กรุงเทพฯ--24 ธ.ค.--กระทรวงการต่างประเทศ
เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2544 ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับการเยือนสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 13-19 ธันวาคม 2544 โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้
1. จากการเยือนสกรัฐฯ ครั้งนี้ ทำให้ทราบว่าสหรัฐฯ ได้ให้ความสำคัญกับไทยมากขึ้นโดยมองไทยว่าเป็นประเทศมีบทบาทอย่างมากภายในภูมิภาค ซึ่งจะเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐฯ แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
2. ช่วงเวลาการเยือนสหรัฐฯ ครั้งนี้ นับว่าเป็นช่วงที่เหมาะสม เนื่องจาก 1) เป็นการเยือนภายหลังเหตุการณ์การก่อวินาศกรรมเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 2) เป็นช่วงเวลาที่ผ่านไทยได้ดำเนินการในเรื่องการต่างประเทศที่สำคัญให้เป็นรูปธรรมบ้างแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในนโยบายต่างประเทศของไทย อาทิ การแสวงหาความร่วมมือด้านการปราบปรามยาเสพติดกับ จีน ลาว และพม่า การกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือทางยุทธศาสตร์จีน การดำเนินการด้านการเปิดเสรีทางการค้าระหว่างอาเซียน-จีน การลงนามในกรอบความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจกับญี่ปุ่น การดำเนินการด้านความมั่นคงและการเปิดเสรีทางการค้าระหว่างอาเซียน-อินเดีย การฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น ซึ่งทำให้ฝ่ายสหรัฐฯ สนใจที่จะหารือกับไทยในเรื่องดังกล่าว และมองถึงศักยภาพและบทบาทของไทยด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจในการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคที่โดดเด่นมากขึ้น
3. ในระหว่างการเยือนครั้งนี้ เป็นที่สังเกตได้ว่าประเด็นเรื่องความมั่นคงและเศรษฐกิจ เป็นประเด็นมีความสัมพันธ์กัน โดยภาคเอกชนของสหรัฐฯ ซึ่งนอกจากจะให้ความสนใจเรื่องสภาวะเศรษฐกิจและนโยบายเศรษฐกิจของไทยแล้ว ยังได้แสดงความสนใจในบทบาทด้านความมั่นคงของไทยด้วย โดยเฉพาะร่วมมือด้านการต่อต้านและปราบปรามก่อการร้าย ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝ่ายไทยได้ดำเนินการมาอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ไทยได้ลงนามเป็นภาคีอนุสัญญาที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านและปราบปรามการก่อการร้ายของสหประชาชาติ รวมถึงพิธีสารว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (สตรีและเด็ก) และพิธีสารว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบขนผู้ย้ายถิ่น ณ นครนิวยอร์ค
4. เกี่ยวกับบทบาทของไทยในสถานการณ์ในอัฟกานิสถานนั้น ไทยได้ดำเนินการส่งมอบข้าวให้อัฟกานิสถานจำนวน 3 พันตันแล้ว นอกจากนี้ไทยได้แสดงความพร้อมหากได้รับการร้องขอในเรื่องการส่งกำลังทหารเพื่อช่วยกู้ระเบิด หรือทีมแพทย์ทหาร และทีมวิศวกรทหาร เพื่อช่วยฟื้นฟูและพัฒนาอัฟกานิสถาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยแสดงบทบาทที่ประสบความสำเร็จในติมอร์ตะวันออกมาแล้ว รวมไปถึงการช่วยเหลือและให้คำแนะนำในการปราบปรามยาเสพติดโดยใช้แนวทางของโครงการหลวง เพื่อลดการปลูกฝิ่นในอัฟกานิสถาน เป็นต้น
5. ในเรื่องกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจนั้น เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนในความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่าย ซึ่งกรอบความร่วมมือดังกล่าวถือได้ว่าเป็นวิสัยทัศน์ที่จะเป็นสิ่งชี้นำแนวทางความร่วมมือในอนาคต และสะท้อนความร่วมมือทางเศรษฐกิจสมัยใหม่ และในกรอบความร่วมมือดังกล่าวได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของไทยที่จะเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคนี้ อาทิ การเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางอากาศ ศูนย์กลางการผลิตชิ้นส่วนอากาศยาน เป็นต้น ซึ่งฝ่ายสหรัฐฯ จะได้สนับสนุนและช่วยเหลือไทยในเรื่องการปรับปรุงโครงสร้างด้านการบิน และจะได้ให้การสนับสนุนโดยให้องค์การการค้าและการพัฒนา (Trade and Development Agency-TDA) มาจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคในประเทศไทย โดยสำนักงานดังกล่าวจะมีส่วนช่วยส่งเสริมให้บริษัทต่างประเทศเข้ามาลงทุนในไทยด้วย สิ่งเหล่านี้ เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ในลักษณะหุ้นส่วนกัน
