1. ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน วันที่ 17 ตุลาคม 2544
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกประกาศข่าว ธปท. ฉบับที่ 123/2544 ลงวันที่ 17 ตุลาคม 2544 แจ้งผลการประชุมคณะกรรมการ
นโยบาย การเงินซึ่งประเมินว่า เหตุการณ์วินาศกรรมที่เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา จะส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า
ของไทย และจะเป็น ปัจจัยลบที่กดดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในระยะต่อไป อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบวกจาก มาตรการคลังและ
การปรับโครงสร้างระบบการเงินจากการดำเนินงานของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) ที่จะช่วยผ่อนคลายแรงกดดันจากภายนอกลง
ขณะที่ไม่มีแรงกดดันด้านราคาและแนวโน้มเงินเฟ้อพื้นฐานในช่วง 8 ไตรมาสหน้าก็ยังอยู่ในเป้าหมาย สำหรับนโยบายการเงินยังจำเป็นต้องดำเนิน
นโยบายอย่างผ่อนคลายต่อไป และยังคงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนระยะ 14 วันไว้ในอัตราร้อยละ 2.5 ต่อปี
อนึ่ง ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เผยแพร่ รายงานแนวโน้มเงินเฟ้อฉบับเดือนตุลาคม 2544 เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2544
2. แนวทางการจัดการธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2544 มอบให้กระทรวงมหาดไทยรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์และ
กรุงเทพมหานคร เพื่อกำหนดมาตรการช่วยเหลือธุรกิจค้าปลีกค้าส่งขนาดเล็กและขนาดกลาง ให้มีความ เข้มแข็ง ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องมีกฎหมาย
ว่าด้วยการ ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งจะต้องมีบทบัญญัติในเชิงสร้างสรรค์ และเป็นกฎหมายที่นานาประเทศใช้บังคับ โดยไม่ส่งผลเสียหายต่อระบบ
ตลาดหรือการค้าเสรี
3. กองทุนเพื่อการร่วมลงทุน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้รัฐบาลไทยโดยกระทรวงการคลังใช้เงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ในวงเงินไม่เกิน 30 ล้าน
เหรียญสหรัฐ สำหรับลงทุนในกองทุนเพื่อการร่วมลงทุน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อลงทุนเรือนหุ้นในวิสาหกิจขนาดใหญ่ของประเทศไทยที่มีศักยภาพในการ
แข่งขันเชิงพาณิชย์สูง รวมทั้งกิจการที่มีการปรับโครงสร้างหนี้แล้วหรืออยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อให้กิจการเหล่านี้ ลดสัดส่วนหนี้ลง
ทำให้สามารถฟื้นตัวและขยายกิจการต่อไปได้
4. รายงานผลการดำเนินงานตามนโยบาย กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง
คณะรัฐมนตรีรับทราบเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2544 ตามที่คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ รายงานความก้าวหน้า
ของการดำเนินตามนโยบายกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ดังนี้
1) ผลการดำเนินงานการจัดตั้งกองทุนหมู่บ้านและกองทุนชุมชนเมือง (ตามตาราง)
2) การจัดสรรและโอนเงินให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง
(1) ดำเนินการแล้ว 45,153 กองทุน เป็นเงิน 45,153 ล้านบาท
(2) รอการจัดสรรและโอน (จะเริ่มดำเนินการ ในต้นเดือนพฤศจิกายน 2544) อีก 11,193 กองทุน เป็นเงิน 11,193
ล้านบาท โดยแบ่งเป็นกองทุนหมู่บ้าน 11,116 กองทุน และกองทุนชุมชนเมือง 77 กองทุน
3) มีการเบิกจ่ายเงินจากธนาคาร (ณ วันที่ 19 ตุลาคม 2544) ทั้งสิ้น 19,894 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 44 ของจำนวนที่
จัดสรรและโอนเงินไปแล้ว
หน่วย : จำนวนหมู่บ้าน
เป้าหมาย ผลการดำเนินงาน ร้อยละ
1. การขอขึ้นทะเบียนกองทุน 74,881 70,170 93.7
- หมู่บ้าน 71,364 70,077 98.2
- ชุมชนเมือง 3,517 93 2.6
2. ผ่านการพิจารณาความพร้อมระดับอำเภอ 74,881 68,602 91.6
- หมู่บ้าน 71,364 68,509 96.0
- ชุมชนเมือง 3,517 93 2.6
3. ผ่านการพิจารณาความพร้อมระดับจังหวัด 74,881 66,735 89.1
- หมู่บ้าน 71,364 66,642 93.4
- ชุมชนเมือง 3,517 93 2.6
4. ผ่านการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการ
กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) 74,881 56,346 75.2
- หมู่บ้าน 71,364 56,269 78.8
- ชุมชนเมือง 3,517 77 2.2
5. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวระยะยาวไทย - ญี่ปุ่น
ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมศักดิ์ เทพสุทิน) เสนอว่า ตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี
คณะที่ 4 ได้มีมติอนุมัติหลักการในการจัดตั้งบริษัทเพื่อดำเนินการ รองรับโครงการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวพำนักระยะยาว (Long
Stay) เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2544 ดังนี้
1) ให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดตั้งศูนย์บริการนักท่องเที่ยวพำนักระยะยาว (Long Stay One Stop Service
Center) เพื่ออำนวยความสะดวก สร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว และเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมและกระจายข้อมูลระหว่างส่วนราชการ
ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง นักท่องเที่ยวผู้ประกอบการและผู้สนใจ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุน
2) ให้ ททท. รับไปดำเนินการจัดตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวระยะยาวแห่งชาติ เพื่อ
ดำเนินการส่งเสริมสนับสนุนการพำนักระยะยาวในประเทศไทยต่อไป
ต่อมาเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2544 มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวระยะยาวไทย | ญี่ปุ่นขึ้น
6. สถานการณ์การท่องเที่ยวและการปรับแผนการตลาด
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้สรุปสถานการณ์การท่องเที่ยวต่อคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2544 ดังนี้
ในภาพรวม ตลาดส่วนใหญ่มีแนวโน้มชะลอลงจากเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมในสหรัฐฯ ตลอดจนข่าวลือเกี่ยวกับการแพร่กระจายของเชื้อ
แอนเทร็กซ์ คงมีเฉพาะโอเชียเนีย และยุโรปบางประเทศเท่านั้นที่ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี
1) ภูมิภาคเอเชียตะวันออก สภาพตลาดชะลอลงเล็กน้อย ตามนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดหลัก และสถานการณ์การแข่งขันเริ่ม
เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะจากคู่แข่งสำคัญของไทย เช่น ฮาวาย และกวม
2) ภูมิภาคยุโรป ยังมีแนวโน้มการเติบโตดีอาทิ ตลาดสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งเปลี่ยนเส้นทางการเดินทางมาจาก
อเมริกา ตะวันออกใกล้ และตะวันออกกลาง อย่างไรก็ดี ปลายเดือนตุลาคมคาดว่า ตลาดนี้อาจได้รับผลกระทบบ้างจากการที่สายการบิน
Swiss Air ซึ่งมีปัญหาด้านการเงิน อย่างหนักจะหยุดการบินในเส้นทางสวิสเซอร์แลนด์ | กรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2544
นอกจากนี้ สายการบินหลายสายในยุโรปมีแผนการลด/หยุดทำการบินในเส้นทางมาเอเชีย ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาด้าน Seat Capacity
ไม่เพียงพอได้ ดังนั้น สายการบินไทยอาจต้องวางแผนเส้นทางบินใหม่เพื่อรองรับตลาดนี้ มากขึ้น
ตลาดยุโรปตะวันออกมีแนวโน้มการเติบโตดี แม้ว่าจะเป็นกลุ่มตลาดขนาดเล็กก็ตาม โดยเฉพาะตลาดโปแลนด์ที่หันเหจากอินโดนีเซีย
ซึ่งเป็นคู่แข่งขันมาไทยมากขึ้น
ตลาดรัสเซียก็กำลังเติบโตด้วยดีเช่นกันโดยเฉพาะการเช่าเหมาลำมากับสายการบิน Aeroflot ซึ่งไม่เคยมีปัญหาการถูกจี้เครื่องบิน
จึงทำให้นักท่องเที่ยวมีความมั่นใจด้านความปลอดภัย
3) ภูมิภาคอเมริกา สภาพตลาดโดยรวมชะลอตัว คงมีแต่กลุ่มนักธุรกิจที่มีความจำเป็นต้องเดินทางติดต่องานต่างประเทศ การประกาศ
เตือนชาวอเมริกันให้ระวังการ เดินทางไปอินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของไทย เพราะนักท่องเที่ยวอเมริกา
ส่วนใหญ่นิยมเที่ยวแบบเชื่อมโยงหลายประเทศ
4) ภูมิภาคโอเชียเนีย ยังมีแนวโน้มที่ดี โดยตลาดออสเตรเลียยังมีการจองและการเดินทางเข้ามาประเทศไทยสูงอย่างต่อเนื่อง
เพื่อชดเชยเส้นทางท่องเที่ยวในแถบสหรัฐฯ ยุโรป และตะวันออก อย่างไรก็ดี คู่แข่ง หลายประเทศได้ใช้กลยุทธ์ด้านราคาเป็นสิ่งจูงใจ
ประเทศไทยจึงต้องเร่งทำการตลาดอย่างเข้มข้น เพราะเป็นประเทศที่นักท่องเที่ยวได้รับผลกระทบน้อยและยังเดินทางอยู่ อย่างต่อเนื่อง
7. การปรับบทบาท ภารกิจ และโครงสร้าง ส่วนราชการ
คณะรัฐมนตรีพิจารณาการปรับบทบาท ภารกิจ และโครงสร้างส่วนราชการเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2544 ตามที่สำนักงาน ก.พ.
