ไก่เป็นสินค้าปศุสัตว์ส่งออกสำคัญที่สุดของไทยมีมูลค่าส่งออกสูงถึงปีละ 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในจำนวนนี้กว่าร้อยละ 60 เป็นการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง นอกนั้นเป็นการส่งออกไก่แปรรูปประเภทไก่ทอด ไก่นึ่ง ไก่ย่าง ไก่ต้มสุก เป็นต้น ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ไก่ส่งออกของไทยมีคุณภาพสูงและมีความหลากหลายเป็นที่ยอมรับของตลาดต่างประเทศ แต่ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากคู่แข่งในตลาดส่งออกสำคัญ เช่น ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป (European Union: EU) ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีปัญหาอื่นๆ ที่เป็นอุปสรรคทำให้การส่งออกไก่ของไทยขยายตัวได้ไม่ดี เท่าที่ควร ได้แก่
1. ปัญหาต้นทุนการผลิตสูง ต้นทุนการเลี้ยงไก่ของไทยสูงกว่าคู่แข่ง เช่น สหรัฐอเมริกา บราซิล และจีน เนื่องจากต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์เป็นมูลค่ามหาศาลในแต่ละปี ขณะที่อัตราภาษีนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์อยู่ในระดับสูง แม้ว่ารัฐบาลได้ดำเนินการปรับเพิ่มโควตานำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์และปรับลดอัตราภาษีนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันแก่ผู้ประกอบการไทย แต่อัตราภาษีนำเข้าและค่าธรรมเนียมพิเศษสำหรับวัตถุดิบอาหารสัตว์นำเข้าที่เกินโควตายังคงอยู่ในระดับสูง เช่น ข้าวโพด อัตราภาษีในโควตา (ปริมาณโควตานำเข้าในปี 2544 เท่ากับ 53,832 ตัน) อยู่ในระดับร้อยละ 20 ของราคานำเข้า ขณะที่อัตราภาษีนอกโควตาสูงถึงร้อยละ 75.4 ของราคานำเข้า และมีค่าธรรมเนียมพิเศษอีก 180 บาทต่อตัน ส่วนกากถั่วเหลือง แม้ว่าอัตราภาษีในโควตาจะอยู่ในระดับเพียงร้อยละ 5 ของราคานำเข้า แต่อัตราภาษีนอกโควตาสูงถึงร้อยละ 119
2. การกีดกันการนำเข้าโดยใช้มาตรฐานด้านสุขอนามัย ภายใต้ข้อผูกพันของ WTO ที่กำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องทยอยปรับลดภาษีนำเข้าระหว่างกันลงและห้ามนำมาตรการด้านภาษีมาเป็นข้อจำกัดทางการค้า ทำให้ประเทศผู้นำเข้าหันมาใช้มาตรฐานด้านสุขอนามัยเป็นข้ออ้างในการกีดกันทางการค้ามากขึ้น การส่งออกไก่ของไทยจึงต้องเผชิญกับมาตรฐานด้านสุขอนามัยที่เข้มงวดจากประเทศผู้นำเข้าต่างๆ ได้แก่
-EU ออกระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นในการกำหนดปริมาณสูงสุดของสารตกค้างประเภทโลหะหนักในไก่ เช่น ตะกั่วและแคดเมียม ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2545 และจะมีการทบทวนปริมาณสูงสุดของสารตกค้างในทุก 5 ปี นอกจากนี้ สมุดปกขาวของ EU ว่าด้วยความปลอดภัยของสินค้าอาหาร (White Paper on Food Safety) ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนตุลาคม 2545 มีประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการค้าไก่ในด้านมาตรฐานสินค้า และการควบคุมการผลิต โดยคำนึงถึงมาตรฐานด้านสวัสดิภาพสัตว์เป็นสำคัญ ทำให้การส่งออกไก่ของไทยไป EU ต้องเผชิญกับการกีดกันที่รุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ
-ออสเตรเลีย กำหนดให้ไก่ต้มสุกที่ส่งเข้าไปจำหน่ายในออสเตรเลียต้องใช้เวลาในการต้มเพื่อฆ่าเชื้อนานกว่าปกติถึงเกือบ 5 เท่าเพื่อให้แน่ใจว่าปราศจากเชื้อไวรัสชนิด IBVD ซึ่งมักพบในไก่