6. นอกจากนี้ ในเรื่องความร่วมมือระหว่างสองฝ่ายเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าวในตลาดโลกนั้น ฝ่ายไทยก็ได้มีการหารือเรื่องนี้ในหลักการกับฝ่ายสหรัฐฯ แล้วเช่นเดียวกันกับประเทศอื่นๆ ที่หารือในหลักการเรื่องนี้แล้ว เช่น ปากีสถาน และอินเดีย และได้เริ่มปฏิบัติแล้วกับเวียดนาม ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองฝ่ายก็จะต้องดำเนินการต่อไป
7. เกี่ยวกับเรื่องการลงนามใน Memorandum of Understanding on Matching Fund ระหว่างภาคเอกชนไทยและสหรัฐฯ ซึ่งจะมีวงเงินประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยฝ่ายสหรัฐฯ จะสนับสนุนวงเงินประมาณ 400 ล้านเหรียญ และฝ่ายไทยจะสนับสนุนวงเงินประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ นั้น เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อภาคธุรกิจของไทย เนื่องจากวงเงินดังกล่าว จะนำมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของไทย
8. นอกจากนี้ ในช่วงระหว่างการพบปะกับนักธุรกิจสหรัฐฯ นั้น นายกรัฐมนตรีได้มีโอกาสพูดถึงนโยบาย Dual Track Policy ของไทยที่เน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้าภายในประเทศ และการส่งเสริมการลงทุนและการค้ากับต่างประเทศให้ไปควบคู่กันนั้น ได้รับความสนใจและความเข้าใจจากนักธุรกิจดังกล่าวเป็นจำนวนมาก
9. ในระหว่างการเข้าพบปะหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการสหประชาชาติที่นครนิวยอร์ค ฝ่ายไทยได้แจ้งว่าไทยต้องการเป็นสมาชิกที่มีบทบาทในสหประชาชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ไทยมีบทบาทช่วยส่งเสริมการปรองดองแห่งชาติในพม่า เนื่องจากไทย (1) มีพรมแดนติดกับพม่า (2) มีความรู้จักคุ้นเคยกับชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดนไทย-พม่า และ (3) มีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างรัฐบาลไทยและพม่า รวมถึงผู้นำฝ่ายค้านของพม่าด้วย และไทยยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศตะวันตก และประเทศต่างๆ ในภูมิภาค เช่น จีนและอินเดีย ซึ่งในเรื่องนี้เลขาธิการสหประชาชาติเสนอที่จะให้นาย Ismail Razali ผู้แทนพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติเข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อหารือเรื่องดังกล่าวต่อไปด้วย
10.นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้หยิบยกเรื่องโครงการอาหารโลก (World Food Programe) และกองทุนเงินบำเหน็จบำนาญสหประชาชาติ (UN Pension Fund) ขึ้นหารือกับเลขาธิการสหประชาชาติ โดยฝ่ายไทยจะพิจารณาเรื่องอุปสรรคทางภาษี เพื่ออำนวยความสะดวกให้สหประชาชาติซื้อสินค้าจากไทยมากขึ้น และให้นำเงินจากกองทุนบำเหน็จบำนาญฯมาลงทุนในประเทศไทย และนายกรัฐมนตรีได้หารือเรื่อง World Concert for Peace ในวันที่ 11 มกราคม 2545 โดยเชิญเลขาธิการสหประชาชาติหรือผู้แทนเข้าร่วมด้วย ในการนี้ เลขาธิการได้แสดงความพอใจบทบาทของไทยในด้านต่างๆ โดยเฉพาะความร่วมมือ 4 ประเทศในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และการแสดงความพร้อมของไทยที่จะเข้าไปฟื้นฟูและพัฒนาในอัฟกานิสถาน
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7Press Division, Department of Information Tel. 643-5105 Fax. 643-5106-7 E-mail : div0704@mfa.go.th-- จบ--
