3 ปี หลังการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้นในปี 2540 ขณะนี้ได้มีสัญญาณหลายอย่าง ที่แสดงให้เห็นว่า ภาวะเศรษฐกิจ ของประเทศเริ่ม ฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจนและมีเสถียรภาพ เช่น ฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศ มีความเพียงพอ อัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อ อยู่ในระดับต่ำ ประชาชนเชื่อมั่นในสถาบันการเงินมากขึ้น ขณะที่ภาคการเงิน ธนาคารและค่าเงินบาท ก็มีความมั่นคงขึ้นมากกว่าเดิม โดยสถาบันการเงินต่างๆ ได้กันหนี้ที่สงสัยจะสูญ ในระดับที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนด และเพิ่มทุนได้ด้วยตัวเอง
ทางด้านผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ก็มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นผลมาจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การบริโภคและการลงทุน ของภาคเอกชน ที่เริ่มมีการขยายตัว นอกจากนี้ จำนวนผู้ประกันตัวในระบบประกันสังคม ก็ได้แสดงถึงระดับการจ้างงานมีจำนวนสูงขึ้น
สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นนี้ เป็นผลมาจากการท ี่รัฐบาลได้ดำเนิน นโยบายแก้ไข ปัญหา เศรษฐกิจ มาตราการต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และบรรเทาผลกระทบทางสังคม ไปพร้อมๆกับการรักษา เสถียรภาพของเศรษฐกิจ เช่น การเพิ่มทุนสำรองเงินทุนระหว่างประเทศ การแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อและ อัตราดอกเบี้ย การสร้างความมั่นคงให้กับสถาบันการเงิน การดูแลปัญหาความยากจน และสวัสดิการสังคม การสร้างความมั่นใจทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังได้มีการออกมาตราการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นคงของระบบการเงิน และเพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวโดยเร็ว เช่น การออกแผนฟื้นฟู ระบบสถาบันการเงิน (มาตราการ 14 สิงหาคม 2541) เพื่อสนับสนุนการเพิ่มทุน
การออกมาตราการการคลัง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการบรรเทา ผลกระทบทางสังคม (มาตราการ30 มีนาคม 2542) มาตราการเพิ่มการใช้จ่าย ภาครัฐเพื่อการกระตุ้นการจ้างงาน เพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยและ ช่วยเหลือ กลุ่มคนผู้ด้อยโอกาสทางสังคม รวมทั้งมาตราการทางภาษีเพื่อกระตุ้นการบริโภค และการลงทุนของภาคเอกชน
รวมทั้งได้ออกมาตราการสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชน(มาตราการ 10 สิงหาคม 2542) อันได้แก่ มาตรา การด้าน ภาษีเพื่อกระตุ้นการผลิต มาตราการสนับสนุนด้านเงินทุนแก่ภาคธุรกิจ มาตราการฟื้นฟูอสังหาริมทรัพย์ มาตราการปรับโครงสร้างทางการเงินสำหรับวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม ตลอดจน การออก มาตรา การเสริม การพัฒนาชนบท และชุมชน (มาตราการ 8 สิงหาคม 2543) เพื่อสร้าง ความเข้มแข็งให้แก่ องค์กร ปกครอง ส่วนท้องถิ่นเป็นต้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสัญญาณดังกล่าว จะแสดงให้เห็นว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย ได้เริ่มปรับตัวเข้มแข็งขึ้น แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ก็ยังไม่กระจายออกไปทุกภาคเศรษฐกิจ และยังมีปัจจัยภายนอก ซึ่งไม่สามารถ ควบคุมได้ หลายอย่างที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ เช่น ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น การปรับตัวของตลาดทุนในสหัฐอเมริกา ภูมิภาคและในประเทศราคาสินค้าเกษตรในตลาดต่างประเทศที่ตกต่ำ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งขึ้น ประกอบกับมีความจำเป็น ทีต้องเร่งแก่ปัญหาหนี้ ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ให้เร็วขึ้น และสภาวะการเมือง ยังมีความไม่แน่นอน เนืองจากจะมีการ เลือกตั้งทั่วไป ในระยะเวลาอันใกล้ ทำให้ประชาชน และนักลงทุนเป็นห่วงเรื่องความต่อ เนื่องของนโยบายการแก้ปัญหา เศรษฐกิจของรัฐบาลอาจ ทำให้การบริโภค และการลงทุน ของภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอตัวลง ซึ่งจะส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2544
ดังนั้นคณะรัฐมนตรี จึงได้มีมติเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2543 เห็นชอบมาตราการเสริมความเข็มแข็ง ของระบบเศรษฐกิจ เพื่อรักษาระดับอัตราการเจริญเติบโตทางให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องในปี 2544 และ เป็นตาข่ายรองรับความปลอดภัย (Safety Net) ให้แก่ระบบเศรษฐกิจ โดยมาตราการ 31 ตุลาคม 2543 นี้ประกอบด้วย
มาตราการทางการคลังได้แก่ 1) มาตราการขยายระยะเวลาการลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม 2)มาตราการช่วยเหลือเกษตรกร 3)มาตราการสนับสนุนโครงการแก้ปัญหาความยากจน 4)มาตราการสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู 5)มาตราการปรับปรุงอากรขาเข้าและ 6)มาตราการออมผ่านกองทุนรวมเพื่อเกษียณอายุ
มาตราการทางการเงิน ได้แก่ 1)แผนการให้สินเชื่อและการค้ำประกันสินเชื่อแก่วิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม(SMEs) ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจและ 2)มาตราการขยายบทบาท และระยะเวลาในการดำเนิน งานของศูนย์ ให้คำปรึกษาทางการเงินแก่วิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และ ประชาชน(ศงป.)ต่อไปอีกสองปี