-เกาหลีใต้ เข้มงวดในการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ไก่และเป็ดแช่แข็ง โดยเฉพาะเชื้อ Listeria Monocytogenes ซึ่งเคยตรวจพบในไก่แช่แข็งของไทยในช่วงปี 2540-2542 แม้ว่าโครงการมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ (Codex) มิได้ระบุให้มีการตรวจสอบเชื้อดังกล่าวก่อนออกจากประเทศผู้ส่งออกก็ตาม
-สิงคโปร์ เข้มงวดในการตรวจสอบสุขอนามัยสินค้าไก่แช่แข็งที่นำเข้าไปจำหน่ายในสิงคโปร์ โดยเฉพาะหากตรวจพบเชื้อ Salmonella จะห้ามนำเข้าทันที
-ไต้หวัน ปัจจุบันไทยไม่สามารถส่งไก่ไปจำหน่ายในไต้หวัน เนื่องจากไต้หวันยังไม่รับรองว่าไทยเป็นแหล่งผลิตไก่ที่ปลอดจากโรคนิวคาสเซิล ไทยจึงจำเป็นต้องเร่งพัฒนาสุขอนามัยการเลี้ยงไก่ เพื่อให้ได้ไก่คุณภาพดีและ เป็นที่ยอมรับของไต้หวัน จึงจะสามารถส่งออกไปจำหน่ายในไต้หวันได้
นอกจากอุปสรรคดังกล่าวข้างต้นแล้ว การส่งออกไก่ของไทยอาจต้องเผชิญกับอุปสรรคอื่นๆ อีก ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักโดยเฉพาะญี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดส่งออกไก่สำคัญที่สุดของไทย นอกจากนี้ การที่จีนซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญของไทยสามารถส่งไก่เข้าไปจำหน่ายใน EU ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2544 ทำให้การแข่งขันในตลาด EU มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น จากสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ส่งออกไก่ของไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งลดการพึ่งพาตลาดส่งออกหลักเพียงไม่กี่แห่งด้วยการขยายการส่งออกไปยังตลาดใหม่อย่างจริงจัง โดยเฉพาะตลาดใหม่ในกลุ่มประเทศมุสลิมซึ่งมีกำลังซื้อสูงและยังต้องการสินค้าคุณภาพดีอีกเป็นจำนวนมาก รวมทั้งมุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ไก่ใหม่ๆ ออกสู่ตลาด เพื่อเพิ่มความหลากหลายให้กับสินค้าและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับไก่ที่ส่งออก ตลอดจนผลิตสินค้าโดยคำนึงถึงมาตรฐานด้านสุขอนามัยในแต่ละตลาดส่งออก เพื่อให้เป็นที่ยอมรับในแต่ละตลาด เหล่านี้นับเป็นแนวทางสำคัญที่จะช่วยให้การส่งออกไก่ของไทยสามารถเติบโตได้ต่อไปในตลาดโลก
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย กรกฎาคม 2544--
-อน-
1. ปัญหาต้นทุนการผลิตสูง ต้นทุนการเลี้ยงไก่ของไทยสูงกว่าคู่แข่ง เช่น สหรัฐอเมริกา บราซิล และจีน เนื่องจากต้องพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์เป็นมูลค่ามหาศาลในแต่ละปี ขณะที่อัตราภาษีนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์อยู่ในระดับสูง แม้ว่ารัฐบาลได้ดำเนินการปรับเพิ่มโควตานำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์และปรับลดอัตราภาษีนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันแก่ผู้ประกอบการไทย แต่อัตราภาษีนำเข้าและค่าธรรมเนียมพิเศษสำหรับวัตถุดิบอาหารสัตว์นำเข้าที่เกินโควตายังคงอยู่ในระดับสูง เช่น ข้าวโพด อัตราภาษีในโควตา (ปริมาณโควตานำเข้าในปี 2544 เท่ากับ 53,832 ตัน) อยู่ในระดับร้อยละ 20 ของราคานำเข้า ขณะที่อัตราภาษีนอกโควตาสูงถึงร้อยละ 75.4 ของราคานำเข้า และมีค่าธรรมเนียมพิเศษอีก 180 บาทต่อตัน ส่วนกากถั่วเหลือง แม้ว่าอัตราภาษีในโควตาจะอยู่ในระดับเพียงร้อยละ 5 ของราคานำเข้า แต่อัตราภาษีนอกโควตาสูงถึงร้อยละ 119
2. การกีดกันการนำเข้าโดยใช้มาตรฐานด้านสุขอนามัย ภายใต้ข้อผูกพันของ WTO ที่กำหนดให้ประเทศสมาชิกต้องทยอยปรับลดภาษีนำเข้าระหว่างกันลงและห้ามนำมาตรการด้านภาษีมาเป็นข้อจำกัดทางการค้า ทำให้ประเทศผู้นำเข้าหันมาใช้มาตรฐานด้านสุขอนามัยเป็นข้ออ้างในการกีดกันทางการค้ามากขึ้น การส่งออกไก่ของไทยจึงต้องเผชิญกับมาตรฐานด้านสุขอนามัยที่เข้มงวดจากประเทศผู้นำเข้าต่างๆ ได้แก่