เสนอแล้วมีมติ ดังนี้
1) เห็นชอบในหลักการจัดโครงสร้าง ส่วนราชการระดับกระทรวงเป็น 17 กระทรวง และ 1 ทบวง และรับทราบการมอบหมาย
งานของนายกรัฐมนตรีแก่รองนายกรัฐมนตรีเพื่อช่วยดูแลรับผิดชอบงานของแต่ละกระทรวง ดังนี้
กระทรวง หน้าที่
1. สำนักนายกรัฐมนตรี เป็นศูนย์บัญชาการการบริหารราชการของนายกรัฐมนตรี
2. กระทรวงกลาโหม บริหารป้องกันประเทศ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)
3. กระทรวงการขนส่ง พัฒนาและออกแบบระบบการขนส่งที่มีประสิทธิภาพสูง รองนายกรัฐมนตรี
เพื่อเป็นศูนย์กลางเครือข่ายการขนส่งของภูมิภาค (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์)
4. กระทรวงการคลัง กำหนดและดำเนินนโยบายการคลังและกำกับดูแลนโยบายการเงิน รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์)
5. กระทรวงการค้า ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นผู้นำทางการค้าของเอเชีย รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์)
ส่งเสริมให้มีการค้าอย่างเสรีและเป็นธรรม
6. กระทรวงการต่างประเทศ เจริญความสัมพันธ์ในทุกด้านกับนานาประเทศ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)
7. กระทรวงการท่องเที่ยว กีฬาและนันทนาการ ส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยว กีฬา และนันทนาการ รองนายกรัฐมนตรี (นายปองพล อดิเรกสาร)
8. กระทรวงการพัฒนาการสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จัดระเบียบสังคมและระบบสวัสดิการสังคม รองนายกรัฐมนตรี (นายปองพล อดิเรกสาร)
คุ้มครอง พิทักษ์สิทธิและหน้าที่ของประชาชน
สร้างความเป็นธรรมทางสังคม ยกระดับมาตรฐานการดำรงชีวิต
9. กระทรวงการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม พัฒนาและส่งเสริมการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม รองนายกรัฐมนตรี (นายปองพล อดิเรกสาร)
10. กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ พัฒนาเกษตรกรให้เป็นผู้ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์)
และได้ส่วนแบ่งตลาดอย่างมีนัยสำคัญในตลาดโลก
11. กระทรวงทรัพยากร อนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์)
ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
12.กระทรวงพัฒนาอาชีพและการทำงาน พัฒนากำลังแรงงาน ปกป้อง คุ้มครอง รองนายกรัฐมนตรี (นายเดช บุญ - หลง)
และสร้างหลักประกันความมั่นคง ขยายโอกาสการมีงานทำ
13. กระทรวงมหาดไทย เสริมสร้างความสงบสุขในสังคม ความมั่นคงภายในและส่งเสริมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีความเข้มแข็ง เสริมสร้างวงจรเศรษฐกิจที่ยั่งยืน รองนายกรัฐมนตรี (พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)
14. กระทรวงยุติธรรม ส่งเสริมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ป้องกันแก้ไขปัญหา รองนายกรัฐมนตรี (นายปองพล อดิเรกสาร)
อาชญากรรม บำบัด แก้ไข ฟื้นฟูผู้กระทำผิด พัฒนากระบวนการยุติธรรม
15. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พัฒนาเพื่อเป็นสังคมแห่งความรู้ คิดและทำอย่างวิทยาศาสตร์ รองนายกรัฐมนตรี (นายเดช บุญ - หลง)
16. กระทรวงสาธารณสุข พัฒนาสุขภาพของประชากรให้แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ รองนายกรัฐมนตรี (นายปองพล อดิเรกสาร)
17.กระทรวงอุตสาหกรรมและ ผู้ประกอบการ สร้างมูลค่าเพิ่มและความได้เปรียบในการแข่งขัน รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์)
18. ทบวงพลังงาน พัฒนาและส่งเสริมพลังงาน รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์)
8. ยุทธศาสตร์การแก้ไขและจัดการปัญหาความยากจนของเกษตรกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2544 ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และมีมติดังนี้
