรู้แก่เกษตรกรให้มากขึ้น
ความต้องการของตลาด แม้สิงคโปร์จะเป็นตลาดเล็ก แต่การบริโภคต่อปีประมาณ 8,500 — 10,000 ตัน โดยไทยเป็นผู้ครองตลาด ในปีที่ผ่านมามีการนำเข้าปริมาณ 8,518 ตันมูลค่า 5.464 ล้านเหรียญสิงคโปร์ ในปี 2544 (มค.-พค.) มีการนำเข้ามาแล้ว เป็นปริมาณ 338 ตันมูลค่า 785,000 เหรียญสิงคโปร์ นอกจากบริโภคในประเทศแล้วยังมีการ Re-export ไปประเทศข้างเคียง เช่นบรูไนประมาณ ร้อยละ 3-4 ของปริมาณการนำเข้าทั้งสิ้นของสิงคโปร์
ความนิยมบริโภค ลำไยเป็นผลไม้ที่มีความนิยมมากไม่แพ้ทุเรียน ผู้นำเข้าเชื่อมั่นว่าตลาดสิงคโปร์สามารถรับซื้อลำไยจากประเทศไทยได้เพิ่มขึ้นถึงกว่า 2 เท่า หากสามารถแก้ไขปัญหาสารตกค้างในเนื้อลำไยได้ เนื่องจากตลาดนิยมให้ลำไยมีผิวสีขาวนวล ดังนั้นจึงมักใช้วิธีรมด้วยสาร Sulfer DiOxide(SO2) และสาเหตุสำคัญของสารตกค้างก็มาจากกระบวนการดังกล่าว ซึ่งวิธีที่ชาวสวนไทยใช้เป็นวิธีที่ล้าหลัง สาร SO2 ไม่สามารถกระจายได้ทั่วถึง ทำให้ลำไยที่ใกล้บริเวณซึมซับ สาร SO2 ไว้ในปริมาณมาก วิธีสมัยใหม่ที่ใช้กันคือ การรมด้วยแก๊ส ซึ่งจะกระจายทั่วถึงกันหมด และไม่ทำให้เกิดปัญหา การแก้ไขจะต้องให้ความรู้แก่เกษตรกรให้กว้างขวาง และทราบถึงปัญหาของสารตกค้าง ซึ่งนับวันจะเข้มงวดขึ้น
สำนักงานส่งเสริมการค้า ณ สิงคโปร์ เห็นว่าเพื่อเป็นการเตือนผู้ผลิตไทยให้เข้าใจถึงปัญหาทางการตลาด ก่อนที่ไทยจะสูญเสียตลาดลำไยสดให้กับจีน เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดให้การอบรมเกษตรกร/ผู้ส่งออก ไม่ให้ละเลยเรื่องของคุณภาพ และ สารตกค้าง โดยการพัฒนาการอบที่ถูกต้องและเผยแพร่ให้เกษตรกรมาใช้บริการ เพราะผลที่จะได้รับคือการขยายการส่งออกได้เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 2 เท่า
สำนักงานส่งเสริมการส่งออก ณ สิงคโปร์
--สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ กรมส่งเสริมการส่งออก กรกฎาคม 2544--
-อน-