1. การจัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการ หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์แห่งชาติค.ร.ม. เห็นชอบให้สำนักนายกรัฐมนตรีจัดตั้งคณะกรรมการอำนวยการ หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์แห่งชาติ
โดยมีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่นายกฯ มอบหมายเป็นประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นรองประธาน และประกอบด้วยรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นกรรมการ ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ดังนี้
1) กำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์และแผนแม่บทการดำเนินงานเพื่อให้เกิดบูรณาการในการจัดทำแผนและงบประมาณของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง
2) ศึกษา เสนอแนะและให้คำปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรี 3) ออกระเบียบ คำสั่ง ข้อบังคับและประกาศอื่น ๆ
4)แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ คณะทำงาน เป็นที่ปรึกษา
ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลเป็นไปอย่างรวดเร็ว มีเอกภาพและประสิทธิภาพในการส่งเสริมสนับสนุนกระบวนการพัฒนาท้องถิ่น ซึ่งจะเสริมสร้างชุมชนให้เข้มแข็งพึ่งตนเองได้ รวมทั้งประชาชนได้มีส่วนร่วมในการสร้างงานและรายได้ด้วยการนำทรัพยากรภูมิปัญญาในท้องถิ่นมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพเป็นจุดเด่น และมีมูลค่าเพิ่มเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ สอดคล้องกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของท้องถิ่น
2. การจัดทำความตกลงร่วมมือด้านการลงทุนระหว่างไทย-ลาว
ไทยและลาวได้ลงนามต่ออายุความตกลงร่วมมือด้านการลงทุนระหว่างกัน เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2544 ณ ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ด้านการลงทุนและสนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมการลงทุนระหว่างกัน (ความตกลงฉบับเดิม ลงนามเมื่อปี 2536) โดยจะมีความร่วมมือดังนี้
1) แลกเปลี่ยนเจ้าหน้าที่และข่าวสารระหว่างกัน
2) ร่วมกันส่งเสริมโครงการลงทุนที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน
3) ให้ความช่วยเหลือจัดฝึกอบรมแก่เจ้าหน้าที่ลาว
4)สนับสนุนและอำนวยความสะดวกซึ่งกันและกันในการหาข้อมูลด้านการลงทุน ความตกลงฉบับใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้เป็นเวลา 2 ปี และต่ออายุโดยอัตโนมัติโดยไม่มีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุด เว้นแต่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะบอกเลิกความตกลงนี้เป็นลายลักษณ์อักษร
3. หลักเกณฑ์การจัดสรรเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (เงินกู้ SAL)
ค.ร.ม.มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างของเศรษฐกิจ (เงินกู้ SAL) โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้มีอำนาจพิจารณาอนุมัติจัดสรรการใช้จ่ายเงินกู้ SAL ในแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ในส่วนที่เหลือ เพื่อให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด หลักเกณฑ์การพิจารณาต้องเป็นแผนงาน/โครงการที่เกี่ยวข้องกับ
1) การปรับแผนกลยุทธ์เพื่อการพัฒนา และเพื่อการปฏิรูปในด้านต่าง ๆ 2) แผนงาน/โครงการที่สามารถเพิ่มรายได้ให้ประชาชนหรือประเทศได้อย่างเห็นได้ชัดเจน
3) แผนงาน/โครงการจำเป็นเร่งด่วนตามนโยบายรัฐบาลที่ไม่สามารถจัดสรรเงินงบประมาณได้ทัน
4) แผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพ การบริหารและจัดการองค์กรของรัฐ 5) แผนงาน/โครงการด้านการศึกษา วิเคราะห์วิจัย (รวมทั้งการจ้างที่ปรึกษาหรือบริษัทที่ปรึกษา) เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการด้านเศรษฐกิจที่สำคัญเร่งด่วน หรือที่สอดคล้องกับนโยบายการปรับแผนกลยุทธ์เพื่อการพัฒนาและการปฏิรูปทางเศรษฐกิจของรัฐบาล
วงเงินที่จะจัดสรรให้แต่ละแผนงาน/โครงการไม่เกิน 300 ล้านบาท หากเกินจากนี้ให้ขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี และเมื่อได้ทำการจัดสรรไปแล้ว ให้รายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ
นอกจากนี้ จะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองโครงการที่ขอใช้เงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (เงินกู้ SAL) เพื่อให้การพิจารณาจัดสรรเงินกู้ SAL ของกระทรวงการคลังเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ โดยมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน และมีอำนาจหน้าที่ดังนี้