1) เห็นชอบในหลักการ
(1) นำแนวปรัชญา ”เศรษฐกิจพอเพียง” มาเป็นแนวทางไปสู่ความสมดุลที่มีคุณภาพ และยั่งยืน
(2) ใช้ ”การเกษตร” เป็นตัวนำในการแก้ไขและจัดการปัญหาความยากจน
(3) พัฒนาแบบองค์รวม ยึดชุมชนเป็นแกนกลางของการพัฒนา มุ่งสู่ความเข้มแข็งและความยั่งยืนของชุมชน
2) มอบหมาย ให้กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำหนดแนวทางการดำเนินงานให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์
โดยจัดตั้ง ”สถาบันพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน” ในสังกัด สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเป็นองค์กรหลักในการประสานนโยบาย
3) นายกรัฐมนตรีได้กำหนดยุทธศาสตร์การเกษตรออกเป็น 2 แนวหลัก คือ
(1) แนวตั้ง : เน้นรายสินค้า
(2) แนวนอน : ดูแลพื้นที่การเกษตร
ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์การเกษตรจะเน้น ”การเกษตรอินทรีย์” (Organic farming) โดยให้จังหวัดสุรินทร์เป็นจังหวัดนำร่อง เพื่อลด
การนำเข้าปุ๋ยเคมี เนื่องจากประเทศไทยมีศักยภาพพอ
9. การแก้ปัญหาหนี้สินของเกษตรกรรายย่อยที่เป็นสมาชิกสถาบันเกษตรกร
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบโครงการลดภาระหนี้แก่เกษตรกรรายย่อยตามนโยบายของรัฐบาลผ่านระบบสถาบันเกษตรกรที่กระทรวงเกษตร
และสหกรณ์เสนอ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2544 โดยรัฐบาลจัดสรรเงินงบประมาณเพื่อ รับภาระการดำเนินโครงการในวงเงินปีละ 1,196
ล้านบาท เป็นเวลา 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2544 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2547 รวมวงเงินทั้งสิ้น 3,588 ล้านบาท โดยสถาบันฯ จะต้อง
สำรองเงินจ่ายคืนสมาชิกในส่วนที่ลดภาระหนี้ไปก่อน แล้วจึงจัดทำเอกสารขอรับชดเชยจากรัฐบาล
1) วัตถุประสงค์ของโครงการ
(1) เพื่อให้เกษตรกรรายย่อยที่เป็นสมาชิกสถาบันเกษตรกร และมีหนี้สินไม่เกิน 100,000 บาท ได้รับการลดภาระหนี้
โดยการลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงร้อยละ 3 ต่อปี เป็นเวลา 3 ปี
(2) เพื่อให้เกษตรกรสมาชิกได้รับการฟื้นฟูและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้
2) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรสมาชิก
- สถาบันเกษตรกร 1.152 ล้านคน จาก 5,161 สถาบัน
- สหกรณ์ภาคการเกษตร 1.085 ล้านคน จาก 1,762 สหกรณ์
- กลุ่มเกษตรกร 67,000 คน จาก 3,399 กลุ่ม
3) คุณสมบัติเกษตรกร
(1) เป็นสมาชิกสถาบันเกษตรกร และมีหนี้ เงินกู้คงเหลือไม่เกิน 100,000 บาท ตาม มูลหนี้ที่กู้ในรอบปีที่ผ่านมา
(2) ต้องไม่เข้าร่วมโครงการพักชำระหนี้และ ลดภาระหนี้แก่เกษตรกรรายย่อยตามนโยบายของรัฐบาล ผ่านระบบ
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกประกาศข่าว ธปท. ฉบับที่ 123/2544 ลงวันที่ 17 ตุลาคม 2544 แจ้งผลการประชุมคณะกรรมการ
นโยบาย การเงินซึ่งประเมินว่า เหตุการณ์วินาศกรรมที่เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา จะส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า
ของไทย และจะเป็น ปัจจัยลบที่กดดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในระยะต่อไป อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบวกจาก มาตรการคลังและ
การปรับโครงสร้างระบบการเงินจากการดำเนินงานของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) ที่จะช่วยผ่อนคลายแรงกดดันจากภายนอกลง
ขณะที่ไม่มีแรงกดดันด้านราคาและแนวโน้มเงินเฟ้อพื้นฐานในช่วง 8 ไตรมาสหน้าก็ยังอยู่ในเป้าหมาย สำหรับนโยบายการเงินยังจำเป็นต้องดำเนิน
นโยบายอย่างผ่อนคลายต่อไป และยังคงอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนระยะ 14 วันไว้ในอัตราร้อยละ 2.5 ต่อปี