-อน-
เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2544 ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนเกี่ยวกับการเยือนสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 13-19 ธันวาคม 2544 โดยมีประเด็นสำคัญ ดังนี้
1. จากการเยือนสกรัฐฯ ครั้งนี้ ทำให้ทราบว่าสหรัฐฯ ได้ให้ความสำคัญกับไทยมากขึ้นโดยมองไทยว่าเป็นประเทศมีบทบาทอย่างมากภายในภูมิภาค ซึ่งจะเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐฯ แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
2. ช่วงเวลาการเยือนสหรัฐฯ ครั้งนี้ นับว่าเป็นช่วงที่เหมาะสม เนื่องจาก 1) เป็นการเยือนภายหลังเหตุการณ์การก่อวินาศกรรมเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 2) เป็นช่วงเวลาที่ผ่านไทยได้ดำเนินการในเรื่องการต่างประเทศที่สำคัญให้เป็นรูปธรรมบ้างแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในนโยบายต่างประเทศของไทย อาทิ การแสวงหาความร่วมมือด้านการปราบปรามยาเสพติดกับ จีน ลาว และพม่า การกระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือทางยุทธศาสตร์จีน การดำเนินการด้านการเปิดเสรีทางการค้าระหว่างอาเซียน-จีน การลงนามในกรอบความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจกับญี่ปุ่น การดำเนินการด้านความมั่นคงและการเปิดเสรีทางการค้าระหว่างอาเซียน-อินเดีย การฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น ซึ่งทำให้ฝ่ายสหรัฐฯ สนใจที่จะหารือกับไทยในเรื่องดังกล่าว และมองถึงศักยภาพและบทบาทของไทยด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจในการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคที่โดดเด่นมากขึ้น
3. ในระหว่างการเยือนครั้งนี้ เป็นที่สังเกตได้ว่าประเด็นเรื่องความมั่นคงและเศรษฐกิจ เป็นประเด็นมีความสัมพันธ์กัน โดยภาคเอกชนของสหรัฐฯ ซึ่งนอกจากจะให้ความสนใจเรื่องสภาวะเศรษฐกิจและนโยบายเศรษฐกิจของไทยแล้ว ยังได้แสดงความสนใจในบทบาทด้านความมั่นคงของไทยด้วย โดยเฉพาะร่วมมือด้านการต่อต้านและปราบปรามก่อการร้าย ซึ่งเป็นสิ่งที่ฝ่ายไทยได้ดำเนินการมาอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ไทยได้ลงนามเป็นภาคีอนุสัญญาที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านและปราบปรามการก่อการร้ายของสหประชาชาติ รวมถึงพิธีสารว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (สตรีและเด็ก) และพิธีสารว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบขนผู้ย้ายถิ่น ณ นครนิวยอร์ค
4. เกี่ยวกับบทบาทของไทยในสถานการณ์ในอัฟกานิสถานนั้น ไทยได้ดำเนินการส่งมอบข้าวให้อัฟกานิสถานจำนวน 3 พันตันแล้ว นอกจากนี้ไทยได้แสดงความพร้อมหากได้รับการร้องขอในเรื่องการส่งกำลังทหารเพื่อช่วยกู้ระเบิด หรือทีมแพทย์ทหาร และทีมวิศวกรทหาร เพื่อช่วยฟื้นฟูและพัฒนาอัฟกานิสถาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไทยแสดงบทบาทที่ประสบความสำเร็จในติมอร์ตะวันออกมาแล้ว รวมไปถึงการช่วยเหลือและให้คำแนะนำในการปราบปรามยาเสพติดโดยใช้แนวทางของโครงการหลวง เพื่อลดการปลูกฝิ่นในอัฟกานิสถาน เป็นต้น
5. ในเรื่องกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจนั้น เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนในความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่าย ซึ่งกรอบความร่วมมือดังกล่าวถือได้ว่าเป็นวิสัยทัศน์ที่จะเป็นสิ่งชี้นำแนวทางความร่วมมือในอนาคต และสะท้อนความร่วมมือทางเศรษฐกิจสมัยใหม่ และในกรอบความร่วมมือดังกล่าวได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของไทยที่จะเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคนี้ อาทิ การเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าทางอากาศ ศูนย์กลางการผลิตชิ้นส่วนอากาศยาน เป็นต้น ซึ่งฝ่ายสหรัฐฯ จะได้สนับสนุนและช่วยเหลือไทยในเรื่องการปรับปรุงโครงสร้างด้านการบิน และจะได้ให้การสนับสนุนโดยให้องค์การการค้าและการพัฒนา (Trade and Development Agency-TDA) มาจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคในประเทศไทย โดยสำนักงานดังกล่าวจะมีส่วนช่วยส่งเสริมให้บริษัทต่างประเทศเข้ามาลงทุนในไทยด้วย สิ่งเหล่านี้ เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ในลักษณะหุ้นส่วนกัน