บทความพิเศษ จาก ศูนย์การวิชาการเศรษฐศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์--จบ--
--สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง--
-อน-
ทางด้านผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ก็มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นผลมาจากการส่งออกที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การบริโภคและการลงทุน ของภาคเอกชน ที่เริ่มมีการขยายตัว นอกจากนี้ จำนวนผู้ประกันตัวในระบบประกันสังคม ก็ได้แสดงถึงระดับการจ้างงานมีจำนวนสูงขึ้น
สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นนี้ เป็นผลมาจากการท ี่รัฐบาลได้ดำเนิน นโยบายแก้ไข ปัญหา เศรษฐกิจ มาตราการต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และบรรเทาผลกระทบทางสังคม ไปพร้อมๆกับการรักษา เสถียรภาพของเศรษฐกิจ เช่น การเพิ่มทุนสำรองเงินทุนระหว่างประเทศ การแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อและ อัตราดอกเบี้ย การสร้างความมั่นคงให้กับสถาบันการเงิน การดูแลปัญหาความยากจน และสวัสดิการสังคม การสร้างความมั่นใจทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังได้มีการออกมาตราการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นคงของระบบการเงิน และเพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวโดยเร็ว เช่น การออกแผนฟื้นฟู ระบบสถาบันการเงิน (มาตราการ 14 สิงหาคม 2541) เพื่อสนับสนุนการเพิ่มทุน
การออกมาตราการการคลัง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการบรรเทา ผลกระทบทางสังคม (มาตราการ30 มีนาคม 2542) มาตราการเพิ่มการใช้จ่าย ภาครัฐเพื่อการกระตุ้นการจ้างงาน เพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยและ ช่วยเหลือ กลุ่มคนผู้ด้อยโอกาสทางสังคม รวมทั้งมาตราการทางภาษีเพื่อกระตุ้นการบริโภค และการลงทุนของภาคเอกชน
รวมทั้งได้ออกมาตราการสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชน(มาตราการ 10 สิงหาคม 2542) อันได้แก่ มาตรา การด้าน ภาษีเพื่อกระตุ้นการผลิต มาตราการสนับสนุนด้านเงินทุนแก่ภาคธุรกิจ มาตราการฟื้นฟูอสังหาริมทรัพย์ มาตราการปรับโครงสร้างทางการเงินสำหรับวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม ตลอดจน การออก มาตรา การเสริม การพัฒนาชนบท และชุมชน (มาตราการ 8 สิงหาคม 2543) เพื่อสร้าง ความเข้มแข็งให้แก่ องค์กร ปกครอง ส่วนท้องถิ่นเป็นต้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสัญญาณดังกล่าว จะแสดงให้เห็นว่าพื้นฐานของเศรษฐกิจไทย ได้เริ่มปรับตัวเข้มแข็งขึ้น แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ก็ยังไม่กระจายออกไปทุกภาคเศรษฐกิจ และยังมีปัจจัยภายนอก ซึ่งไม่สามารถ ควบคุมได้ หลายอย่างที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ เช่น ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น การปรับตัวของตลาดทุนในสหัฐอเมริกา ภูมิภาคและในประเทศราคาสินค้าเกษตรในตลาดต่างประเทศที่ตกต่ำ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งขึ้น ประกอบกับมีความจำเป็น ทีต้องเร่งแก่ปัญหาหนี้ ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ให้เร็วขึ้น และสภาวะการเมือง ยังมีความไม่แน่นอน เนืองจากจะมีการ เลือกตั้งทั่วไป ในระยะเวลาอันใกล้ ทำให้ประชาชน และนักลงทุนเป็นห่วงเรื่องความต่อ เนื่องของนโยบายการแก้ปัญหา เศรษฐกิจของรัฐบาลอาจ ทำให้การบริโภค และการลงทุน ของภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอตัวลง ซึ่งจะส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2544
ดังนั้นคณะรัฐมนตรี จึงได้มีมติเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2543 เห็นชอบมาตราการเสริมความเข็มแข็ง ของระบบเศรษฐกิจ เพื่อรักษาระดับอัตราการเจริญเติบโตทางให้เป็นไปอย่างต่อเนื่องในปี 2544 และ เป็นตาข่ายรองรับความปลอดภัย (Safety Net) ให้แก่ระบบเศรษฐกิจ โดยมาตราการ 31 ตุลาคม 2543 นี้ประกอบด้วย
มาตราการทางการคลังได้แก่ 1) มาตราการขยายระยะเวลาการลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม 2)มาตราการช่วยเหลือเกษตรกร 3)มาตราการสนับสนุนโครงการแก้ปัญหาความยากจน 4)มาตราการสนับสนุนเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู 5)มาตราการปรับปรุงอากรขาเข้าและ 6)มาตราการออมผ่านกองทุนรวมเพื่อเกษียณอายุ
มาตราการทางการเงิน ได้แก่ 1)แผนการให้สินเชื่อและการค้ำประกันสินเชื่อแก่วิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม(SMEs) ผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจและ 2)มาตราการขยายบทบาท และระยะเวลาในการดำเนิน งานของศูนย์ ให้คำปรึกษาทางการเงินแก่วิสาหกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และ ประชาชน(ศงป.)ต่อไปอีกสองปี
บทความพิเศษ จาก ศูนย์การวิชาการเศรษฐศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์--จบ--
--สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง--
-อน-