อนึ่ง ธนาคารแห่งประเทศไทยได้เผยแพร่ รายงานแนวโน้มเงินเฟ้อฉบับเดือนตุลาคม 2544 เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2544
2. แนวทางการจัดการธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง
คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2544 มอบให้กระทรวงมหาดไทยรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์และ
กรุงเทพมหานคร เพื่อกำหนดมาตรการช่วยเหลือธุรกิจค้าปลีกค้าส่งขนาดเล็กและขนาดกลาง ให้มีความ เข้มแข็ง ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องมีกฎหมาย
ว่าด้วยการ ประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งจะต้องมีบทบัญญัติในเชิงสร้างสรรค์ และเป็นกฎหมายที่นานาประเทศใช้บังคับ โดยไม่ส่งผลเสียหายต่อระบบ
ตลาดหรือการค้าเสรี
3. กองทุนเพื่อการร่วมลงทุน
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้รัฐบาลไทยโดยกระทรวงการคลังใช้เงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ในวงเงินไม่เกิน 30 ล้าน
เหรียญสหรัฐ สำหรับลงทุนในกองทุนเพื่อการร่วมลงทุน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อลงทุนเรือนหุ้นในวิสาหกิจขนาดใหญ่ของประเทศไทยที่มีศักยภาพในการ
แข่งขันเชิงพาณิชย์สูง รวมทั้งกิจการที่มีการปรับโครงสร้างหนี้แล้วหรืออยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อให้กิจการเหล่านี้ ลดสัดส่วนหนี้ลง
ทำให้สามารถฟื้นตัวและขยายกิจการต่อไปได้
4. รายงานผลการดำเนินงานตามนโยบาย กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง
คณะรัฐมนตรีรับทราบเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2544 ตามที่คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ รายงานความก้าวหน้า
ของการดำเนินตามนโยบายกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ดังนี้
1) ผลการดำเนินงานการจัดตั้งกองทุนหมู่บ้านและกองทุนชุมชนเมือง (ตามตาราง)
2) การจัดสรรและโอนเงินให้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง
(1) ดำเนินการแล้ว 45,153 กองทุน เป็นเงิน 45,153 ล้านบาท
(2) รอการจัดสรรและโอน (จะเริ่มดำเนินการ ในต้นเดือนพฤศจิกายน 2544) อีก 11,193 กองทุน เป็นเงิน 11,193
ล้านบาท โดยแบ่งเป็นกองทุนหมู่บ้าน 11,116 กองทุน และกองทุนชุมชนเมือง 77 กองทุน
3) มีการเบิกจ่ายเงินจากธนาคาร (ณ วันที่ 19 ตุลาคม 2544) ทั้งสิ้น 19,894 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 44 ของจำนวนที่
จัดสรรและโอนเงินไปแล้ว
หน่วย : จำนวนหมู่บ้าน
เป้าหมาย ผลการดำเนินงาน ร้อยละ
1. การขอขึ้นทะเบียนกองทุน 74,881 70,170 93.7
- หมู่บ้าน 71,364 70,077 98.2
- ชุมชนเมือง 3,517 93 2.6
2. ผ่านการพิจารณาความพร้อมระดับอำเภอ 74,881 68,602 91.6
- หมู่บ้าน 71,364 68,509 96.0
- ชุมชนเมือง 3,517 93 2.6
3. ผ่านการพิจารณาความพร้อมระดับจังหวัด 74,881 66,735 89.1
- หมู่บ้าน 71,364 66,642 93.4
- ชุมชนเมือง 3,517 93 2.6
4. ผ่านการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการ
กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) 74,881 56,346 75.2
- หมู่บ้าน 71,364 56,269 78.8
- ชุมชนเมือง 3,517 77 2.2
5. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวระยะยาวไทย - ญี่ปุ่น
ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสมศักดิ์ เทพสุทิน) เสนอว่า ตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี
คณะที่ 4 ได้มีมติอนุมัติหลักการในการจัดตั้งบริษัทเพื่อดำเนินการ รองรับโครงการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวพำนักระยะยาว (Long
Stay) เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2544 ดังนี้