6. นอกจากนี้ ในเรื่องความร่วมมือระหว่างสองฝ่ายเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าวในตลาดโลกนั้น ฝ่ายไทยก็ได้มีการหารือเรื่องนี้ในหลักการกับฝ่ายสหรัฐฯ แล้วเช่นเดียวกันกับประเทศอื่นๆ ที่หารือในหลักการเรื่องนี้แล้ว เช่น ปากีสถาน และอินเดีย และได้เริ่มปฏิบัติแล้วกับเวียดนาม ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของทั้งสองฝ่ายก็จะต้องดำเนินการต่อไป
7. เกี่ยวกับเรื่องการลงนามใน Memorandum of Understanding on Matching Fund ระหว่างภาคเอกชนไทยและสหรัฐฯ ซึ่งจะมีวงเงินประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยฝ่ายสหรัฐฯ จะสนับสนุนวงเงินประมาณ 400 ล้านเหรียญ และฝ่ายไทยจะสนับสนุนวงเงินประมาณ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ นั้น เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อภาคธุรกิจของไทย เนื่องจากวงเงินดังกล่าว จะนำมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของไทย
8. นอกจากนี้ ในช่วงระหว่างการพบปะกับนักธุรกิจสหรัฐฯ นั้น นายกรัฐมนตรีได้มีโอกาสพูดถึงนโยบาย Dual Track Policy ของไทยที่เน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้าภายในประเทศ และการส่งเสริมการลงทุนและการค้ากับต่างประเทศให้ไปควบคู่กันนั้น ได้รับความสนใจและความเข้าใจจากนักธุรกิจดังกล่าวเป็นจำนวนมาก
9. ในระหว่างการเข้าพบปะหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีและเลขาธิการสหประชาชาติที่นครนิวยอร์ค ฝ่ายไทยได้แจ้งว่าไทยต้องการเป็นสมาชิกที่มีบทบาทในสหประชาชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ไทยมีบทบาทช่วยส่งเสริมการปรองดองแห่งชาติในพม่า เนื่องจากไทย (1) มีพรมแดนติดกับพม่า (2) มีความรู้จักคุ้นเคยกับชนกลุ่มน้อยตามแนวชายแดนไทย-พม่า และ (3) มีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างรัฐบาลไทยและพม่า รวมถึงผู้นำฝ่ายค้านของพม่าด้วย และไทยยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศตะวันตก และประเทศต่างๆ ในภูมิภาค เช่น จีนและอินเดีย ซึ่งในเรื่องนี้เลขาธิการสหประชาชาติเสนอที่จะให้นาย Ismail Razali ผู้แทนพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติเข้าพบนายกรัฐมนตรีเพื่อหารือเรื่องดังกล่าวต่อไปด้วย
10.นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้หยิบยกเรื่องโครงการอาหารโลก (World Food Programe) และกองทุนเงินบำเหน็จบำนาญสหประชาชาติ (UN Pension Fund) ขึ้นหารือกับเลขาธิการสหประชาชาติ โดยฝ่ายไทยจะพิจารณาเรื่องอุปสรรคทางภาษี เพื่ออำนวยความสะดวกให้สหประชาชาติซื้อสินค้าจากไทยมากขึ้น และให้นำเงินจากกองทุนบำเหน็จบำนาญฯมาลงทุนในประเทศไทย และนายกรัฐมนตรีได้หารือเรื่อง World Concert for Peace ในวันที่ 11 มกราคม 2545 โดยเชิญเลขาธิการสหประชาชาติหรือผู้แทนเข้าร่วมด้วย ในการนี้ เลขาธิการได้แสดงความพอใจบทบาทของไทยในด้านต่างๆ โดยเฉพาะความร่วมมือ 4 ประเทศในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และการแสดงความพร้อมของไทยที่จะเข้าไปฟื้นฟูและพัฒนาในอัฟกานิสถาน
กองการสื่อมวลชน กรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ โทร. 643-5105 โทรสาร. 643-5106-7Press Division, Department of Information Tel. 643-5105 Fax. 643-5106-7 E-mail : div0704@mfa.go.th-- จบ--
-อน-