-EU ออกระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นในการกำหนดปริมาณสูงสุดของสารตกค้างประเภทโลหะหนักในไก่ เช่น ตะกั่วและแคดเมียม ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2545 และจะมีการทบทวนปริมาณสูงสุดของสารตกค้างในทุก 5 ปี นอกจากนี้ สมุดปกขาวของ EU ว่าด้วยความปลอดภัยของสินค้าอาหาร (White Paper on Food Safety) ซึ่งจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในเดือนตุลาคม 2545 มีประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการค้าไก่ในด้านมาตรฐานสินค้า และการควบคุมการผลิต โดยคำนึงถึงมาตรฐานด้านสวัสดิภาพสัตว์เป็นสำคัญ ทำให้การส่งออกไก่ของไทยไป EU ต้องเผชิญกับการกีดกันที่รุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ
-ออสเตรเลีย กำหนดให้ไก่ต้มสุกที่ส่งเข้าไปจำหน่ายในออสเตรเลียต้องใช้เวลาในการต้มเพื่อฆ่าเชื้อนานกว่าปกติถึงเกือบ 5 เท่าเพื่อให้แน่ใจว่าปราศจากเชื้อไวรัสชนิด IBVD ซึ่งมักพบในไก่
-เกาหลีใต้ เข้มงวดในการตรวจสอบผลิตภัณฑ์ไก่และเป็ดแช่แข็ง โดยเฉพาะเชื้อ Listeria Monocytogenes ซึ่งเคยตรวจพบในไก่แช่แข็งของไทยในช่วงปี 2540-2542 แม้ว่าโครงการมาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ (Codex) มิได้ระบุให้มีการตรวจสอบเชื้อดังกล่าวก่อนออกจากประเทศผู้ส่งออกก็ตาม
-สิงคโปร์ เข้มงวดในการตรวจสอบสุขอนามัยสินค้าไก่แช่แข็งที่นำเข้าไปจำหน่ายในสิงคโปร์ โดยเฉพาะหากตรวจพบเชื้อ Salmonella จะห้ามนำเข้าทันที
-ไต้หวัน ปัจจุบันไทยไม่สามารถส่งไก่ไปจำหน่ายในไต้หวัน เนื่องจากไต้หวันยังไม่รับรองว่าไทยเป็นแหล่งผลิตไก่ที่ปลอดจากโรคนิวคาสเซิล ไทยจึงจำเป็นต้องเร่งพัฒนาสุขอนามัยการเลี้ยงไก่ เพื่อให้ได้ไก่คุณภาพดีและ เป็นที่ยอมรับของไต้หวัน จึงจะสามารถส่งออกไปจำหน่ายในไต้หวันได้
นอกจากอุปสรรคดังกล่าวข้างต้นแล้ว การส่งออกไก่ของไทยอาจต้องเผชิญกับอุปสรรคอื่นๆ อีก ได้แก่ การชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักโดยเฉพาะญี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดส่งออกไก่สำคัญที่สุดของไทย นอกจากนี้ การที่จีนซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญของไทยสามารถส่งไก่เข้าไปจำหน่ายใน EU ได้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2544 ทำให้การแข่งขันในตลาด EU มีแนวโน้มทวีความรุนแรงขึ้น จากสถานการณ์ดังกล่าวข้างต้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ส่งออกไก่ของไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งลดการพึ่งพาตลาดส่งออกหลักเพียงไม่กี่แห่งด้วยการขยายการส่งออกไปยังตลาดใหม่อย่างจริงจัง โดยเฉพาะตลาดใหม่ในกลุ่มประเทศมุสลิมซึ่งมีกำลังซื้อสูงและยังต้องการสินค้าคุณภาพดีอีกเป็นจำนวนมาก รวมทั้งมุ่งเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ไก่ใหม่ๆ ออกสู่ตลาด เพื่อเพิ่มความหลากหลายให้กับสินค้าและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับไก่ที่ส่งออก ตลอดจนผลิตสินค้าโดยคำนึงถึงมาตรฐานด้านสุขอนามัยในแต่ละตลาดส่งออก เพื่อให้เป็นที่ยอมรับในแต่ละตลาด เหล่านี้นับเป็นแนวทางสำคัญที่จะช่วยให้การส่งออกไก่ของไทยสามารถเติบโตได้ต่อไปในตลาดโลก
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย กรกฎาคม 2544--
-อน-