1) ให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดตั้งศูนย์บริการนักท่องเที่ยวพำนักระยะยาว (Long Stay One Stop Service
Center) เพื่ออำนวยความสะดวก สร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยว และเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมและกระจายข้อมูลระหว่างส่วนราชการ
ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง นักท่องเที่ยวผู้ประกอบการและผู้สนใจ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุน
2) ให้ ททท. รับไปดำเนินการจัดตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวระยะยาวแห่งชาติ เพื่อ
ดำเนินการส่งเสริมสนับสนุนการพำนักระยะยาวในประเทศไทยต่อไป
ต่อมาเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2544 มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวระยะยาวไทย | ญี่ปุ่นขึ้น
6. สถานการณ์การท่องเที่ยวและการปรับแผนการตลาด
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้สรุปสถานการณ์การท่องเที่ยวต่อคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2544 ดังนี้
ในภาพรวม ตลาดส่วนใหญ่มีแนวโน้มชะลอลงจากเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมในสหรัฐฯ ตลอดจนข่าวลือเกี่ยวกับการแพร่กระจายของเชื้อ
แอนเทร็กซ์ คงมีเฉพาะโอเชียเนีย และยุโรปบางประเทศเท่านั้นที่ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี
1) ภูมิภาคเอเชียตะวันออก สภาพตลาดชะลอลงเล็กน้อย ตามนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดหลัก และสถานการณ์การแข่งขันเริ่ม
เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะจากคู่แข่งสำคัญของไทย เช่น ฮาวาย และกวม
2) ภูมิภาคยุโรป ยังมีแนวโน้มการเติบโตดีอาทิ ตลาดสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งเปลี่ยนเส้นทางการเดินทางมาจาก
อเมริกา ตะวันออกใกล้ และตะวันออกกลาง อย่างไรก็ดี ปลายเดือนตุลาคมคาดว่า ตลาดนี้อาจได้รับผลกระทบบ้างจากการที่สายการบิน
Swiss Air ซึ่งมีปัญหาด้านการเงิน อย่างหนักจะหยุดการบินในเส้นทางสวิสเซอร์แลนด์ | กรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2544
นอกจากนี้ สายการบินหลายสายในยุโรปมีแผนการลด/หยุดทำการบินในเส้นทางมาเอเชีย ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาด้าน Seat Capacity
ไม่เพียงพอได้ ดังนั้น สายการบินไทยอาจต้องวางแผนเส้นทางบินใหม่เพื่อรองรับตลาดนี้ มากขึ้น
ตลาดยุโรปตะวันออกมีแนวโน้มการเติบโตดี แม้ว่าจะเป็นกลุ่มตลาดขนาดเล็กก็ตาม โดยเฉพาะตลาดโปแลนด์ที่หันเหจากอินโดนีเซีย
ซึ่งเป็นคู่แข่งขันมาไทยมากขึ้น
ตลาดรัสเซียก็กำลังเติบโตด้วยดีเช่นกันโดยเฉพาะการเช่าเหมาลำมากับสายการบิน Aeroflot ซึ่งไม่เคยมีปัญหาการถูกจี้เครื่องบิน
จึงทำให้นักท่องเที่ยวมีความมั่นใจด้านความปลอดภัย
3) ภูมิภาคอเมริกา สภาพตลาดโดยรวมชะลอตัว คงมีแต่กลุ่มนักธุรกิจที่มีความจำเป็นต้องเดินทางติดต่องานต่างประเทศ การประกาศ
เตือนชาวอเมริกันให้ระวังการ เดินทางไปอินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของไทย เพราะนักท่องเที่ยวอเมริกา
ส่วนใหญ่นิยมเที่ยวแบบเชื่อมโยงหลายประเทศ
4) ภูมิภาคโอเชียเนีย ยังมีแนวโน้มที่ดี โดยตลาดออสเตรเลียยังมีการจองและการเดินทางเข้ามาประเทศไทยสูงอย่างต่อเนื่อง
เพื่อชดเชยเส้นทางท่องเที่ยวในแถบสหรัฐฯ ยุโรป และตะวันออก อย่างไรก็ดี คู่แข่ง หลายประเทศได้ใช้กลยุทธ์ด้านราคาเป็นสิ่งจูงใจ
ประเทศไทยจึงต้องเร่งทำการตลาดอย่างเข้มข้น เพราะเป็นประเทศที่นักท่องเที่ยวได้รับผลกระทบน้อยและยังเดินทางอยู่ อย่างต่อเนื่อง
7. การปรับบทบาท ภารกิจ และโครงสร้าง ส่วนราชการ
คณะรัฐมนตรีพิจารณาการปรับบทบาท ภารกิจ และโครงสร้างส่วนราชการเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2544 ตามที่สำนักงาน ก.พ.