1) พิจารณากลั่นกรองและจัดลำดับความสำคัญของโครงการที่ขอใช้เงินกู้ SAL เพื่อเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาอนุมัติ
2)แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาวิเคราะห์การดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการเงินกู้ SAL และคณะทำงานเพื่อการตรวจสอบผลการดำเนินแผนงาน/โครงการ และดำเนินการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเงินกู้ SAL ตามที่คณะรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะมอบหมาย
4. ความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออก ความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออก
ซึ่งได้มีการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและผู้ผลิต/ผู้ส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2544 มีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
1) ปัญหาสำคัญของอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าอื่น ๆ (1) ต้นทุนการผลิตสูง เนื่องจาก - การคืนภาษีมูลค่าเพิ่มล่าช้า ทำให้เกิดปัญหาสภาพคล่อง
- โครงสร้างภาษีนำเข้าวัตถุดิบสูงกว่าภาษีนำเข้าสินค้าสำเร็จรูป
ทำให้สินค้าที่ผลิตได้ภายในประเทศมีต้นทุนสูงกว่าสินค้านำเข้า และเป็นการส่งเสริมให้มีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศแทนที่จะซื้อจากภายในประเทศ รวมทั้งอัตราภาษีนำเข้าสินค้าวัตถุดิบของไทยสูงกว่าประเทศคู่แข่งในเอเซียคือ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม
(2) มาตรฐานสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในประเทศเป็นมาตรฐานตามความสมัครใจไม่ใช่มาตรฐานบังคับ ทำให้มีการนำเข้าสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้มาตรฐานและราคาถูกมาทุ่มตลาดภายในประเทศ เป็นการทำลายอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในประเทศ 2) มติที่ประชุม ให้ดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาดังนี้ (1) ซึ่งกรมสรรพากรได้ออกมาตรการเร่งรัดการคืนภาษีเพิ่มเติมโดยจะคืนภาษีภายใน 30 วัน ทั้งนี้ หากไม่เป็นไปตามกำหนดผู้ประกอบการสามารถร้องเรียนได้ (2) การปรับโครงสร้างภาษีนำเข้าทั้งระบบ มอบหมายให้
กระทรวงการคลังและกระทรวงอุตสาหกรรมเร่งดำเนินการปรับโครงสร้างภาษีสำหรับสินค้าที่ไม่มีขั้นตอนซับซ้อนและไม่ส่งผลกระทบกับอุตสาหกรรมอื่นจากสินค้าที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาประมาณ 5,800 รายการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม เป็นต้นไป กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงการคลังดำเนินการพิจารณาสินค้าที่เหลือจาก 5,800 รายการ ข้างต้น โดยให้สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทยร่วมกับผู้ประกอบการแต่ละอุตสาหกรรมไปจัดทำตัวเลขให้เห็นอย่างชัดเจน และยืนยันว่าเมื่อดำเนินการลดภาษีนำเข้าให้แล้ว อุตสาหกรรมดังกล่าวจะต้องมีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศดีขึ้นในระยะยาว (3) การกำหนดมาตรฐานสินค้า ให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งกำหนดมาตรฐานสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้านำเข้าทุกประเภท รวมทั้งกำหนดมาตรการขั้นตอนในการตรวจสอบคุณภาพ มาตรฐานและการทดสอบสินค้า เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศ ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวจะต้องไม่ก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการส่งออกของประเทศ รวมทั้งให้ดำเนินการสำรวจเครื่องมือที่จะใช้ในการทดสอบและบุคลากร หากมีไม่เพียงพอให้ดำเนินการของบประมาณเพิ่มเติมต่อไป 5. ค.ร.ม. มีมติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจเพื่อเข้าร่วมโครงการความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสหภาพยุโรปกับประเทศไทยด้านมาตรฐาน คุณภาพและการรับรอง ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมบันทึกความเข้าใจฉบับเดิม ที่สิ้นสุดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2543 และทั้งสองฝ่ายยังมิได้ดำเนินการใด ๆ เนื่องจากปัญหาขัดข้องของฝ่ายยุโรป จึงขยายระยะเวลาของโครงการฯ ออกไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2548
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ โทร. 281-9723, 282-6171-9 : 1176-7 โทรสาร. 82-6623--จบ--