เสนอแล้วมีมติ ดังนี้
1) เห็นชอบในหลักการจัดโครงสร้าง ส่วนราชการระดับกระทรวงเป็น 17 กระทรวง และ 1 ทบวง และรับทราบการมอบหมาย
งานของนายกรัฐมนตรีแก่รองนายกรัฐมนตรีเพื่อช่วยดูแลรับผิดชอบงานของแต่ละกระทรวง ดังนี้
กระทรวง หน้าที่
1. สำนักนายกรัฐมนตรี เป็นศูนย์บัญชาการการบริหารราชการของนายกรัฐมนตรี
2. กระทรวงกลาโหม บริหารป้องกันประเทศ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)
3. กระทรวงการขนส่ง พัฒนาและออกแบบระบบการขนส่งที่มีประสิทธิภาพสูง รองนายกรัฐมนตรี
เพื่อเป็นศูนย์กลางเครือข่ายการขนส่งของภูมิภาค (นายพิทักษ์ อินทรวิทยนันท์)
4. กระทรวงการคลัง กำหนดและดำเนินนโยบายการคลังและกำกับดูแลนโยบายการเงิน รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์)
5. กระทรวงการค้า ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นผู้นำทางการค้าของเอเชีย รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์)
ส่งเสริมให้มีการค้าอย่างเสรีและเป็นธรรม
6. กระทรวงการต่างประเทศ เจริญความสัมพันธ์ในทุกด้านกับนานาประเทศ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)
7. กระทรวงการท่องเที่ยว กีฬาและนันทนาการ ส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยว กีฬา และนันทนาการ รองนายกรัฐมนตรี (นายปองพล อดิเรกสาร)
8. กระทรวงการพัฒนาการสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จัดระเบียบสังคมและระบบสวัสดิการสังคม รองนายกรัฐมนตรี (นายปองพล อดิเรกสาร)
คุ้มครอง พิทักษ์สิทธิและหน้าที่ของประชาชน
สร้างความเป็นธรรมทางสังคม ยกระดับมาตรฐานการดำรงชีวิต
9. กระทรวงการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม พัฒนาและส่งเสริมการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม รองนายกรัฐมนตรี (นายปองพล อดิเรกสาร)
10. กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ พัฒนาเกษตรกรให้เป็นผู้ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์)
และได้ส่วนแบ่งตลาดอย่างมีนัยสำคัญในตลาดโลก
11. กระทรวงทรัพยากร อนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์)
ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
12.กระทรวงพัฒนาอาชีพและการทำงาน พัฒนากำลังแรงงาน ปกป้อง คุ้มครอง รองนายกรัฐมนตรี (นายเดช บุญ - หลง)
และสร้างหลักประกันความมั่นคง ขยายโอกาสการมีงานทำ
13. กระทรวงมหาดไทย เสริมสร้างความสงบสุขในสังคม ความมั่นคงภายในและส่งเสริมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีความเข้มแข็ง เสริมสร้างวงจรเศรษฐกิจที่ยั่งยืน รองนายกรัฐมนตรี (พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ)
14. กระทรวงยุติธรรม ส่งเสริมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ป้องกันแก้ไขปัญหา รองนายกรัฐมนตรี (นายปองพล อดิเรกสาร)
อาชญากรรม บำบัด แก้ไข ฟื้นฟูผู้กระทำผิด พัฒนากระบวนการยุติธรรม
15. กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พัฒนาเพื่อเป็นสังคมแห่งความรู้ คิดและทำอย่างวิทยาศาสตร์ รองนายกรัฐมนตรี (นายเดช บุญ - หลง)
16. กระทรวงสาธารณสุข พัฒนาสุขภาพของประชากรให้แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ รองนายกรัฐมนตรี (นายปองพล อดิเรกสาร)