-สส-
โดยมีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่นายกฯ มอบหมายเป็นประธาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นรองประธาน และประกอบด้วยรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง และผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นกรรมการ ปลัดกระทรวงมหาดไทยเป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่ดังนี้
1) กำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์และแผนแม่บทการดำเนินงานเพื่อให้เกิดบูรณาการในการจัดทำแผนและงบประมาณของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง
2) ศึกษา เสนอแนะและให้คำปรึกษาแก่คณะรัฐมนตรี 3) ออกระเบียบ คำสั่ง ข้อบังคับและประกาศอื่น ๆ
4)แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ คณะทำงาน เป็นที่ปรึกษา
ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลเป็นไปอย่างรวดเร็ว มีเอกภาพและประสิทธิภาพในการส่งเสริมสนับสนุนกระบวนการพัฒนาท้องถิ่น ซึ่งจะเสริมสร้างชุมชนให้เข้มแข็งพึ่งตนเองได้ รวมทั้งประชาชนได้มีส่วนร่วมในการสร้างงานและรายได้ด้วยการนำทรัพยากรภูมิปัญญาในท้องถิ่นมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพเป็นจุดเด่น และมีมูลค่าเพิ่มเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ สอดคล้องกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของท้องถิ่น
2. การจัดทำความตกลงร่วมมือด้านการลงทุนระหว่างไทย-ลาว
ไทยและลาวได้ลงนามต่ออายุความตกลงร่วมมือด้านการลงทุนระหว่างกัน เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2544 ณ ทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพฯ เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ด้านการลงทุนและสนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมการลงทุนระหว่างกัน (ความตกลงฉบับเดิม ลงนามเมื่อปี 2536) โดยจะมีความร่วมมือดังนี้
1) แลกเปลี่ยนเจ้าหน้าที่และข่าวสารระหว่างกัน
2) ร่วมกันส่งเสริมโครงการลงทุนที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน
3) ให้ความช่วยเหลือจัดฝึกอบรมแก่เจ้าหน้าที่ลาว
4)สนับสนุนและอำนวยความสะดวกซึ่งกันและกันในการหาข้อมูลด้านการลงทุน ความตกลงฉบับใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้เป็นเวลา 2 ปี และต่ออายุโดยอัตโนมัติโดยไม่มีกำหนดระยะเวลาสิ้นสุด เว้นแต่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะบอกเลิกความตกลงนี้เป็นลายลักษณ์อักษร
3. หลักเกณฑ์การจัดสรรเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (เงินกู้ SAL)
ค.ร.ม.มีมติเห็นชอบหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างของเศรษฐกิจ (เงินกู้ SAL) โดยให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้มีอำนาจพิจารณาอนุมัติจัดสรรการใช้จ่ายเงินกู้ SAL ในแผนงาน/โครงการต่าง ๆ ในส่วนที่เหลือ เพื่อให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด หลักเกณฑ์การพิจารณาต้องเป็นแผนงาน/โครงการที่เกี่ยวข้องกับ
1) การปรับแผนกลยุทธ์เพื่อการพัฒนา และเพื่อการปฏิรูปในด้านต่าง ๆ 2) แผนงาน/โครงการที่สามารถเพิ่มรายได้ให้ประชาชนหรือประเทศได้อย่างเห็นได้ชัดเจน
3) แผนงาน/โครงการจำเป็นเร่งด่วนตามนโยบายรัฐบาลที่ไม่สามารถจัดสรรเงินงบประมาณได้ทัน
4) แผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพ การบริหารและจัดการองค์กรของรัฐ 5) แผนงาน/โครงการด้านการศึกษา วิเคราะห์วิจัย (รวมทั้งการจ้างที่ปรึกษาหรือบริษัทที่ปรึกษา) เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการด้านเศรษฐกิจที่สำคัญเร่งด่วน หรือที่สอดคล้องกับนโยบายการปรับแผนกลยุทธ์เพื่อการพัฒนาและการปฏิรูปทางเศรษฐกิจของรัฐบาล
วงเงินที่จะจัดสรรให้แต่ละแผนงาน/โครงการไม่เกิน 300 ล้านบาท หากเกินจากนี้ให้ขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี และเมื่อได้ทำการจัดสรรไปแล้ว ให้รายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ
นอกจากนี้ จะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองโครงการที่ขอใช้เงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ (เงินกู้ SAL) เพื่อให้การพิจารณาจัดสรรเงินกู้ SAL ของกระทรวงการคลังเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ โดยมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน และมีอำนาจหน้าที่ดังนี้
1) พิจารณากลั่นกรองและจัดลำดับความสำคัญของโครงการที่ขอใช้เงินกู้ SAL เพื่อเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาอนุมัติ
2)แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาวิเคราะห์การดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการเงินกู้ SAL และคณะทำงานเพื่อการตรวจสอบผลการดำเนินแผนงาน/โครงการ และดำเนินการในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเงินกู้ SAL ตามที่คณะรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจะมอบหมาย
4. ความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออก ความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออก
ซึ่งได้มีการประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและผู้ผลิต/ผู้ส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าและเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2544 มีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
1) ปัญหาสำคัญของอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าอื่น ๆ (1) ต้นทุนการผลิตสูง เนื่องจาก - การคืนภาษีมูลค่าเพิ่มล่าช้า ทำให้เกิดปัญหาสภาพคล่อง
- โครงสร้างภาษีนำเข้าวัตถุดิบสูงกว่าภาษีนำเข้าสินค้าสำเร็จรูป
ทำให้สินค้าที่ผลิตได้ภายในประเทศมีต้นทุนสูงกว่าสินค้านำเข้า และเป็นการส่งเสริมให้มีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศแทนที่จะซื้อจากภายในประเทศ รวมทั้งอัตราภาษีนำเข้าสินค้าวัตถุดิบของไทยสูงกว่าประเทศคู่แข่งในเอเซียคือ มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม
(2) มาตรฐานสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในประเทศเป็นมาตรฐานตามความสมัครใจไม่ใช่มาตรฐานบังคับ ทำให้มีการนำเข้าสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้มาตรฐานและราคาถูกมาทุ่มตลาดภายในประเทศ เป็นการทำลายอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในประเทศ 2) มติที่ประชุม ให้ดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาดังนี้ (1) ซึ่งกรมสรรพากรได้ออกมาตรการเร่งรัดการคืนภาษีเพิ่มเติมโดยจะคืนภาษีภายใน 30 วัน ทั้งนี้ หากไม่เป็นไปตามกำหนดผู้ประกอบการสามารถร้องเรียนได้ (2) การปรับโครงสร้างภาษีนำเข้าทั้งระบบ มอบหมายให้
กระทรวงการคลังและกระทรวงอุตสาหกรรมเร่งดำเนินการปรับโครงสร้างภาษีสำหรับสินค้าที่ไม่มีขั้นตอนซับซ้อนและไม่ส่งผลกระทบกับอุตสาหกรรมอื่นจากสินค้าที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาประมาณ 5,800 รายการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม เป็นต้นไป กระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงการคลังดำเนินการพิจารณาสินค้าที่เหลือจาก 5,800 รายการ ข้างต้น โดยให้สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทยร่วมกับผู้ประกอบการแต่ละอุตสาหกรรมไปจัดทำตัวเลขให้เห็นอย่างชัดเจน และยืนยันว่าเมื่อดำเนินการลดภาษีนำเข้าให้แล้ว อุตสาหกรรมดังกล่าวจะต้องมีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศดีขึ้นในระยะยาว (3) การกำหนดมาตรฐานสินค้า ให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งกำหนดมาตรฐานสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้านำเข้าทุกประเภท รวมทั้งกำหนดมาตรการขั้นตอนในการตรวจสอบคุณภาพ มาตรฐานและการทดสอบสินค้า เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศ ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวจะต้องไม่ก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการส่งออกของประเทศ รวมทั้งให้ดำเนินการสำรวจเครื่องมือที่จะใช้ในการทดสอบและบุคลากร หากมีไม่เพียงพอให้ดำเนินการของบประมาณเพิ่มเติมต่อไป 5. ค.ร.ม. มีมติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจเพื่อเข้าร่วมโครงการความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างสหภาพยุโรปกับประเทศไทยด้านมาตรฐาน คุณภาพและการรับรอง ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมบันทึกความเข้าใจฉบับเดิม ที่สิ้นสุดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2543 และทั้งสองฝ่ายยังมิได้ดำเนินการใด ๆ เนื่องจากปัญหาขัดข้องของฝ่ายยุโรป จึงขยายระยะเวลาของโครงการฯ ออกไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2548
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ กรมเศรษฐกิจการพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ โทร. 281-9723, 282-6171-9 : 1176-7 โทรสาร. 82-6623--จบ--
-สส-