17.กระทรวงอุตสาหกรรมและ ผู้ประกอบการ สร้างมูลค่าเพิ่มและความได้เปรียบในการแข่งขัน รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์)
18. ทบวงพลังงาน พัฒนาและส่งเสริมพลังงาน รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์)
8. ยุทธศาสตร์การแก้ไขและจัดการปัญหาความยากจนของเกษตรกรภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2544 ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และมีมติดังนี้
1) เห็นชอบในหลักการ
(1) นำแนวปรัชญา ”เศรษฐกิจพอเพียง” มาเป็นแนวทางไปสู่ความสมดุลที่มีคุณภาพ และยั่งยืน
(2) ใช้ ”การเกษตร” เป็นตัวนำในการแก้ไขและจัดการปัญหาความยากจน
(3) พัฒนาแบบองค์รวม ยึดชุมชนเป็นแกนกลางของการพัฒนา มุ่งสู่ความเข้มแข็งและความยั่งยืนของชุมชน
2) มอบหมาย ให้กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำหนดแนวทางการดำเนินงานให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์
โดยจัดตั้ง ”สถาบันพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน” ในสังกัด สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเป็นองค์กรหลักในการประสานนโยบาย
3) นายกรัฐมนตรีได้กำหนดยุทธศาสตร์การเกษตรออกเป็น 2 แนวหลัก คือ
(1) แนวตั้ง : เน้นรายสินค้า
(2) แนวนอน : ดูแลพื้นที่การเกษตร
ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์การเกษตรจะเน้น ”การเกษตรอินทรีย์” (Organic farming) โดยให้จังหวัดสุรินทร์เป็นจังหวัดนำร่อง เพื่อลด
การนำเข้าปุ๋ยเคมี เนื่องจากประเทศไทยมีศักยภาพพอ
9. การแก้ปัญหาหนี้สินของเกษตรกรรายย่อยที่เป็นสมาชิกสถาบันเกษตรกร
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบโครงการลดภาระหนี้แก่เกษตรกรรายย่อยตามนโยบายของรัฐบาลผ่านระบบสถาบันเกษตรกรที่กระทรวงเกษตร
และสหกรณ์เสนอ เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2544 โดยรัฐบาลจัดสรรเงินงบประมาณเพื่อ รับภาระการดำเนินโครงการในวงเงินปีละ 1,196
ล้านบาท เป็นเวลา 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2544 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2547 รวมวงเงินทั้งสิ้น 3,588 ล้านบาท โดยสถาบันฯ จะต้อง
สำรองเงินจ่ายคืนสมาชิกในส่วนที่ลดภาระหนี้ไปก่อน แล้วจึงจัดทำเอกสารขอรับชดเชยจากรัฐบาล
1) วัตถุประสงค์ของโครงการ
(1) เพื่อให้เกษตรกรรายย่อยที่เป็นสมาชิกสถาบันเกษตรกร และมีหนี้สินไม่เกิน 100,000 บาท ได้รับการลดภาระหนี้
โดยการลดดอกเบี้ยเงินกู้ลงร้อยละ 3 ต่อปี เป็นเวลา 3 ปี
(2) เพื่อให้เกษตรกรสมาชิกได้รับการฟื้นฟูและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อเพิ่มความสามารถในการชำระหนี้
2) กลุ่มเป้าหมาย เป็นเกษตรกรสมาชิก
- สถาบันเกษตรกร 1.152 ล้านคน จาก 5,161 สถาบัน
- สหกรณ์ภาคการเกษตร 1.085 ล้านคน จาก 1,762 สหกรณ์
- กลุ่มเกษตรกร 67,000 คน จาก 3,399 กลุ่ม
3) คุณสมบัติเกษตรกร
(1) เป็นสมาชิกสถาบันเกษตรกร และมีหนี้ เงินกู้คงเหลือไม่เกิน 100,000 บาท ตาม มูลหนี้ที่กู้ในรอบปีที่ผ่านมา
(2) ต้องไม่เข้าร่วมโครงการพักชำระหนี้และ ลดภาระหนี้แก่เกษตรกรรายย่อยตามนโยบายของรัฐบาล ผ่านระบบ
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-